ตอนที่แล้วเจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 17 
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่  19

เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่  18


เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่  18

เอเลริส ถึงกับตกใจที่ผมไม่รู้ว่า อาร์คเดม่อนคืออะไร ได้ทำการอธิบายคร่าวๆ

ซาร์เคการ์ที่กำลังจะอ้าปากพูดอธิบาย แต่เธอก็บอกเขาให้เงียบไป เพราะแน่ใจว่าเขาคงพูดด้วยวลีฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น

“อาร์คเดม่อนนั้นเป็นตัวตนที่มีอยู่เพื่อสร้างสังคมที่ประกอบด้วยชนเผ่ามากมายอย่างปีศาจค่ะ”

“สังคม?”

“ใช่แล้วค่ะ”

อบิลิตี้เฉพาะของอาร์คเดม่อน ผมได้ลองใช้อบิลิตี้ในการสั่งการปีศาจได้แล้ว ผมจำไม่ผิดมันบอกว่า เป็นระดับแร๊ง D

“เดิมทีนี้ปีศาจไม่สามารถสร้างสังคมใหญ่ๆได้ค่ะ อย่างที่ท่านทราบดีว่า โลย่านั้นเป็นไลแคนโทรป , ตัวฉันนั้นเป็นแวมไพร์ ส่วน ซาร์เคการ์ก็เป็นเดร็ดเฟียน ใช่ไหมคะ?”

“อืมใช่”

“ก่อนการถือกำเนิดขึ้นของเผ่าอาร์คเดม่อน เผ่าต่างๆของปีศาจนั้นนอกจากจะสู้รบกับมนุษย์แล้วยังสู้รบกันเองด้วยค่ะ ฟากตะวันตกของทวีปนั้นมีประเทศขนาดใหญ่ของมนุษย์อยู่ ส่วนในทางฟากตะวันออกเป็นดินแดนปีศาจที่เรียกว่า ดาร์คแลนด์(Darklands)

ที่นั่นเป็นสถานที่ที่มีปีศาจหลายกลุ่มหลายพันธุ์มารวมกัน ”

ต่อให้ไม่มีมนุษย์อยู่รอบข้าง พวกปีศาจก็ยังใช้ชีวิตด้วยการต่อสู้ทำร้ายกันเองอยู่ดี

“ดาร์คแลนด์นั้นเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยสงครามมาตลอด ดังนั้นพวกมนุษย์จึงไม่ได้มีเหตุผลให้ต้องสนใจพวกเรา”

ขณะที่มนุษย์กำลังเจริญก้าวหน้า ส่วนพวกปีศาจก็ทะเลาะต่อสู้ฆ่าฟันกันเองพาตัวไปสู่หายนะมานานแล้ว

มีหลายเผ่าพันธุ์ที่อยู่ที่นั่นก็จริงแต่ก็ยังสู้รบกันต่อไป การจะทำให้ดินแดนรุ่งเรืองขึ้นมาท่ามกลางประชากรที่มีความแตกต่างหลากหลายขนาดนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย

“ถึงอย่างนั้นกลับมีบุคคลหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว ประนีประนอมประสานความขัดแย้งระหว่างเผ่าให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ รวมหมู่เหล่าทั้งหมดกลายเป็นสังคมขึ้นมา

พวกเขามีพลังที่จะแทรกแซงดวงวิญญาณของปีศาจได้”

“และนั่นคือ จอมมารใช่ไหม ?”

“ใช่แล้วค่ะ , เขาคือ อาร์คเดม่อนผู้เป็นจอมมารคนแรก”

ไม่รู้ว่ามาจากไหน และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นตัวอะไร

ถึงอย่างนั้นเขาก็สามารถควบคุมจิตใจของปีศาจได้ ืทำให้พวกนั้นอยู่ด้วยกันซึ่งก่อนหน้าไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย

ด้วยความนับถือ พวกปีศาจก็เลยเรียกเขาว่าเป็น อาร์คเดม่อน(Arcdemon)

เหมือนเป็นคำที่ใช้เรียกเผ่าพันธุ์ของจอมมาร

ซาร์เคการ์ เสริมให้ว่า

“ภายใต้อิทธิพลของอาร์คเดม่อน เหล่าปีศาจทั้งหลายสามารถรวมใจกันเป็นหนึ่งภายในผู้นำคนเดียว

และเมื่ออิทธิพลดังกล่าวยังคงอยู่ก็จริง แต่หากผ่านไปหลายรุ่นโดยไม่มีอาร์คเดม่อน โลกปีศาจจะเกิดการแบ่งแยกอีกครั้งกลับเข้าสู่ยุคสงครามตลอดกาล กลับไปเป็นยุคมืด ”

ดินแดนปีศาจย่อมตั้งล่มสลายหากไม่มีอาร์คเดม่อนอีกต่อไป

นี่ก็แปลว่า ปีศาจที่เหลืออยู่ตอนนี้เองก็ยังอยู่ด้วยกันได้ แต่พอไปยังรุ่นต่อไป รุ่นต่อไป ปีศาจจะกลับไปสู่ช่วงที่ต่างห้ำหั่นเข่นฆ่ากันและกัน

ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงไม่มีใครหาญกล้าทะเยอทะยานขึ้นมาเป็นจอมมารคนต่อไปเลย

หากไม่ใช่เผ่าอาร์คเดม่อนแล้ว ไม่มีเผ่าอื่นเผ่าใดที่สามารถทำหน้าที่ของจอมมารได้แต่แรกแล้ว

ผมถึงได้เข้าใจว่า ทำไมความจงรักภักดีของซาร์เคการ์ มันไม่ได้เป็นแค่ความภักดีสุดโต่งอีกต่อไป

ซาร์เคการ์น่ะเชื่อว่าการมีอยู่ของจอมมาร นั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่จะดำรงสังคมปีศาจเอาไว้ได้

มันแตกต่างกับการที่คนๆหนึ่งภักดีต่อประเทศตัวเองมาก

จอมมารนั้นเป็นเหมือนตัวอิมัลติไฟร์เออร์(ตัวทำละลาย)ระหว่างน้ำกับน้ำมัน

ทำให้สองสิ่งที่ไม่สามารถผสมผสานเข้ากันได้ รวมกัน

“…อย่างนั้นผมมีคำถามหนึ่งอยากถาม”

“ถามได้เลยค่ะ”

“แล้วสงครามโลกปีศาจเกิดขึ้นมาได้ยังไง ?”

ถึงผมจะเขียนลงไปว่ามันเป็นสงคราม แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเกิดไปทำไม

มนุษย์พยายามที่จะปราบปรามปีศาจ ผมเขียนไว้แค่นั้น ผมก็เลยเดาว่า การบุกรุกรานครั้งแรกน่าจะเกิดขึ้นจากฝ่ายมนุษย์

เอเลริสมองไปที่กองไฟแล้วพูด

“พวกมนุษย์น่ะ หวาดกลัวกับการที่ดินแดนปีศาจเป็นหนึ่งเดียวกันค่ะ”

มีความเป็นไปได้ที่เหตุการณ์ที่ผมไม่ได้เขียนไว้จะโดนปรับแก้แต่มันก็แปลกๆเหมือนกันที่ต้องมาเห็นงานตัวเองที่มั่วๆไว้มาแก้ไขแบบนี้

พวกมนุษย์นั้นรุกรานดินแดนปีศาจ

ถึงผมจะไม่ได้เขียนลงลึกแบบนั้น แต่มีความเป็นไปได้สูงมากที่ว่าพวกมนุษย์จะหวาดกลัวการที่ดินแดนปีศาจเป็นปึกแผ่น ผ่านการมีอยู่ของอาร์คเดม่อน

มันเป็นความรู้สึกผิดแปลกๆที่อยู่ภายในตัวผม ตอนที่มีใครบางคนาเติมเต็มพลอตโฮลที่ผมมั่วเละเทะไว้

เหล่าปีศาจแห่งดาร์คแลนด์ได้สร้างสังคมขึ้นมา

แม้แต่พวกมนุษย์ที่มักทะเลาะกันเองก็ยังต้องหยุดแล้วตื่นตัวกับสถานการณ์ดังกล่าว

“จอมมารองค์ก่อนหน้าตระหนักดีว่า สักวันหนึ่งพวกมนุษย์จะต้องบุกมายังดินแดนปีศาจ

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมดินแดนปีศาจถึงได้เตรียมตัวสำหรับการรบไว้เสมอ ”

ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของ เอเลริส

ต่อให้พวกเขาไม่คิดจะบุกอีกฝ่าย แต่ในเมื่อเห็นอีกฝ่ายติดกำลังอาวุธแล้ว ก็ต้องทำแบบเดียวกัน

'อย่าเข้าใจพวกเราผิดไปนะ พวกเราแค่เพิ่มกองกำลังทหารเพื่อป้องกันความเป็นไปได้ที่พวกแกจะมาบุกเรา '

แล้วก็แน่นอน ไม่มีใครเชื่อคำพูดแบบนั้นอยู่แล้ว

การรบกันจึงเกิดขึ้นเพราะต่างฝ่ายต่างหวาดกลัวกันและกัน

ดังนั้นแล้วถึงฝ่ายปีศาจและฝ่ายมนุษย์จะไม่มีเจตนาจะรุกรานกันและกัน แต่จากการที่ทั้งสองฝ่ายต่างเตรียมตัวเข้าปะทะเพราะการมีอยู่ของอีกฝ่าย

มันไม่สำคัญแล้วว่าใครจะเริ่ม่อน ไม่ว่าอย่างไรสงครามก็ต้องปะทุขึ้นมาอยู่ดี

ดินแดนปีศาจนั้นมีจอมมร แต่ดินแดนมนุษย์นั้นมีกองกำลังและนักรบที่แข็งแกร่งทรงพลัง

นักรบพวกนั้นสามารถกำจัดจอมมารได้

การตายของจอมมารนั้นคนละเรื่องกับความตายของราชามนุษย์

มันเป็นความจริงในแง่ที่ว่า เมื่อจอมมารตายนั้นส่งผลต่อกำลังใจของทหารใต้การบัญชาการทั้งหมด

เนื่องจากจอมมารนั้นเป็นตัวตนดุจดั่งเทพเจ้าสำหรับดินแดนปีศาจ

แค่คำอธิบายเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมเข้าใจความสำคัญของเผ่าอาร์คเดม่อน

“อืม ….ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า ทำไมอาร์คเดม่อนถึงสำคัญมากขนาดนั้น”

และก็เข้าใจแล้วด้วยว่าทำไมต้องเป็นผม

“แล้วต่อจากนี้ผมควรทำยังไงต่อล่ะ ? พวกเธอได้คิดไว้แล้วหรือยัง ?”

“ท่านจะต้องทำให้ตัวท่านแข็งแกร่ง อีกทั้งกาเดียมเป็นสถานที่ที่อันตรายเกิรไป พวกเราต้องกลับไปที่ดินแดนปีศาจ รวบรวมปีศาจที่กระจัดกระจายตัว เพื่อสร้างขุมกำลังขึ้นมาใหม่ ขณะเดียวกันท่านก็ต้องฝึก”

และแน่นอนว่า หากผมต้องกลับไปดินแดนปีศาจ ผมอาจได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากเหล่าปีศาจที่ยังจดจำจอมมารของตนได้ และไม่ยากนักหรอกที่จะรวบรวมกำลังพล

ดาร์คแลนด์นั้นแห้งแล้งกันดาร และต่อให้จอมมารตายก็ไม่มีทางหรอกที่พวกมนุษย์จะสามารถปล้นชิงไปเสียทุกอย่างได้

ผมส่ายหน้าให้กับคำพูดของ ซาร์เคการ์

“อันตรายเกินไป

พวกมนุษย์น่ะอาจไม่สามารถยึดครองดาร์คแลนด์ได้ก็จริง แต่พวกนั้นก็ไม่มีทาง ไม่ละเลยการตรวจตรา

หากเกิดกองกำลังปีศาจขึ้นมาใหม่ พวกนั้นก็ต้องทำการบุกโจมตีในทันที ”

พวกนั้นไม่มีทางนั่งเฉยๆแล้วปล่อยให้ดินแดนปีศาจที่ถูกทำลายไป ก่อตัวขึ้นมาใหม่หรอก

หากพวกนั้นเห็นสัญญาณความน่าสงสัยในพฤติกรรมใดๆขึ้นมา พวกนั้นก็คงฆ่าเราในทันที

และยิ่งไปกว่านั้น ถึงผมจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่อันที่จริงผมไม่มีเจตนาที่จะสร้างดินแดนปีศาจขึ้นมาใหม่แล้วไปออกรบอีกรอบ ไม่รู้รึไง?

บอกว่า พวกปีศาจจะมีการแยกกลุ่มันหากไม่มีตัวผมอยู่ แต่เอาจริงๆนั่นนั่นมันก็อนาคตอันไกลนี่นา

มันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดในตอนนี้เสียเมื่อไหร่

และก็… มีอีกเรื่องที่ไม่สำคัญเท่า

“ผมคิดว่า การกลับไปที่ดินแดนปีศาจนั้นเป็นความคิดที่แย่”

ดวงตาของซาร์เคการ์ถึงกับลุกวาว ราวเขาเขาคิดอะไรออก

ผมไม่อยากกลับไปดินแดนปีศาจแต่แรกผมไม่ชอบที่นั่นหรอก ตอนนี้ผมอยากจะอยู่สบายๆในกาเดียม

เมืองนี้ดี๊ดี สะดวกสบาย ผมไม่อยากอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีรถไฟหรอกนะ !

“ที่นี่น่ะเป็นใจกลางดินแดนศัตรู เพื่อจะเอาชนะศัตรูได้ ,เราต้องรู้จักศัตรูให้ดีก่อน

ดังนั้นพวกเราจะต้องเรียนรู้วิธีชีวิตของพวกมนุษย์ที่นี่ ”

ไม่ยากเลยที่ผมจะหาเหตุผลมารองรับได้ ผมน่ะนะปรมาจารย์ในการแถขั้นเทพอยู่ล้าว

“โอ้ , ท่านช่างเป็นองค์ชายในอุดมคติยิ่งนัก

ทั้งความกล้าหาญ ชาญชัยที่จะมุ่งตรงเข้าไปยังใจกลางศัตรู !

ช่างเป็นความสูงส่งของราชาที่ไม่อาจมีใครเลียนแบบบบบบบ !”

ไม่อะ ผมแค่อยากจะอยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟเฉยๆ แหละ

ก็ขนาด เอเลริสที่อาศัยอยู่ที่นี่ ยังไม่เคยโดนมนุษย์เจอตัวเลย

ความเป็นไปได้ที่ผมจะโดนเจอตัวก็คงน้อยมากๆเลยล่ะ

ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องออกไปจากเมืองกาเดียม

เมืองนี้เป็นเมืองที่ดีที่สุดในทวีปที่น่าอยู่และถึงตายผมก็ไม่อยากไปจากที่นี่

เว้นก็แต่ว่าจะโดนเจอตัวว่าเป็นปีศาจ

ผมอยากจะใช้ชีวิตสบายๆชิลๆอยู่แบบนี้ไปสักพักจนถึงตอนจบ

มันจะเป็นอะไรที่ดีมากๆสำหรับผมที่จะไม่เข้าไปป่วนสตอรี่หลักไปมากกว่านี้ แล้วตอนจบก็จะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ โดยที่ผมอยู่ภายใต้การดูแลของ เอเลริส

มันไม่ได้มีเงื่อนไขอะไรในโลกนี้ที่ต้องทำอยู่แล้ว ถูกไหม ?

แหม ข้ออ้างผมนี่ก็ได้ผลดีอยู่นี่นา ?

เขาน่ะเกือบจะร้องไห้ออกมาเพราะข้อแก้ตัวที่ฟังดูสมเหตุสมผล ,โดยเชื่อว่า ผมตั้งใจที่จะพิชิตศัตรูด้วยการเรียนรู้วิถีของพวกนั้นก่อน

ดูเหมือนเขาจะนับถือในความกล้าหาญของผม

“ฝ่าบาท หากท่านคิดเช่นนั้น กระผมก็มีความคิดที่ดียิ่งกว่านั้น”

“.…ความคิดที่ดียิ่งกว่า ?”

ไม่ นะ, ถึงผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ ผมมั่นใจ 100%แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับผมแน่นอน

“เพื่อจะจัดการพวกมนุษย์ มีเพียงทางเดียวคือต้องรู้จักมนุษย์ให้ดี !

กระผมขอนับถือสติปัญญาของท่านนัก !”

ไม่นะเฮ่ย

แกกำลังจะพูดอะไรออกมาน่ะ ?

“ด้วยการเข้าสู่ 'วิหาร '  ท่านจะสามารถได้เรียนรู้วิถีของพวกมนุษย์ !

ใช้อาวุธของพวกนั้นกำจัดพวกนั้นเองเท่านั้นถึงจะเป็นวิธีการล้างแค้นอย่างแท้จริง !””

โอ้

นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ยยย ?

โลย่าพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของ ซาร์เคการ์

“ข้าว่ามันเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย”

“หือ,หาา  ?”

“วิหารนั้นไม่ได้เป็นแค่สถานที่เลี้ยงดูเด็กๆในจักรวรรดิเท่านั้นหากแต่ยังเป็นศูนย์รวมเด็กเผ่ามนุษย์ทั้งหมด

เมื่อท่านโตขึ้นที่นั่นท่านก็จะได้รู้จักกับบุคคลสำคัญในสังคมมนุษย์

หากท่านคิดจะสู้กับจักรวรรดิ ท่านก็ต้องรู้ว่าศัตรูนั้นเป็นใครและคิดอย่างไร

หรือบางทีท่านอาจจะสามารถปราบพวกนั้น ทำลายจักรวรรดิจากภายในได้เลยนะครับ ”

ไม่ เดี๋ยวก่อน

อะไรนะ ?

ผมไม่ได้มีความตั้งใจที่จะไปแทรกแซงเนื้อเรื่องหลักนะ

โลย่ากลับมองไปที่ซาร์เคการ์เป็นเชิงเห็นดีเห็นงามกับสิ่งที่เขาพูด

ซาร์เคการ์ ก็แถมให้อีกว่า

“แถมวิหารตอนนี้ก็ยังบ่มเพาะเด็กๆผู้มีพรสวรรค์ มีพลังอันยิ่งใหญ่ พวกนั้นตั้งใจที่จะปั้นให้เหล่าผู้มีพรสวรรค์นั้นเป็นเหมือนดั่งนักรบผู้กล้าอาร์โทเรียส

กระผมแน่ใจเลยว่า สิ่งที่จะช่วยเราได้มาก ในการที่รู้ว่าต้นอ่อนใดจะเติบโตขึ้นและเราควรจะถอนต้นอ่อนผู้มีพรสวรรค์คนใดก่อนที่จะเติบใหญ่จนเกินไป ”

ถูกแล้วล่ะ วิหารน่ะเป็นสถาบันที่จะคอยดูแลผู้มีพรสวรรค์ให้กลายเป็นกองกำลังที่ทรงพลัง

แถมในวิหารเองก็จะมีชั้นเรียนพิเศษที่จะฟูมฟักผู้มีพรสวรรค์ให้สืบทอดตำแหน่งผู้กล้าอาร์โทเรียสและพวกพ้อง

และใช่ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ตัวละครหลักอยู่กัน

ดังนั้นแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องไปที่นั่นอยู่แล้วถูกไหม ทำไมผมต้องไปที่นั่นด้วยล่ะฟะ ?

โอ้ย ผมจะบ้าตาย

ผมโดนดึงเข้าไปพัวพันกับเนื้อเรื่องเพียงเพราะพูดผิดไป

เอเลริส!

ช่วยด้วยยย !

เธอน่ะไม่อยากให้ผมกลายเป็นอาวุธสงครามใช่ไหมล่ะ ?!

ผมทำตาออดอ้อน ส่วนเอเลริสก็เห็นและยิ้มให้ผม

“ฉันคิดว่า เป็นความคิดที่ดีนะคะ,ฝ่าบาท”

เฮ้ย นี่มันอะไรเนี่ย ? อยู่ๆเธอไปเห็นด้วยได้ยังไงกัน?

ที่แปลกที่สุดจนยากจะเข้าใจคือทำไม เอเลริส,ที่ควรจะแย้งความเห็นของ ซาร์เคการ์กลับเห็นด้วย

“เอ่อ เดี๋ยวก่อนนะ ….”

ผมพยายามที่จะหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ที่ทั้งสามเห็นด้วย

“ไม่ว่า จะซ่อนตัวด้วยเวทย์มนตร์ยังไง มีความเป็นไปได้ที่พ่อมดที่วิหารจะตรวจเจอนะ  ไม่คิดว่า มันอาจเกิดขึ้นได้เหรอ ? มันจะเป็นอันตรายมากเลยนะหากตัวตนของผมโดนเปิดเผยขึ้นมาน่ะ”

เจ้าพวกนี้ตั้งใจจะฆ่าผมเหรอ ?

“ท่านอย่างห่วงไป , ฝ่าบาท”

ซาร์เคการ์ยิ้มพลางถอดแหวนตัวเองออก

“นี่เป็นแหวนที่ส่งมาให้จากรุ่นสู่รุ่นในเผ่าของกระผม”

“อ่าฮะ,แล้วมันยังไงรึ ?”

“เพียงแค่สวมแหวนนี้ท่านก็จะสามารถใช้พลังแบบเดียวกับเผ่าของกระผมได้”

อะไรนะ ?

ทำไมมันถึงได้มีไอ้ของแบบนี้ขึ้นมาได้ล่ะ ?

เวลาแบบนี้ทำไมมันดันมีของสุดสะดวกแบบนี้โผล่ขึ้นมาล่ะฟะ ?

ห้ะ ? ไม่น่าเชื่อจริงๆให้ตายเถอะ

ทำไมไอ้เผ่าโพลี่มอร์ฟิค เฮงซวยนั่นถึงได้ส่งต่อแหวนที่มีความสามารถในการแปลงร่างจากรุ่นสู่รุ่นได้ฟะ ?

ทั้งๆที่มันไร้ประโยชน์สำหรับพวกเขาแท้ๆเลย !

นี่มันอยู่ๆก็ใส่เซตติ้งขึ้นมามั่วๆเพื่อตอนนี้เลยไม่ใช่เรอะ ?!

[รู้รึยังว่า มันรู้สึกยังไงตอนที่อยู่ๆมีอะไรก็ไม่รู้ไม่มีที่มาในนิยายโผล่ขึ้นมาน่ะ ห้ะ?]

[เจ้างั่ง ]

ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรผ่านสายตาตัวเองไป แต่มองไม่ทัน

นั่นมันอะไรกันน่ะ ?

“นั่นมัน , นั่นมันผมจะรับแหวนอันแสนสำคัญที่ตกทอดกันมายาวนานขนาดนั้นได้อย่างไร ?

มัน น่าจะเป็นอะไรที่ล้ำค่ามากๆสำหรับนายนะ แบบเป็นของที่ระลึกถึงพ่อแม่ของนาย ถูกไหม?”

ผมแทบจะหาข้ออ้างไม่ได้แล้ว

“มันเป็นเครื่องระลึกถึงการเผชิญหน้าในภารกิจอันยิ่งใหญ่เพื่อที่จะรื้อฟื้นดินแดนปีศาจขึ้นมาใหม่ !

ได้โปรดรับมันไว้เถอะครับ ,ฝ่าบาท !”

ซาร์เคการ์สวมแหวนให้ผมขณะที่ตะโกนเป้าหมายของตัวเอง

“ประเทศชาติอันรุ่นโรจน์เข้มแข็งอยู่ในมือพวกเราแล้วววววววววววววว !”

และผมก็กลายเป็นเหยื่อข้อแก้ตัวของตัวเอง

ก็เห็นอยู่ชัดๆแล้วนี่นะ ว่าคนที่ส่งผมมาโลกนี้เนี่ย ดูเหมือนจะไม่อยากให้ผมตายสบายๆ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด