ตอนที่แล้วเจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 15
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 17 

เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่  16


เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่  16

จากใบหน้าที่ซีดเซียวของเอเลริสแล้ว ผมรู้เลยว่า อดีตเจ้าชายคนนี้มันเป็นคนยังไง จากพฤติกรรมหลายๆอย่างที่สังเกตมา ผมเดาไว้แล้วว่า เจ้าหมอนี่มันสันดานแย่พอตัว

“แล้วก่อนหน้านี้เธอเคยคุยกับผมมาก่อนหรือเปล่า ?”

พอมาคิดๆดูแล้ว เอเลริสจำผมได้ก่อน แปลว่า น่าจะเคยเจอเคยเห็นผมมาก่อนแล้ว ในฐานะแวมไพร์ระดับสูง แต่เอเลริสก็พูดเสียงค่อย

“ก็  , ฉันเคยเป็น…..ติวเตอร์ของท่านน่ะค่ะ”

“…แปลว่า เราสนิทกันพอสมควรเลยสินะ ?”

ไม่ใช่ว่าแปลว่า เราสนิทกันขนาดนั้นเลยเหรอ ?

“ตะ แต่ก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆแหละค่ะ ความสามารถของฉันนั้นไม่มากพอที่จะสอนฝ่าบาทได้ ….”

ดูเหมือนนิสัยเดิมของเจ้าชายคนนี้มันเกิดจะรับไหว ถ้าเธอไม่โดนไล่ออกก็คงจะขอลาออกเองในเวลาไม่นานนั่นแหละ

“เอาล่ะค่ะ อดีตก็คืออดีตนะคะ ตอนนี้ท่านมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันอยู่ จริงไหมคะ?”

ดูเหมือนเอเลริสพยายามอยากให้ผมหยุดคุ้ยเขี่ยเกี่ยวกับตัวเองในอดีต ผมยิ่งแน่ใจว่า ตัวผมคนก่อนนี่ต้องเป็นคนเฮงซวยแน่ๆ แต่ประเด็นคือ ระดับไหนกันล่ะ ?

“เดี๋ยวนะ ,สปายคนอื่นๆก็รู้จักผมเป็นการส่วนตัวด้วยเหรอ ?”

“อ่าอืม ….ค่ะ , รู้จักแน่นอนค่ะ แต่ว่า ….”

เอเลริสจับไหล่ให้ผมมองจ้องเข้าไปในดวงตาของเธอ

“ท่านเป็นอาร์คเดม่อนคนสุดท้ายนะคะ พวกนั้นรู้ดีว่า เรื่องนั้นสำคัญขนาดไหน”

อะไรเนี่ย นะนะ น่ากลัวชะมัด

พอจอมมารตาย สงครามโลกปีศาจก็จบลงตรงที่กองทัพพันธมิตรฝ่ายมนุษย์ได้รับชัยชนะ

ถือว่าเป็นโชคไม่ดีที่พวกนักรบทั้งหลายต่างตายตกตามไปในการสู้รบที่ดุเดือดกับจอมมารและสี่จตุรเทพ  ส่วนเจ้าหญิงก็กลับวังอย่างปลอดภัย

แล้วข่าวดังกล่าวก็ประกาศให้รู้กันทั่ว

ท้องถนนเต็มไปด้วผู้คนที่โห่ร้องดีใจ

มันเป็นเพราะประชาชนไม่ต้องเข้าไปตายเพื่อสู้รบกับปีศาจอีกต่อไปแล้ว แถมเจ้าหญิงลำดับหนึ่ง ที่เคยคิดว่าตายไปแล้วก็ยังรอดชีวิตกลับมาได้

ไม่เพียงแต่เมืองหลวงอย่างเดียว แต่เป็นทั่วทั้งทวีปที่มีแต่เสียงโห่ร้องตะโกนดีใจ

“ว้าว  นี่ของดีเลยนี่”

“……คะ ?”

“ไม่มีอะไร,พวกเขาดูจะดีใจสุดๆเลยนะ”

ผมกับเอเลริสเดินไปตามถนนริมทาง แล้วก็กินไก่เสียบไม้ ที่เจ้าของบอกกับปากเองว่า ฟรี

ในตอนนี้เอเลริสร่ายเวทย์ใส่ผมเพื่อให้ดูเหมือนผมเป็นเด็กชายธรรมดาๆ  ส่วนตัวเธอก็ร่ายเวทย์ปลอมตัวด้วยเช่นกัน

ชัยชนะในสงครามโลกปีศาจนั้นทำให้ผู้คนทั้งหลายในละแวกย่านนักเลงเองก็แวดล้อมไปด้วยของฟรี

เอเลริสดูจะไม่เข้าใจว่าทำไม ตัวผมที่สูญเสียทุกอย่างไปภายในวันเดียวกลับยังสามารถเพลิดเพลินกับไก่ย่างเสียบไม้  ในประเทศศัตรูที่ทำลายประเทศบ้านเกิดผม

เธอควรจะดีใจที่สงครามจบได้ แต่ทำไมถึงไม่ดูดีใจแบบนั้นล่ะ ?

“ก็ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ ก็เพลิดเพลินกับมันละกัน”

“อ่าค่ะ , เรื่องนั้น ก็ใช่ค่ะ ….”

แต่เอาจริงๆผมเครียด อยู่นะ

อันที่จริงมันไม่ใช่เรื่องที่ว่าดินแดนปีศาจนั้นโดนทำลายไปแล้วหรือไม่หรอกนะ

มันเป็นเรื่องที่ผมนั้นไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อยธรรมดาที่ต้องให้แวมไพร์สาวสวยคอยปกป้อง

ผมอยากที่จะอยู่อย่างสงบแต่ก็ดันมาจบลงแบบนี้จนได้

การที่ได้คนอย่างเอเลริสคอยดูแลให้ถึงว่าเป็นชีวิตที่สงบสุขและสะดวกสบายดี

แต่สุดท้ายผมรู้ดีว่า เรื่องดีๆแบบนี้ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก

“พวกนั้นอยู่กันตรงนั้นกันหมดสินะ ?”

“ใช่ค่ะ  , พวกเขากำลังรอฝ่าบาทอยู่ค่ะ”

พวกเรากำลังเดินไปพบกับปีศาจที่ยังหลงเหลืออยู่ในกาเดียม

-จักรวรรดิจงรุ่งโรจน์ !

-ขอให้ฝ่าบาทและองค์หญิงอายุยืนนาน!

-แด่ผู้กล้าอาโทเรียส !

ทุกคนต่างดื่มด่ำไปด้วยความยินดีกับข่าวการได้รับชัยชนะ

“ฮูเร่ !”

ผมเองก็ร่วมตะโกนฮูเร่ด้วย ส่วนเอเลริสก็ดึงแขนผมไว้

“ฝ่าบาทคะ ! รักษาท่าทีด้วยค่ะ !”

“ทำไมกันล่ะ ? ก็มันสนุกดีนี่นา !”

“ฉันไม่อยากเชื่อจริงๆเลยค่ะ ….”

ก็มันสนุกดีนี่นา เวลาทำตัวเป็นเด็กแบบนี้บ้าง

แต่ก็แหงล่ะ พอผมมานึกถึงอายุจริงตัวเอง ก็อดที่จะอายจนอยากมุดรูเลยล่ะ

* * *

มันมีสิ่งหนึ่งที่สามารถเห็นได้ในเฉพาะเมืองหลวงจักรวรรดิเท่านั้น หนึ่งในนั้นก็คือ รถไฟมานา

มันก็คือ รถไฟเวอร์ชั่นแฟนตาซีนั่นแหละ

มันเป็นโครงการของรัฐบาลกลางจักรวรรดิ เพื่อไว้สำหรับคนที่ไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนด้วยวาร์ปเกท สะพานหรือรถในเมืองหลวงได้

มันเป็นรถไฟที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ ผ่านการใช้พลังงานอันแสนสะดวกสบายที่เรียกว่า หินมานาที่เป็นแก่นกลางของเจนเจแฟนตาซียุคกลาง

ส่วนคอมเม้นท์ที่ผมได้จากเรื่องนี้ก็คือ :

‘น่าตลกฉิบหายเลย  ? มันจะสะดวกสบายเกินไปรึเปล่า ?’

ผมหมายถึง ผมไม่ใช่คนเดียวซะเมื่อไหร่ที่เขียนแบบนี้นี่ ผมก็เลยทำมั่งไงล่ะ ฮ่าฮ่า LOL

‘ก็ในเมื่อสร้างรถไฟได้ ทำไมนายไม่สร้างโทรศัพท์มือถือบ้างล่ะ ?’

ไม่รู้เว้ย lol

ตอนนี้รถไฟที่ว่าก็วิ่งผ่านหน้าผมไป

เมืองที่มีการแบ่งผังเมืองเหมือนโซล ทั้งเส้นทางแผนที่และก็แน่นอนแม้แต่เส้นทางเดินรถไฟก็เหมือนโซล

พวกเราก็ตั้งใจจะไปที่ทางใต้ของสะพานบรอนซ์เกท ด้วยการไปที่สถานีรถไฟมานาที่ตั้งอยู่ในเขตของอัล ไลการ์

ว่าง่ายๆมันก็คือ การนั่งรถไฟจากสถานียงซาน โดยปลายทางคือ สวนสาธารณะบันโพ ฮังกัง (Banpo Hangang River Park)

แปลงสถานที่ง่ายดีใช่ไหมล่ะ

นี่ถ้าผมคิดแผนที่ขึ้นมาเองก็คงจะเป็นเรื่องยากแน่ๆเลย และถ้าผมทำแบบนั้นมันก็ยิ่งทำให้ผมเขียนได้ยากขึ้น ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผู้อ่านเลย แต่พอทำแบบนี้ผมก็เขียนสบายมือล่ะ !

ผมภูมิใจในตัวผมเองในชาติก่อนที่สุดขี้เกียจจริงๆนะ หึหึ

นี่ถ้าผมไม่ใส่เซตติ้งสุดสะดวกสบายอย่างหินมานาแล้วมีหวังผมต้องนั่งรถม้าหรือเดินไปที่นั่นแน่ๆ

ซึ่งเป็นอะไรที่น่ารำคาญใจชะมัด

ผมไม่คิดเลยว่า สถานที่ที่ผมใส่ไว้ในนิยายน่ะจะเป็นที่แบบนี้ไปได้ นี่ถ้าเป็นในโซลนะป่านนี้ผมรู้แล้วว่าเจ้าพวกนั้นอยู่ที่ไหนกัน

ขณะที่รถไฟเคลื่อนขบวนเอเลริสก็บ่นงึมงัมพลางซุกตัวในชุดผ้าคลุมตัวเอง

“มนุษย์เนี่ยสุดยอด”

“อะไรนะ ?”

“พวกเขารู้วิธีการสร้างอะไรอย่างนี้ด้วย”

‘นี่ตั้งใจจะสรรเสริญผมสินะ เพราะผมเลยนะถึงได้มีของพวกนี้ขึ้นมา รู้ไหมล่ะ ? ใช่เลย,ผมเองนี่แหละ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่า แค่ข้อความไม่กี่บรรทัดก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว หรือบางทีผมอาจเป็นพระเจ้าจริงๆก็ได้ล่ะมั้ง ?’

อันที่จริงผมก็ควรจะได้เป็นพระเจ้าของโลกนี้นี่แหละ ถ้าหากผมไม่ตายโง่ๆด้วยความดันขึ้นจากการที่อ่านคอมม้นท์ท็อกซิกเข้าก่อนน่ะ

“พวกเขาน่ะยอดเยี่ยมมากขนาดที่สามารถสิ่งดีๆแบบนี้ได้ด้วยพลังเวทย์ แทนที่จะไปสร้างเวทย์มนตร์ทำลายล้างหรืออาวุธสงคราม”

เอเลริสพูดอย่างหดหู่เหมือนไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง

อันที่จริงพวกปีศาจน่ะเหนือกว่ามนุษย์ในแง่ของพลังเวทย์ เพียงแต่ปีศาจนั้นใช้เวทย์มนตร์เพื่อทำลายล้างเพียงอย่างเดียวแทนที่จะเอาเวทย์มนตร์ไปใช้ในชีวิตประจำวัน

ดังนั้นต่อให้พวกเขามีพลังสุดยอดมากแค่ไหน แต่ดินแดนปีศาจก็ดูยากไร้ ซึมทึม ไม่ได้ดูฟู่ฟ่าหรูหราเลย

ไม่แม้แต่กับเมืองรอบประสาทจอมมาร ที่เป็นป้อมปราการโดดเดี่ยวเพียงลำพัง

แล้วยิ่งมีผู้คนมากมายมาอยู่กันในเมืองหลวงพวกของพวกมนุษย์แบบนี้ เธอที่ได้เห็นอุปกรณ์เวทย์มนตร์ในทุๆวัน และเห็นเวทย์มนตร์กลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อชีวิตมนุษย์

ก็ไม่แปลกที่เอเลริสนั้นจะอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบดินแดนกันดารแห้งแล้งอย่างดินแดนปีศาจกับที่นี่

บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอรู้สึกว่า แนวทางของดินแดนปีศาจนั้นผิด และไม่อยากจะยุ่งเกี่ยว

มันเลยนำไปสู่การที่เฉยคาดหวังว่า ฝ่ายที่ได้รับชัยชนะน่ะจะเป็นฝ่ายมนุษย์ไม่ใช่ฝ่ายปีศาจ

เหมือนผมจะเริ่มเข้าใจความคิดของเธอในระดับนึงแล้ว

โลกที่สร้างแต่อาวุธที่ใช้เข่นฆ่าศัตรู

กับโลกที่ผู้คนดิ้นรนเพื่อทำให้ตัวเองมีความสุข

แต่ถึงเอเลริสจะยินดีกับการที่สงครามจบลงแล้วมนุษย์ได้รับชัยชนะ เธอก็ได้แต่มองความสุขนั้นด้วยดวงตาทว่างเปล่า ไม่ใช่แววตาที่เปี่ยมสุข เนื่องจากการล่มสลายของดินแดนปีศาจ

มันไม่สำคัญหรอกว่าบ้านเกิดคนๆนึงจะเป็นอย่างไร ต่อให้คนๆนั้นไม่อยากหวนกลับไปก็ตาม แต่ก็ย่อมต้องรู้สึกเสียใจเป็นธรรมดาที่ไม่มีสถานที่ให้กลับไปอีกแล้ว

ริมฝั่งแม่น้ำไอรีนนั้นได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

พื้นหญ้าสีเขียวมีการตัดเล็มดูแลเป็นอย่างดี ผู้คนที่เดินผ่านเส้นทางที่ปูหินไว้ดีแล้ว

สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้หวังจะเดินทางไปไหนไกล ก็มีสวนสาธารระที่สร้างไว้ริมแม่น้ำไอรีนเป็นสถานที่ปิกนิกในพื้นที่

“ที่นี่เป็นสถานที่ช่วยให้ฉันอารมณ์ดีเสมอเลยค่ะ”

เอเลริสเผยยิ้มอ่อนโยนออกมาแม้อยู่ใต้แสงแดดจ้า

บางทีเธออาจจะชอบวิวทิวทัศน์ที่นี่มาก มากขนาดที่เธอสามารถยอมทนต่อพระอาทิตย์ได้

“ใช่ วิวดี และจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีเจ้านั่นอยู่ข้างๆ”

“อ่า …. ค่ะ ….”

เอ้าโว้ย …. บ้ะ ….

– เว้ยเฮ้ยยยยยย !

– ไอ้ห่า ! อะไรของมึงหา ! ไอ้เชี่ยนี่ , มึงจะโกงกูสินะ ? 3 มันบอกห่าอะไรบ่อยขนาดนี้วะ ?! ห้ะ ?!

-ใครโกงมึงวะ ? กูน่ะซื่อสัตย์ตลอดชีพเว้ย ! ละมึงเห็นไหมมันออก3 ก็คือ 3 ไง!

ใต้สะพานบรอนซ์เกทนั้น ไม่มีใครอยากไปอยู่ที่นั่น

เพราะใต้เงาทอดยาวของสะพานมันเป็นสถานที่ที่มืดมัวหมองหม่นยิ่งกว่าที่ใดๆ

กลุ่มขอทานที่เมาหยำเป แล้วอ้วก แล้วก็กินดื่ม เล่นพนันลูกเต๋า พอแดดส่องสาดเข้ามาก็ตัวสั่นเทิ้ม

มีขอทานบางคนที่เข้าไปใกล้กับคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเพื่อหวังจะขายลูกอม

“แล้ว พวกแมลงสาบที่มาทำลายความสงบสุขสวยงามของวิวสวยๆนี่ก็คือ แหล่งรายได้หลักของพวกเราสินะ ?”

“ใช่ค่ะ …. ถูกแล้วค่ะ ….”

ทำไมเธอต้องอับอายแทนด้วยล่ะ ในเมื่อเจ้าพวกนั้นเป็นคนทำ ?

ผมไม่ค่อยอยากไปใกล้กับเจ้าพวกนั้นเลย

“นี่ , คุณหนูๆ ซื้อลูกอมจากข้าไปสิ”

แล้วก็มีขอทานโผล่จากไหนก็ไม่รู้ พุ่งตรงมาหาเราแล้วยื่นมือสกปรกออกมา ดูเหมือนจะเห็นว่าเราเป็นเป้าหมายของพวกเขา

เอเลริสถอนใจแล้วรับลูกอมนั้นไว้ เธอไม่คิดจะปฏเสธด้วยซ้ำ

“ห้าบรอนซ์”

หนึ่งโกลด์เท่ากับ  1 ล้านวอน (26,767 บาท ,725$ ) หนึ่งซิลเวอร์เท่ากับ  10,000 won(267 บาท,7.25$)

หนึ่งบรอนซ์ก็ประมาณ 100 วอน (2.69 บาท,0.070$ )

ถ้าผมแปลงหน่วยเงินแบบคร่าวๆ ตกลูกอมเม็ดละ 500 วอนก็ไม่ถือว่าถูก (13.45 บาท,0.36$)

ว่าแต่ลูกอมเนี่ยเป็นสิ่งที่หาได้ทั่วไปในโลกนี้เหรอ ? ไม่ใช่ว่า ที่นี่สามารถหาพวกคาร์โบไฮเดรตได้ง่ายๆเฉพาะในโลกยุคสมัยใหม่รึไงกันน่ะ ?

เอาเป็นว่า มันมีขอทานมาขายลูกอมก็แล้วกัน  ปล่อยเรื่องนั้นไว้อย่างนั้นแหละ ผมคิดไปก็ป่วยการเปล่าๆ

เอเลริสกำลังคิดอยู่ว่า เธอควรจะเอาลูกอมที่ซื้อมาราคา 5 บรอนซ์นี่ให้ผมหรือไม่เพราะผมอาจไม่ยอมกิน

“มันสกปรกเกินที่ฝ่าบาทจะกินค่ะ”

หลังจากคิดตกแล้วเธอก็ส่ายหัว

“ผมไม่เลือกมากเรื่องพวกนี้หรอก”

ถึงผมจะไม่ได้ชื่นชอบอะไรลูกอมนักแต่ผมก็ไม่ได้เป็นคนจุกจิกจู้จี้เรื่องกิน แต่เอเลริสกลับประหลาดใจมากเพราะไม่คิดว่าผมจะพูดแบบนั้น ไม่สิไอ้นิสัยแย่ๆของอดีตเจ้าชายนี่ก่อปัญหาจริงๆ

ที่ผ่านมาเจ้าเลวเกิดมาเพื่อวิจารณ์จู้จี้หรืออะไรแบบนั้นสินะ ?

เพราะการที่อยู่ผมก็ถูกสรรเสริญแบบ :

“โอ้ แม้ตอนนี้ท่านหายใจอยู่ ท่านก็ไม่ได้ก่อเรื่องสร้างปัญหาอะไรเลยอย่างนั้นหรือคะ?”

จะว่าไปการที่ได้มาเกิดใหม่ในร่างคนงี่เง่านี่ก็นับว่ามีข้อดีอยู่เหมือนกัน

หากผมไปเกิดใหม่ในร่างของดาวเด่นคำฟ้าแห่งศตวรรษที่เปี่ยมด้วยความสามารถเหนือมนุษย์ขึ้นมา โอเค มันอาจมีข้อดีใหญ่หลวงแหละ แต่มันก็จะมีแต่คนมารุมสงสัยตั้งคำถามกันว่า ทำไมอยู่ๆถึงเปลี่ยนไปในทางเลวร้ายได้ขนาดนั้น

ไอ้เลวที่แค่หายใจอยู่เฉยๆโดยไม่ก่อเรื่องก็ได้รับคำชม เทียบกับ อัจฉริยะที่ต้องโดนดุด่าแค่เพราะหายใจทิ้ง

ยังไงแบบแรกก็ดีกว่าโคตรๆอยู่ละ

การที่กลับมาเกิดใหม่เป็นบุคคลที่โดนคนอื่นมองในทางลบนั้นเป็นข้อได้เปรียบที่จะแสร้งทำตัวอ่อนแอ

นี่ถ้าอดีตเจ้าชายโดนขอทานพุ่งเข้าหาแบบนี้จะโมโหไหมนะ ?

“แปลว่า ท่านอยากจะกินมันเหรอคะ ?”

“ใช่”

ผมแกะห่อลูกอมที่ได้มาจากเอเลริสแล้วโยนลูกอมใส่ปาก ได้รับแต่รสหวานโดยไม่มีรสอย่างอื่นเลย

“แล้วผมชอบของหวานไหม ?”

“ฉันจำได้ว่า ท่านชอบนะคะ”

“หืมมมม”

ผมไม่ชอบของหวานแฮะ

ถึงอย่างนั้นการเป็นเด็กอยู่นี่ก็ถือว่า มีข้อได้เปรียบ ขอทานที่เคยเข้าหาเราตอนนี้ก็ไหลไปหาคนอื่นต่อ

ผู้คนส่วนมากก็อยากไล่ขอทานไปให้พ้นๆ มากกว่าที่จะซื้อลูกอมของพวกนั้น

เป็นภาพที่น่ารังเกียจ แต่ผมก็รู้แล้วว่าแหล่งเงินของเราได้มาจาก การกระทำของพวกเขา

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากจะเห็นมันอีก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด