ตอนที่แล้วเจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่  16
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่  18

เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 17 


เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 17 

มีเหตุผลเหมาะสมที่ เราเลือกที่นี่เป็นสถานที่นัดพบ

เค้าท์ พอนทีอัส นั้นมีข้ารับใช้หลายคนที่ไม่รู้ว่า เขานั้นเป็นปีศาจ ,อีกทั้งมักจะมีชนชั้นสูงที่มีชื่อเสียงมากมายที่มักมาเยี่ยมเยือนเขา

ส่วนร้านของเอเลริสและชั้นสองชั้นลอยของเธอก็แคบเกินไปสำหรับพวกเราสี่คน

ฐานทัพของหมาจรจัดไอรีนก็เป็นสถานที่ที่ไม่มีใครอยากมาเพราะคลาคร่ำไปด้วยพวกขอทาน

พวกเขาบอกให้ผมรู้ว่า ที่นี่เต็มไปด้วยมุมลับตามากมาย

เอเลริสเดินผ่านฝูงขอทานที่โดนเวทย์ภาพหลอน

แม้เราจะเดินผ่านหน้าพวกขอทานไปตรงๆก็ไม่มีใครรับรู้การมีอยู่ของพวกเรา

มีอุโมงขนาดใหญ่อยู่ใต้สะพาน สถานที่ที่นี้ดูเหมือนจะเป็นฐานทัพจริงของพวกเขา

พวกเขาบอกผมว่า เดิมทีที่นี่สมควรจะถูกใช้เป็นทางระบายน้ำ เวลามีน้ำฝนหลั่งไหลมาจากเมืองสู่แม่น้ำไอรีนในช่วงที่ฝนตกหนัก

มันจึงเป็นสถานที่ที่ไม่ค่อยมีใครมา ทั้งยังเป็นสถานที่สำหรับให้หมาจรแห่งไอรีนนั้นซ่อนตัวเวลาที่กลายร่างเป็นไลแคนโทรป

มีขอทานหลายคนนอนหลับ มีทั้งผ้าห่มไม้ถูกพื้นและเพิงที่สร้างอย่างง่ายๆ มันเป็นอาณาจักรของพวกขอทานอย่างแท้จริง

เมื่อเรายิ่งเดินลึกเข้าไปข้างใน ก็ไม่เจอเพิงพวกนั้นอีก เราเข้าไปยังทางระบายน้ำใต้ดินลึก ไม่มีที่สิ้นสุด

เราก็เห็นแสงเล็กๆอยู่ไกลออกไป

มีใครบางคนนั่งอยู่หน้ากองไฟ

ถึงแม้จะเป็นหัวหน้าขอทาน แต่ก็ยังคงถือว่าเป็นราชาองค์หนึ่ง แต่ดูเหมือนรอบข้างเขานั้นไม่มีอะไรพิเศษ

คนๆนั้นเหมือนกับสุนัขที่กำลังผิงรับไออุ่นจากกองไฟอยู่ คนที่อยู่ตรงนั้นสวมเสื้อเชิ้ตขาดๆกับกางเกงขาวยาวดูยุ่ยๆ โดยมีผมสีเทามัดไว้หยาบๆ

หมาจรจัดแห่งไอรีน

“อยู่นี่ , นายข้า”

พอมาคิดดูแล้ว เขาไม่บอกผมสักหน่อยว่า เจ้าหมาจรตัวนั้นเป็นผู้ชาย ..

ราชาขอทาน

หมาจรจัดแห่งไอรีน

หัวหน้าแก๊ง

“โลยาร์แสดงความเคารพองค์ชาย”

เธอคุกเข่าลงตรงหน้าผมทันทีที่เห็นผม

หมาจรตัวนั้นชื่อว่า โลยาร์(Loyar) และผมรู้ได้ในทันทีเลยว่า เธอเป็นไลแคนโทรปประเภทหมาป่า

“…อ่า , ยินดีที่ได้เจอเจ้านะ ถึงจะเป็นที่แบบนี้ก็เถอะ”

พวกเราอยู่ในเมืองหลวงกาเดียมแต่กลับต้องมาเจอกันในทางระบายน้ำทิ้ง

“แล้วซาร์เคการ์มาด้วยหรือเปล่า ?”

โลยาร์พยักหน้าให้กับเอเลริส

“ชนชั้นสูงทุกคนต่างยุ่งกันทั้งนั้น  มีงานเลี้ยงเฉลิมฉลองและอะไรเยอะ

เดี๋ยวเขาก็มาถึงเอง เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับพวกเรา ”

เอเลริสนั้นเป็นพวกรักสงบ เธอเลยประหลาดใจตอนที่เห็นว่าผมยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ ส่วนโลยาร์นั้นกลับไม่ได้มีท่าทีตกใจใหญ่โตอะไร

ผมจะเดาเรื่องนี้ว่ายังไงดี เหมือนกับว่า เธอไม่ได้เป็นห่วงผมอะไรมากมายขนาดนั้นหรือเปล่านะ ?

“โลยาร์ , ฉันจะบอกไว้ก่อนนะ ท่านน่ะเสียความทรงจำไปหมดยกเว้นแต่เรื่องที่ ท่านเป็นใคร… ท่านน่ะจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว”

พอได้ยินดังนั้น โลยาร์ก็มองมาที่ผม

“……จริงเหรอ ?”

“อืม จริง ……ไม่รู้มันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง”

“หืมมม ….”

แววตาของเธอเจือด้วยความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก

“ข้าดีใจนะได้ยินแบบนั้น”

“..…นี่เธอดีใจกับเรื่องนั้นเหรอ ?”

“ก็แน่แหละ ก็ปกติท่านน่ะจะชอบสั่งให้ฉันนอนผงาย และโชว์ท้อง แล้วก็บอกว่า เป็นหมาก็สมควรทำตัวให้เหมือนกับหมา”

“……ผม, ผมทำแบบนั้นเหรอ ?”

“ช่าย บางทีท่านก็เอาปลอกคอมาล่ามข้าด้วย”

หา ….”

โลยาร์คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น

โอ้ววว ม่าย นี่เธอกำลังจะบอกผมว่า นี่ผมปฏิบัติกับพวกไลแคนโทรปไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงงั้นเหรอเนี่ย ?

ริมฝีปากเอเลริสกระตุกตุบๆขณะที่พยายามจะปั้นยิ้ม

“ละ, โลยาร์ …. จะ จากที่จำได้เห็นว่า เธอเองก็ชอบให้ทำแบบนั้นเหมือนกัน ……”

“ข้าชอบซะที่ไหนล่ะ?!”

ใบหน้าของโลยาร์แดงก่ำ พวกเธอคุยอะไรกันอยู่ฟะเนี่ย ? นี่ผมปฏิบัติกับไลแคนโทรปที่จะกลายร่างเป็นหมาป่าตอนพระจันทร์เต็มดวง เหมือนหมาธรรมดาๆเนี่ยนะ ?

หรือแม่นี่จะเป็นสัตว์เลี้ยงของผมงั้นเหรอ ?

“ระ , เรื่องนั้น ….ผมจำไม่ได้จริงๆ , ก็ต้องขอโทษด้วยนะ ….”

“อ่า ไม่เป็นไร”

สีหน้าเธอมันไม่ได้บอกว่า ไม่เป็นไรตรงไหนเลยเฟ้ย

แต่จะว่าไปถ้าผมเป็นเหมือนเธอบ้าง ผมคงเกลียดสุดๆเลยแหละที่โดนปฏิบัติแบบนั้น

พอมาคิดๆดูแล้ว ได้ยินว่า ผู้ที่อาสามาทำภารกิจสปายนี่ก็คือพวกไลแคนโทรปนี่นา เป็นไปได้ไหมว่า ที่เธอจะพยายามเป็นอาสาสมัครทำงานนี้เพื่อที่จะได้อยู่ไกลๆผม ? พอมาคิดๆดูแล้ว มันก็สมเหตุสมผลอยู่แฮะ

ผมสามารถหนีมาใช้ชีวิตรอดปลอดภัยอยู่ที่นี่ได้แล้ว แต่ผมจะไว้ใจเธอได้ไหมนะ ?

“อะ, เอ้อ ….ผมก็ลบล้างอดีตตัวเองไม่ได้ แต่ผมก็ขอโทษละกัน …. ต่อจากนี้ไปก็สนิทๆกันไว้”

ผมยื่นมือออกไปหา เธอเพื่อแสดงว่า ผมไม่ได้มาร้าย

-แปะ

ผมอยากที่จะจับมือกับเธอ

แต่เธอกลับยื่นมือมาทับมือผมไว้ เธอไม่ได้จับมือผม หากแต่เอามือมาวางทับเหนือมือของผม

ทันทีที่เธอรู้ว่าตัวเธอทำอะไรอยู่ โลยาร์ก็เลิ่กลั่กแล้วพยายามลดมือลงซ้อนกับมือผม

เมื่อกี้นี้น่ะมัน ……

เธอน่ะเพิ่งทำการตอบรับด้วยการ ‘ให้มือ ' ใช่ไหม ?

“ขอมือ”

– แปะ

ทันทีที่ผมกางฝ่ามือออกมา โลยาร์ก็วางมือแปะบนมือผม เธอทำไปเองอัตโนมัติโดยไม่ได้คิดก่อนที่จะรีบชักมือกลับไป

“ฝะ ,ฝ่าบาท ….นี่ทำไมข้าทำแบบนั้นเนี่ย ?”

โลยาร์พูดขณะที่เหงื่อแตก

เอเลริสที่เงียบมาตลอดก็พูดขึ้นมาบ้าง

“ดูเหมือนร่างกายจะจดจำได้ดี โดยไม่ต้องผ่านหัวสินะ”

“อะ , โอ้ ,ไม่น้าาาา !”

“ฝ่าบาทคะ ท่านไม่ลองบอกให้เธอนอนลงผงายท้อง แล้วเปิดพุงดูล่ะคะ ?”

“เฮ่ย !”

“ตอนนี้เธอนอนคว่ำแล้วค่ะ ท่านลองดูสิคะ”

“มะ,ม่ายน้าา ! ทำไมฉันถึงต้องไปทำแบบนั้นด้วยล่ะ!”

ผมไม่อาจสั่งจริงๆนะ ผมเชื่อว่า ถ้าผมสั่งเธอก็คงทำตามนั่นแหละ

โลยาร์โดนฝึกมาดีอะไรขนาดนี้นะ?

นี่แปลว่าในอดีต ตัวผมนี่เคยบุลลี่เธอบ่อยครั้งขนาดไหนกันเนี่ย ?  ถึงขนาดที่ร่างกายจดจำได้ในทันทีโดยไม่ต้องคิด

ผมชักกลัวขึ้นมาแล้วว่า ถ้าผมสั่งว่า ‘นั่งซะ’ แล้วเธอจะนั่งลงจริงๆ

“อืม เอิ่ม โทษที ,ผมจะระวังให้มากกว่านี้”

“…อื้ม ….”

แม้เธอจะเกลียดผมจากก้นบึ้งจิตใจแต่ร่างกายเธอนั้นก็เป็นดั่งหมาที่ซื่อสัตย์ต่อเจ้านาย

พอคิดๆดูแล้ว ผมว่าพักเรื่องกังวลเกี่ยวกับโลยาร์ไว้ก่อนดีกว่า

ผมไปนั่งข้างกองไฟด้วย

พอซาร์เคการ์มาถึงเราจะได้คุยเรื่องรายละเอียดกันเลย

ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรเข้ามาจากที่ไกลๆ เสียงมันสะท้อนก้องในท่อระบายน้ำ

– โอ้ววววววววววววววอ้าาาาาาาาาา !

ผมมองไม่เห็นหน้าเลย แต่ผมสัมผัสได้เลยว่า นี่มันคนเจ้าปัญหาชัดๆ

และก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้

พอซาร์เคการ์(Sarkegaar)มาถึง เขาก็กอดผมแล้วร้องไห้โหยหวนเสียงดัง

'โอ้เหวย โธ่เอ๋ยคุณพระช่วย ! เจ้ามนุษย์ผู้ชั่วช้าต่ำทรามฆ่าองค์ราชาจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเรา ! 

พวกนั้นมันใช้เล่ห์กล สุดขี้ขลาดต่ำทราม!

