เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 16
เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 16
จากใบหน้าที่ซีดเซียวของเอเลริสแล้ว ผมรู้เลยว่า อดีตเจ้าชายคนนี้มันเป็นคนยังไง จากพฤติกรรมหลายๆอย่างที่สังเกตมา ผมเดาไว้แล้วว่า เจ้าหมอนี่มันสันดานแย่พอตัว
“แล้วก่อนหน้านี้เธอเคยคุยกับผมมาก่อนหรือเปล่า ?”
พอมาคิดๆดูแล้ว เอเลริสจำผมได้ก่อน แปลว่า น่าจะเคยเจอเคยเห็นผมมาก่อนแล้ว ในฐานะแวมไพร์ระดับสูง แต่เอเลริสก็พูดเสียงค่อย
“ก็ , ฉันเคยเป็น…..ติวเตอร์ของท่านน่ะค่ะ”
“…แปลว่า เราสนิทกันพอสมควรเลยสินะ ?”
ไม่ใช่ว่าแปลว่า เราสนิทกันขนาดนั้นเลยเหรอ ?
“ตะ แต่ก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆแหละค่ะ ความสามารถของฉันนั้นไม่มากพอที่จะสอนฝ่าบาทได้ ….”
ดูเหมือนนิสัยเดิมของเจ้าชายคนนี้มันเกิดจะรับไหว ถ้าเธอไม่โดนไล่ออกก็คงจะขอลาออกเองในเวลาไม่นานนั่นแหละ
“เอาล่ะค่ะ อดีตก็คืออดีตนะคะ ตอนนี้ท่านมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันอยู่ จริงไหมคะ?”
ดูเหมือนเอเลริสพยายามอยากให้ผมหยุดคุ้ยเขี่ยเกี่ยวกับตัวเองในอดีต ผมยิ่งแน่ใจว่า ตัวผมคนก่อนนี่ต้องเป็นคนเฮงซวยแน่ๆ แต่ประเด็นคือ ระดับไหนกันล่ะ ?
“เดี๋ยวนะ ,สปายคนอื่นๆก็รู้จักผมเป็นการส่วนตัวด้วยเหรอ ?”
“อ่าอืม ….ค่ะ , รู้จักแน่นอนค่ะ แต่ว่า ….”
เอเลริสจับไหล่ให้ผมมองจ้องเข้าไปในดวงตาของเธอ
“ท่านเป็นอาร์คเดม่อนคนสุดท้ายนะคะ พวกนั้นรู้ดีว่า เรื่องนั้นสำคัญขนาดไหน”
อะไรเนี่ย นะนะ น่ากลัวชะมัด
พอจอมมารตาย สงครามโลกปีศาจก็จบลงตรงที่กองทัพพันธมิตรฝ่ายมนุษย์ได้รับชัยชนะ
ถือว่าเป็นโชคไม่ดีที่พวกนักรบทั้งหลายต่างตายตกตามไปในการสู้รบที่ดุเดือดกับจอมมารและสี่จตุรเทพ ส่วนเจ้าหญิงก็กลับวังอย่างปลอดภัย
แล้วข่าวดังกล่าวก็ประกาศให้รู้กันทั่ว
ท้องถนนเต็มไปด้วผู้คนที่โห่ร้องดีใจ
มันเป็นเพราะประชาชนไม่ต้องเข้าไปตายเพื่อสู้รบกับปีศาจอีกต่อไปแล้ว แถมเจ้าหญิงลำดับหนึ่ง ที่เคยคิดว่าตายไปแล้วก็ยังรอดชีวิตกลับมาได้
ไม่เพียงแต่เมืองหลวงอย่างเดียว แต่เป็นทั่วทั้งทวีปที่มีแต่เสียงโห่ร้องตะโกนดีใจ
“ว้าว นี่ของดีเลยนี่”
“……คะ ?”
“ไม่มีอะไร,พวกเขาดูจะดีใจสุดๆเลยนะ”
ผมกับเอเลริสเดินไปตามถนนริมทาง แล้วก็กินไก่เสียบไม้ ที่เจ้าของบอกกับปากเองว่า ฟรี
ในตอนนี้เอเลริสร่ายเวทย์ใส่ผมเพื่อให้ดูเหมือนผมเป็นเด็กชายธรรมดาๆ ส่วนตัวเธอก็ร่ายเวทย์ปลอมตัวด้วยเช่นกัน
ชัยชนะในสงครามโลกปีศาจนั้นทำให้ผู้คนทั้งหลายในละแวกย่านนักเลงเองก็แวดล้อมไปด้วยของฟรี
เอเลริสดูจะไม่เข้าใจว่าทำไม ตัวผมที่สูญเสียทุกอย่างไปภายในวันเดียวกลับยังสามารถเพลิดเพลินกับไก่ย่างเสียบไม้ ในประเทศศัตรูที่ทำลายประเทศบ้านเกิดผม
เธอควรจะดีใจที่สงครามจบได้ แต่ทำไมถึงไม่ดูดีใจแบบนั้นล่ะ ?
“ก็ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ ก็เพลิดเพลินกับมันละกัน”
“อ่าค่ะ , เรื่องนั้น ก็ใช่ค่ะ ….”
แต่เอาจริงๆผมเครียด อยู่นะ
อันที่จริงมันไม่ใช่เรื่องที่ว่าดินแดนปีศาจนั้นโดนทำลายไปแล้วหรือไม่หรอกนะ
มันเป็นเรื่องที่ผมนั้นไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อยธรรมดาที่ต้องให้แวมไพร์สาวสวยคอยปกป้อง
ผมอยากที่จะอยู่อย่างสงบแต่ก็ดันมาจบลงแบบนี้จนได้
การที่ได้คนอย่างเอเลริสคอยดูแลให้ถึงว่าเป็นชีวิตที่สงบสุขและสะดวกสบายดี
แต่สุดท้ายผมรู้ดีว่า เรื่องดีๆแบบนี้ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก
“พวกนั้นอยู่กันตรงนั้นกันหมดสินะ ?”
“ใช่ค่ะ , พวกเขากำลังรอฝ่าบาทอยู่ค่ะ”
พวกเรากำลังเดินไปพบกับปีศาจที่ยังหลงเหลืออยู่ในกาเดียม
-จักรวรรดิจงรุ่งโรจน์ !
-ขอให้ฝ่าบาทและองค์หญิงอายุยืนนาน!
-แด่ผู้กล้าอาโทเรียส !
ทุกคนต่างดื่มด่ำไปด้วยความยินดีกับข่าวการได้รับชัยชนะ
“ฮูเร่ !”
ผมเองก็ร่วมตะโกนฮูเร่ด้วย ส่วนเอเลริสก็ดึงแขนผมไว้
“ฝ่าบาทคะ ! รักษาท่าทีด้วยค่ะ !”
“ทำไมกันล่ะ ? ก็มันสนุกดีนี่นา !”
“ฉันไม่อยากเชื่อจริงๆเลยค่ะ ….”
ก็มันสนุกดีนี่นา เวลาทำตัวเป็นเด็กแบบนี้บ้าง
แต่ก็แหงล่ะ พอผมมานึกถึงอายุจริงตัวเอง ก็อดที่จะอายจนอยากมุดรูเลยล่ะ
* * *
มันมีสิ่งหนึ่งที่สามารถเห็นได้ในเฉพาะเมืองหลวงจักรวรรดิเท่านั้น หนึ่งในนั้นก็คือ รถไฟมานา
มันก็คือ รถไฟเวอร์ชั่นแฟนตาซีนั่นแหละ
มันเป็นโครงการของรัฐบาลกลางจักรวรรดิ เพื่อไว้สำหรับคนที่ไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนด้วยวาร์ปเกท สะพานหรือรถในเมืองหลวงได้
มันเป็นรถไฟที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ ผ่านการใช้พลังงานอันแสนสะดวกสบายที่เรียกว่า หินมานาที่เป็นแก่นกลางของเจนเจแฟนตาซียุคกลาง
ส่วนคอมเม้นท์ที่ผมได้จากเรื่องนี้ก็คือ :
‘น่าตลกฉิบหายเลย ? มันจะสะดวกสบายเกินไปรึเปล่า ?’
ผมหมายถึง ผมไม่ใช่คนเดียวซะเมื่อไหร่ที่เขียนแบบนี้นี่ ผมก็เลยทำมั่งไงล่ะ ฮ่าฮ่า LOL
‘ก็ในเมื่อสร้างรถไฟได้ ทำไมนายไม่สร้างโทรศัพท์มือถือบ้างล่ะ ?’
ไม่รู้เว้ย lol
ตอนนี้รถไฟที่ว่าก็วิ่งผ่านหน้าผมไป
เมืองที่มีการแบ่งผังเมืองเหมือนโซล ทั้งเส้นทางแผนที่และก็แน่นอนแม้แต่เส้นทางเดินรถไฟก็เหมือนโซล
พวกเราก็ตั้งใจจะไปที่ทางใต้ของสะพานบรอนซ์เกท ด้วยการไปที่สถานีรถไฟมานาที่ตั้งอยู่ในเขตของอัล ไลการ์
ว่าง่ายๆมันก็คือ การนั่งรถไฟจากสถานียงซาน โดยปลายทางคือ สวนสาธารณะบันโพ ฮังกัง (Banpo Hangang River Park)
แปลงสถานที่ง่ายดีใช่ไหมล่ะ
นี่ถ้าผมคิดแผนที่ขึ้นมาเองก็คงจะเป็นเรื่องยากแน่ๆเลย และถ้าผมทำแบบนั้นมันก็ยิ่งทำให้ผมเขียนได้ยากขึ้น ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผู้อ่านเลย แต่พอทำแบบนี้ผมก็เขียนสบายมือล่ะ !
ผมภูมิใจในตัวผมเองในชาติก่อนที่สุดขี้เกียจจริงๆนะ หึหึ
นี่ถ้าผมไม่ใส่เซตติ้งสุดสะดวกสบายอย่างหินมานาแล้วมีหวังผมต้องนั่งรถม้าหรือเดินไปที่นั่นแน่ๆ
ซึ่งเป็นอะไรที่น่ารำคาญใจชะมัด
ผมไม่คิดเลยว่า สถานที่ที่ผมใส่ไว้ในนิยายน่ะจะเป็นที่แบบนี้ไปได้ นี่ถ้าเป็นในโซลนะป่านนี้ผมรู้แล้วว่าเจ้าพวกนั้นอยู่ที่ไหนกัน
ขณะที่รถไฟเคลื่อนขบวนเอเลริสก็บ่นงึมงัมพลางซุกตัวในชุดผ้าคลุมตัวเอง
“มนุษย์เนี่ยสุดยอด”
“อะไรนะ ?”
“พวกเขารู้วิธีการสร้างอะไรอย่างนี้ด้วย”
‘นี่ตั้งใจจะสรรเสริญผมสินะ เพราะผมเลยนะถึงได้มีของพวกนี้ขึ้นมา รู้ไหมล่ะ ? ใช่เลย,ผมเองนี่แหละ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่า แค่ข้อความไม่กี่บรรทัดก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว หรือบางทีผมอาจเป็นพระเจ้าจริงๆก็ได้ล่ะมั้ง ?’
อันที่จริงผมก็ควรจะได้เป็นพระเจ้าของโลกนี้นี่แหละ ถ้าหากผมไม่ตายโง่ๆด้วยความดันขึ้นจากการที่อ่านคอมม้นท์ท็อกซิกเข้าก่อนน่ะ
“พวกเขาน่ะยอดเยี่ยมมากขนาดที่สามารถสิ่งดีๆแบบนี้ได้ด้วยพลังเวทย์ แทนที่จะไปสร้างเวทย์มนตร์ทำลายล้างหรืออาวุธสงคราม”
เอเลริสพูดอย่างหดหู่เหมือนไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง
อันที่จริงพวกปีศาจน่ะเหนือกว่ามนุษย์ในแง่ของพลังเวทย์ เพียงแต่ปีศาจนั้นใช้เวทย์มนตร์เพื่อทำลายล้างเพียงอย่างเดียวแทนที่จะเอาเวทย์มนตร์ไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ดังนั้นต่อให้พวกเขามีพลังสุดยอดมากแค่ไหน แต่ดินแดนปีศาจก็ดูยากไร้ ซึมทึม ไม่ได้ดูฟู่ฟ่าหรูหราเลย
ไม่แม้แต่กับเมืองรอบประสาทจอมมาร ที่เป็นป้อมปราการโดดเดี่ยวเพียงลำพัง
แล้วยิ่งมีผู้คนมากมายมาอยู่กันในเมืองหลวงพวกของพวกมนุษย์แบบนี้ เธอที่ได้เห็นอุปกรณ์เวทย์มนตร์ในทุๆวัน และเห็นเวทย์มนตร์กลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อชีวิตมนุษย์
ก็ไม่แปลกที่เอเลริสนั้นจะอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบดินแดนกันดารแห้งแล้งอย่างดินแดนปีศาจกับที่นี่
บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอรู้สึกว่า แนวทางของดินแดนปีศาจนั้นผิด และไม่อยากจะยุ่งเกี่ยว
มันเลยนำไปสู่การที่เฉยคาดหวังว่า ฝ่ายที่ได้รับชัยชนะน่ะจะเป็นฝ่ายมนุษย์ไม่ใช่ฝ่ายปีศาจ
เหมือนผมจะเริ่มเข้าใจความคิดของเธอในระดับนึงแล้ว
โลกที่สร้างแต่อาวุธที่ใช้เข่นฆ่าศัตรู
กับโลกที่ผู้คนดิ้นรนเพื่อทำให้ตัวเองมีความสุข
แต่ถึงเอเลริสจะยินดีกับการที่สงครามจบลงแล้วมนุษย์ได้รับชัยชนะ เธอก็ได้แต่มองความสุขนั้นด้วยดวงตาทว่างเปล่า ไม่ใช่แววตาที่เปี่ยมสุข เนื่องจากการล่มสลายของดินแดนปีศาจ
มันไม่สำคัญหรอกว่าบ้านเกิดคนๆนึงจะเป็นอย่างไร ต่อให้คนๆนั้นไม่อยากหวนกลับไปก็ตาม แต่ก็ย่อมต้องรู้สึกเสียใจเป็นธรรมดาที่ไม่มีสถานที่ให้กลับไปอีกแล้ว
ริมฝั่งแม่น้ำไอรีนนั้นได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
พื้นหญ้าสีเขียวมีการตัดเล็มดูแลเป็นอย่างดี ผู้คนที่เดินผ่านเส้นทางที่ปูหินไว้ดีแล้ว
สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้หวังจะเดินทางไปไหนไกล ก็มีสวนสาธารระที่สร้างไว้ริมแม่น้ำไอรีนเป็นสถานที่ปิกนิกในพื้นที่
“ที่นี่เป็นสถานที่ช่วยให้ฉันอารมณ์ดีเสมอเลยค่ะ”
เอเลริสเผยยิ้มอ่อนโยนออกมาแม้อยู่ใต้แสงแดดจ้า
บางทีเธออาจจะชอบวิวทิวทัศน์ที่นี่มาก มากขนาดที่เธอสามารถยอมทนต่อพระอาทิตย์ได้
“ใช่ วิวดี และจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีเจ้านั่นอยู่ข้างๆ”
“อ่า …. ค่ะ ….”
เอ้าโว้ย …. บ้ะ ….
– เว้ยเฮ้ยยยยยย !
– ไอ้ห่า ! อะไรของมึงหา ! ไอ้เชี่ยนี่ , มึงจะโกงกูสินะ ? 3 มันบอกห่าอะไรบ่อยขนาดนี้วะ ?! ห้ะ ?!
-ใครโกงมึงวะ ? กูน่ะซื่อสัตย์ตลอดชีพเว้ย ! ละมึงเห็นไหมมันออก3 ก็คือ 3 ไง!
ใต้สะพานบรอนซ์เกทนั้น ไม่มีใครอยากไปอยู่ที่นั่น
เพราะใต้เงาทอดยาวของสะพานมันเป็นสถานที่ที่มืดมัวหมองหม่นยิ่งกว่าที่ใดๆ
กลุ่มขอทานที่เมาหยำเป แล้วอ้วก แล้วก็กินดื่ม เล่นพนันลูกเต๋า พอแดดส่องสาดเข้ามาก็ตัวสั่นเทิ้ม
มีขอทานบางคนที่เข้าไปใกล้กับคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเพื่อหวังจะขายลูกอม
“แล้ว พวกแมลงสาบที่มาทำลายความสงบสุขสวยงามของวิวสวยๆนี่ก็คือ แหล่งรายได้หลักของพวกเราสินะ ?”
“ใช่ค่ะ …. ถูกแล้วค่ะ ….”
ทำไมเธอต้องอับอายแทนด้วยล่ะ ในเมื่อเจ้าพวกนั้นเป็นคนทำ ?
ผมไม่ค่อยอยากไปใกล้กับเจ้าพวกนั้นเลย
“นี่ , คุณหนูๆ ซื้อลูกอมจากข้าไปสิ”
แล้วก็มีขอทานโผล่จากไหนก็ไม่รู้ พุ่งตรงมาหาเราแล้วยื่นมือสกปรกออกมา ดูเหมือนจะเห็นว่าเราเป็นเป้าหมายของพวกเขา
เอเลริสถอนใจแล้วรับลูกอมนั้นไว้ เธอไม่คิดจะปฏเสธด้วยซ้ำ
“ห้าบรอนซ์”
หนึ่งโกลด์เท่ากับ 1 ล้านวอน (26,767 บาท ,725$ ) หนึ่งซิลเวอร์เท่ากับ 10,000 won(267 บาท,7.25$)
หนึ่งบรอนซ์ก็ประมาณ 100 วอน (2.69 บาท,0.070$ )
ถ้าผมแปลงหน่วยเงินแบบคร่าวๆ ตกลูกอมเม็ดละ 500 วอนก็ไม่ถือว่าถูก (13.45 บาท,0.36$)
ว่าแต่ลูกอมเนี่ยเป็นสิ่งที่หาได้ทั่วไปในโลกนี้เหรอ ? ไม่ใช่ว่า ที่นี่สามารถหาพวกคาร์โบไฮเดรตได้ง่ายๆเฉพาะในโลกยุคสมัยใหม่รึไงกันน่ะ ?
เอาเป็นว่า มันมีขอทานมาขายลูกอมก็แล้วกัน ปล่อยเรื่องนั้นไว้อย่างนั้นแหละ ผมคิดไปก็ป่วยการเปล่าๆ
เอเลริสกำลังคิดอยู่ว่า เธอควรจะเอาลูกอมที่ซื้อมาราคา 5 บรอนซ์นี่ให้ผมหรือไม่เพราะผมอาจไม่ยอมกิน
“มันสกปรกเกินที่ฝ่าบาทจะกินค่ะ”
หลังจากคิดตกแล้วเธอก็ส่ายหัว
“ผมไม่เลือกมากเรื่องพวกนี้หรอก”
ถึงผมจะไม่ได้ชื่นชอบอะไรลูกอมนักแต่ผมก็ไม่ได้เป็นคนจุกจิกจู้จี้เรื่องกิน แต่เอเลริสกลับประหลาดใจมากเพราะไม่คิดว่าผมจะพูดแบบนั้น ไม่สิไอ้นิสัยแย่ๆของอดีตเจ้าชายนี่ก่อปัญหาจริงๆ
ที่ผ่านมาเจ้าเลวเกิดมาเพื่อวิจารณ์จู้จี้หรืออะไรแบบนั้นสินะ ?
เพราะการที่อยู่ผมก็ถูกสรรเสริญแบบ :
“โอ้ แม้ตอนนี้ท่านหายใจอยู่ ท่านก็ไม่ได้ก่อเรื่องสร้างปัญหาอะไรเลยอย่างนั้นหรือคะ?”
จะว่าไปการที่ได้มาเกิดใหม่ในร่างคนงี่เง่านี่ก็นับว่ามีข้อดีอยู่เหมือนกัน
หากผมไปเกิดใหม่ในร่างของดาวเด่นคำฟ้าแห่งศตวรรษที่เปี่ยมด้วยความสามารถเหนือมนุษย์ขึ้นมา โอเค มันอาจมีข้อดีใหญ่หลวงแหละ แต่มันก็จะมีแต่คนมารุมสงสัยตั้งคำถามกันว่า ทำไมอยู่ๆถึงเปลี่ยนไปในทางเลวร้ายได้ขนาดนั้น
ไอ้เลวที่แค่หายใจอยู่เฉยๆโดยไม่ก่อเรื่องก็ได้รับคำชม เทียบกับ อัจฉริยะที่ต้องโดนดุด่าแค่เพราะหายใจทิ้ง
ยังไงแบบแรกก็ดีกว่าโคตรๆอยู่ละ
การที่กลับมาเกิดใหม่เป็นบุคคลที่โดนคนอื่นมองในทางลบนั้นเป็นข้อได้เปรียบที่จะแสร้งทำตัวอ่อนแอ
นี่ถ้าอดีตเจ้าชายโดนขอทานพุ่งเข้าหาแบบนี้จะโมโหไหมนะ ?
“แปลว่า ท่านอยากจะกินมันเหรอคะ ?”
“ใช่”
ผมแกะห่อลูกอมที่ได้มาจากเอเลริสแล้วโยนลูกอมใส่ปาก ได้รับแต่รสหวานโดยไม่มีรสอย่างอื่นเลย
“แล้วผมชอบของหวานไหม ?”
“ฉันจำได้ว่า ท่านชอบนะคะ”
“หืมมมม”
ผมไม่ชอบของหวานแฮะ
ถึงอย่างนั้นการเป็นเด็กอยู่นี่ก็ถือว่า มีข้อได้เปรียบ ขอทานที่เคยเข้าหาเราตอนนี้ก็ไหลไปหาคนอื่นต่อ
ผู้คนส่วนมากก็อยากไล่ขอทานไปให้พ้นๆ มากกว่าที่จะซื้อลูกอมของพวกนั้น
เป็นภาพที่น่ารังเกียจ แต่ผมก็รู้แล้วว่าแหล่งเงินของเราได้มาจาก การกระทำของพวกเขา
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากจะเห็นมันอีก