แล้วพวกเราจักทำอย่างไร ? มีอะไรที่พวกเราทำได้บ้างงงง ? 

แต่การที่ได้เห็นฝ่าบาทยังคงปลอดภัยเช่นนี้ , มันช่างเหมือนแสงอรุณแห่งความหวังที่สาดส่องมาสู่ประชาชนพลเมืองแดนดินถิ่นปีศาจ ช่างเป็นปาฏิหารย์นัก !

โฮวววววว ! 

ขอความกรุณาให้ฝ่าบาทรีบโตขึ้นมาแล้วฟื้นคืนดินแดนปีศาจให้แข็งแกร่ง ยิ่งกว่าก่อนหน้าพร้อมกันนั้นก็กำจัดเจ้ามนุษย์ตัวตนที่สุดจะโสมมนั่นด้วยเถิดดดดดดดดด!'

เขาเริ่มพูดอะไรสักอย่างแล้วก็ร้องไห้เสียงดังลั่นไปกว่า 10 นาที

แล้วพอผมบอกเขาว่า ผมความจำเสื่อม เขาก็ยิ่งร้องไห้ดังขึ้นไปอีก

ไม่รู้แล้วแฮะ ผมว่าตัวผมเดิมเป็นคนที่เลวทรามมากขนาดไหน ? แล้วทำไมเขาถึงต้องเสียใจขนาดนี้ล่ะ ?

อ่าาา ดูจากการกระทำของเขาตอนนี้ แปลว่า แม้แต่เจ้าชายคนก่อนเนี่ย ถึงนิสัยจะแย่แค่ไหนก็ไม่อยากยุ่งกับเขา

เสียงของเขามันดังเสียจนทำเอาทางระบายน้ำสั่นไหวไปหมด

เสียงดังเสียจนเอเลริสต้องร่ายเวทย์เก็บเสียงรอบตัวเรา

“คะฮึก ….ฟืดดด  ….ฮือฮือ ฮึกฮืออ ….”

ขนาดผมที่ไม่ได้คิดอะไรกับการร้องไห้ของเขาก็ยังอยากจะหลั่งน้ำตาออกมาเลย

ไม่สิๆ อันที่จริงผมไม่ใช่พวกบ่อน้ำตาตื้นที่จะร้องไห้เพียงเพราะเห็นใครมาร้องไห้ต่อหน้าผมหรอกนะ

ไม่เลย ไม่มีทางแน่ เจ้าหมอนี่น่ะร้องไห้หนักมากเลยจริงๆ

นี่มันอะไรกันเนี่ย ?

ถึงอย่างไรเสีย ซาร์เคการ์ก็เป็นผู้จงรักภักดีจนเกินเบอร์จนแทบจะเรียกได้เลยว่า คลั่ง

ตัวเขานั้นสะอื้นสูดน้ำมูกสักพักใหญ่ ก่อนจะไอโขลกเขลก ผมกลัวว่าเขาจะหายใจไม่ทัน ก็เลยพยายามปลอบใจเขา

“ทำไมเฟียนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วถึงได้มาร้องไห้แบบนี้กันล่ะ ? หืม ? ร้องอย่างกับประเทศล่มสลายไปแล้วอย่างนั้นล่ะ”

พอมาคิดๆดูแล้ว ประเทศของพวกเราก็ล่มสลายไปแล้วจริงๆนั่นแหละจากสำนวนกลายเป็นความจริงเสียอย่างนั้น

ซาร์เคการ์มองกลับมาที่ผมหลังได้ยินคำพูดนั้น

“กระผมเข้าใจแล้ว ! ท่านพูดถูกแล้วขอรับ ! ปีศาจยังมีชีวิตอยู่ ,ดินแดนปีศาจยังไม่ล่มสลายเช่นกัน!

นี่กระผมแสดงความไม่ภักดีแบบนั้นออกมาได้ยังไงกัน !

ดินแดนปีศาจยังอยู่และยังอยู่ดีด้วย ! ได้โปรดลงโทษกระผมเถอะขอรับบบบบบ !”

ชายคนนี้บิดเบือนคำพูดของผมหน้าตาเฉยเลย แถมยังไปปลุกความมุ่งมั่นของตัวเองขึ้นมาอีกต่างหาก

โลยาร์กับเอเลริสมองผมด้วยสายตาเหมือนพยายามจะขอโทษกับสถานการณ์เช่นนี้

เหมือนพวกเขาจะคุ้นเคยดีกับพฤติกรรมดังกล่าวของซาร์เคการ์ดี หลังจากที่ทำให้เขาสงบลงได้แล้ว พวกเราก็มานั่งล้อมรอบกองไฟกัน

ช่างเป็นสถานที่นัดพบที่เหมาะจริงๆสำหรับเจ้าชายและข้ารับใช้แห่งจักรวรรดิที่ล่มสลายไปแล้ว ซาร์เคการ์นั้นมองผมด้วยสีหน้าแน่วแน่

“ท่านต้องรื้อฟื้นดินแดนปีศาจกลับมา”

เอเลริสมองมาที่ผม เหมือนอยากจะเตือนให้ผมนึกถึงบทสนทนาที่เราคุยกันก่อนหน้านี้

“อ่า , อื้ม ….พูดถูกแล้ว”

“เพื่อเป็นการแก้แค้นให้ราชาองค์ก่อน พวกเราจะต้องสร้างชาติที่เข้มแข็งยิ่งกว่าที่เคยมีมา …!”

“อ๊า , ไอ้เวรนี่ ! ถ้าแกยังพูดจาสวยหรูไม่เกิดมรรคเกิดผลอะไรอีกข้าจะกระชากลิ้นแกออกมาเอง !”

โลยาร์ตะโกนดังลั่น

ใช่แล้วล่ะ ต่อให้เป็นนิยาย หากตัวละครเอาแต่พูดอะไรแบบนี้ แม้แต่ผู้เขียนเองก็ยังสาปส่งเรื่องที่ว่ามันเปลืองหน้ากระดาษมากเกินไป

ซาร์เคการ์ก็เลยแกล้งกระแอมกระไอเพื่อที่จะพูดบทสนทนาองค์สามต่อไป

“อะแฮ่ม ขอประทานอภัยด้วยขอรับ ฝ่าบาท

อันเนื่องจากการที่กระผมได้ทราบข่าวเรื่อง ท่านราชาจอมมารได้ถึงแก่สวรรคตไปแล้ว ราวกับว่าโลกทั้งใบนี้ได้ถึงจุดจบ ….”

“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ”

ดูเหมือนเขาจะเป็นคนประเภทที่ถ้าอยากพูดอะไรก็ต้องพูดให้จบโดยไม่สนอะไรทั้งนั้น

การได้ยินข่าวว่า ฝ่ายปีศาจพ่ายแพ้นั้นสำหรับคงไม่ต่างจากเหตุการณ์ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย

ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังรอดชีวิตได้อยู่ เขายังคงเหลือความหวังสุดท้ายที่ทำให้จิตวิญญาณนักต่อสู้ลุกโชนขึ้นมา

“รื้อฟื้นดินแดนปีศาจกลับคืนมาสินะ

มันก็ดีแหละนะ แต่ตอนนี้มีแค่เรากันสี่คนแถมผมยังเป็นแค่เด็กที่ไม่มีความสามารถอะไรอีกด้วย ”

“การที่ท่านเรียกตัวเองเช่นนั้นไม่ยุติธรรมเลยนะครับ ! สายเลือดฝ่าบาทนั้นสูงส่งเป็นที่สุด !

ท่านเป็นอาร์คเดม่อนเพียงคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ในโลกใบนี้ !-”

“ช่าย,มันก็เป็นแบบนั้นแหละ”

ผมตัดบทสนทนาของซาร์เคการ์

“ว่าแต่ อาร์คเดม่อนมันคืออะไรกันล่ะนั่น ?”

ก็แค่อาร์คเดม่อนไม่ใช่เหรอ ทำไมพวกเขาไม่ออกไปตามหาจอมมารคนใหม่ แต่ดันมาติดแจกับผมแทนล่ะนั่น?

ผมไม่เข้าใจเรื่องนั้นเลย

ทุกคนต่างมองผมด้วยความงุนงงสงสัยบนใบหน้า

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด