ตอนที่แล้วบทที่ 40: มหาวิทยาลัยหยานจิ่ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 42 : พิธีเปิดเรียน

บทที่ 41: เพื่อนร่วมห้อง


บทที่ 41: เพื่อนร่วมห้อง

โม่ซิ่วตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็คงจะเป็นวิชาเอกด้านการจู่โจมนั่นแหละ เพราะวิชาเอกอย่างอื่นคงไม่เหมาะกับฉันสักเท่าไหร่”

“ยอดไปเลย!” เฮาเหรินอุทานออกมาอย่างตื่นเต้น “เพราะฉันเองก็เลือกวิชาเอกด้านการจู่โจมเหมือนกัน!”

“บางทีพวกเราอาจจะได้อยู่ห้องเดียวกันก็ได้นะ”

เฮาเหรินเป็นคนที่นิสัยดีมาก เพราะเขาอธิบายทุกอย่างตั้งแต่การต่อแถวยันการลงทะเบียนเรียน ซึ่งโม่ซิ่วก็รู้สึกขอบคุณเขามาก สุดท้ายพวกเขาแลกเบอร์เอาไว้ติดต่อกัน

ในที่สุดก็ถึงคิวของโม่ซิ่วแล้วที่จะต้องเข้าไปลงทะเบียนในห้องที่มีขนาดใหญ่มากโดยที่มีอาจารย์ห้าคนนั่งอยู่ข้างในห้อง

โม่ซิ่วเดินเข้าไปในห้องนั้นและไปนั่งต่อหน้าอาจารย์ทั้งห้าคน

การจ้องมองของอาจารย์จับจ้องไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าพวกเขา พวกเขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองโม่ซิ่วเลยด้วยซ้ำ ราวกับว่าพวกเขาเหนื่อยหลังจากทํางานมาทั้งวัน

"ชื่อ!"

"โม่ซิ่วครับ!"

เมื่อเหล่าอาจารย์ได้ยินชื่อของโม่ซิ่วพวกเขาก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่โม่ซิ่วทันที

"เธอคือโม่ซิ่วเหรอ?"

โม่ซิ่วตอบอย่างสุภาพว่า "ครับอาจารย์"

“โฮ้ ฉันดูผลการสอบของเธอแล้ว เธอเหมาะสมมากที่จะเลือกเรียนวิชาเอกด้านการจู่โจม”

"ผมกำลังคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกันครับ" โม่ซิ่วตอบ

“เธอยังต้องคิดอะไรอีก? ด้วยพลังของเธอ ไม่มีวิชาเอกไหนแล้วนอกจากวิชาเอกด้านการจู่โจมที่เหมาะกับเธอ”

โม่ซิ่วที่ได้ยินดังนั้นจึงสับสน ส่วนอาจารย์ก็ทําอะไรไม่ถูก ดังนั้นเขาจึงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาและยื่นให้โม่ซิ่ว

“เอาล่ะ กรอกแบบฟอร์มนี้ด้วย หลังจากที่เธอกรอกแล้ว ฉันจะแจกแจงตารางเรียนกับหอพักให้เธอ”

โม่ซิ่วหยิบมันขึ้นมาดู

“ชื่อ รายละเอียดติดต่อ วิชาเอกที่เลือก ความถนัด”

เมื่ออาจารย์เห็นแบบฟอร์มลงทะเบียนของโม่ซิ่ว ลูกตาของพวกเขาก็แทบจะถลนออกมา

เขามองไปที่โม่ซิ่วด้วยความไม่เชื่อและพูดว่า “โม่ซิ่ว นี่นายแน่ใจแล้วใช่มั้ยว่านายเลือกถูกแล้วน่ะ?”

โม่ซิ่วเหลือบไปมองกระดาษของเขาและพูดว่า "ครับอาจารย์ ได้โปรดช่วยกรอกลงไปในคอมพิวเตอร์ตามนั้นเลยครับ”

สุดท้ายอาจารย์ทั้งห้าก็ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้และกรอกข้อมูลของโม่ซิ่วลงในคอมพิวเตอร์

“การลงทะเบียนเสร็จสมบูรณ์ ตารางเรียนของเธอเป็นแบบที่ 6 ส่วนหอพักของเธอคือหอพักที่ 9 ห้อง 312”

โม่ซิ่วยืนขึ้นและพูดกับอาจารย์ว่า “ขอบคุณครับอาจารย์”

อาจารย์โบกมือและกระซิบว่า “พวกเด็กหนุ่มสาวสมัยนี้ชอบทำให้พลังของตัวเองสูญเปล่าไปจริงๆ”

โม่ซิ่วเดินชนกับเฮาเหรินทันทีที่เขาก้าวออกมาจากห้อง

เมื่อเห็นโม่ซิ่วเฮาเหรินก็เดินเข้ามาทันทีและถามว่า "โม่ซิ่วนายอยู่หอพักไหนเหรอ? นายอยู่ในหอพักเดียวกับฉันรึเปล่า? ฉันน่ะอยู่หอพักหมายเลข 2 ห้อง 517”

แต่หลังจากที่เฮาเหรินได้ยินคำตอบของโม่ซิ่วแล้ว เฮาเหรินจึงพูดขึ้นด้วยความไม่เชื่อทันที

"ใช่เหรอ? ฉันได้ยินมาจากอาจารย์ว่านักศึกษาที่เรียนวิชาเอกด้านการจู่โจมจะหอพักหมายเลข  1 กับ 2 นี่ แล้วทำไมนายถึงไปอยู่หอพักที่ 9 ได้ล่ะ”

“อ้อ ฉันลืมบอกนายน่ะว่าฉันเปลี่ยนใจเพราะฉันไม่ได้เลือกวิชาเอกด้านการจู่โจม”

"แล้วนายเลือกอะไรเหรอ?" เฮาเหรินถามด้วยความสงสัย “วิชาเอกด้านความคล่องตัวเหรอ?”

ในใจของ เฮาเหรินมีเพียงวิชาเอกด้านความคล่องตัวและวิชาเอกด้านการจู่โจมเท่านั้นที่เหมาะกับโม่ซิ่ว ดังนั้นถ้าไม่ใช่วิชาเอกด้านการจู่โจมโม่ซิ่วจะต้องเลือกวิชาเอกด้านความคล่องตัวอย่างแน่นอน

โม่ซิ่วส่ายหัว“ไม่ใช่หรอก ฉันเลือกวิชาเอกด้านการสนับสนุนน่ะ”

"ห้ะ?!" เฮาเหรินถามด้วยความตกใจ.!! “โม่ซิ่วนี่นายบ้าไปแล้วเหรอ? พลังของนายน่ะสุดยอดมากขนาดนั้นแล้วทำไมนายถึงได้วิชาเอกด้านการสนับสนุนล่ะ?”

"ฮ่ๆๆ ก็นายบอกฉันเองไม่ใช่เหรอว่าพวกทายาทของผู้มีอำนาจมันกจะชอบไปเรียนวิชาเอกที่มีผู้หญิงเยอะๆน่ะ? นอกจากนี้นายยังบอกด้วยว่าผู้หญิงส่วนมากก็ชอบเรียนวิชาเอกด้านการสนับสนุนด้วย?”

หวังหยูเคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน เนื่องจากข้อจํากัดทางร่างกาย สรีระของผู้หญิงจึงเหมาะสมกับวิชาเอกด้านการสนับสนุน ในขณะที่สรีระของผู้ชายจะเหมาะกับการโจมตีมากกว่า

เฮาเหรินมองไปที่โม่ซิ่วและพูดด้วยความไม่เชื่อว่า "แล้วนายเป็นทายาทของพวกมีอำนาจพวกนั้นด้วยเหรอ? นายถึงต้องไปเรียนวิชาเอกที่มีผู้หญิงเยอะๆน่ะ?”

"อะไรกันๆ" โม่ซิ่วยิ้ม “ฉันดูไม่เหมือนเหรอ?”

หลังจากพูดแบบนั้น โม่ซิ่วก็หันหลังกลับและเดินจากไป ปล่อยให้เฮาเหรินยืนอึ้งไปครู่หนึ่ง

….

โม่ซิ่วเดินลากกระเป๋าไปที่หอพักหมายเลข 9 ก่อนที่โม่ซิ่วจะเดินเข้าไป เขาก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งออกมา

“อ้าว หอพักหมายเลข 9 นี่ ถ้าที่นี่มีแต่ผู้หญิงแล้วฉันจะเข้าไปได้ยังไงล่ะเนี่ย?” โม่ซิ่วคิด

หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่นอกประตูทางเข้าหอพักสักพัก โม่ซิ่วก็เห็นผู้ชายเดินออกมา ดังนั้นโม่ซิ่วจึงเดินเข้าไปอย่างสบายใจและไม่คิดอะไรอีก

หลังจากที่เดินเข้าไป โม่ซิ่วก็เข้าใจทันทีว่าหอพักนั้นเป็นเหมือนกับอพาร์ตเมนต์ ซึ่งหอพักทุกหอจะมีความเป็นอิสระ ดังนั้นผู้ชายและผู้หญิงจึงสามารถอาศัยอยู่ในหอพักเดียวกันได้

โม่ซิ่วเข้ารายงานตัวครั้งแรกกับห้องนิติบุคคลที่ชั้นหนึ่ง ซึ่งคนเฝ้าทางเข้าออกหอพักนั้นเป็นชายแก่ที่ดูมีอายุประมาณ 60 ปี

โม่ซิ่วเคาะประตูและเดินเข้าไป "สวัสดีครับ ผมเป็นนักศึกษาใหม่จะมาขอกุญแจห้องครับ"

ผู้ดูแลเหลือบไปมองโม่ซิ่วและถามว่า "ชื่อล่ะ?"

“ผมชื่อโม่ซิ่ว ผมอยู่ห้อง 312 ครับ”

“เอาล่ะ ที่นี่มีกฎอยู่สี่ข้อ  1 ห้องจะต้องสะอาด ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ตรวจห้อง แต่ฉันจะคอยเข้าไปดูเป็นบางครั้งดังนั้นอย่าฉันให้รู้ว่าห้องสกปรกเด็ดขาด”

"สอง นายห้ามต่อสู้ภายในหอพักนี้โดยเด็ดขาดเช่นกัน!"

“สาม ถึงหอพักนี้จะมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงพักอยู่ แต่ทั้งผู้ชายและผู้หญิงห้ามอยู่ในห้องนอนเดียวกัน ดังนั้นถ้าหากนายหรรมแข็งจนทนไม่ไหวก็ให้ออกไปทำกันที่อื่น”

“และอย่างที่สี่ นายจะต้องรายงานทุกครั้งถ้าหากนายจะไม่กลับมาที่หอพักเป็นเวลานาน”

หลังจากที่ผู้ดูแลพูดจบเขาก็ยื่นคีย์การ์ดให้โม่ซิ่ว

โม่ซิ่วหยิบคีย์การ์ดและเดินออกไปอย่างเงียบๆ

เขาเดินขึ้นไปที่ชั้นสามและเห็นห้อง 312 หลังจากนั้นเขาได้ใช้คีย์การ์ดเปิดประตู และทันทีที่เขาเข้าไปในห้อง เขาก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด

แม้ห้องนี้จะไม่ใหญ่ แต่มันกลับสะอาดและดูเรียบๆ ซึ่งมันมีทั้งห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องน้ำ มีสองห้องนอน และมีระเบียง

ซึ่งโดยรวมแล้วมันดูค่อนข้างคล้ายกับห้องในบ้านเก่าของโม่ซิ่ว

และเนื่องจากไฟในห้องนั่งเล่นเปิดอยู่ ดังนั้นแสดงว่าเพื่อนร่วมห้องของเขาจะต้องมาถึงก่อนโม่ซิ่วแล้วแน่ๆ

โม่ซิ่วจึงตะโกนถามออกไปเบาๆ

"มีใครอยู่ในห้องรึเปล่าครับ?"

หลังจากนั้นก็มีคนวิ่งออกมาจากห้องนอนห้องหนึ่ง ซึ่งเขาไม่ได้ใส่เสื้อแต่มีร่างกายที่ดูแข็งแรงมาก ซึ่งร่างกายของคนๆนี้ใหญ่กว่าโม่ซิ่วมาก

“มีสิๆๆ ว่าไง! ฉันชื่อตงฟาง นายคงเป็นเพื่อนร่วมห้องของฉันสินะ?”

หลังจากที่ตงฟางเดินเข้ามาใกล้ๆโม่ซิ่ว โม่ซิ่วจึงเห็นว่าตงฟางนั้นสูงมาก ซึ่งอาจจะสูงมากกว่า 1.9 เมตรด้วยซ้ำ นอกจากนี้กล้ามเนื้อของตงฟางยังดูแน่นมากๆ

แต่ถึงแม้ว่าร่างกายของตงฟางจะดูน่ากลัว แต่ตงฟางกลับให้ความรู้สึกที่เป็นมิตร ซึ่งบางทีอาจเป็นเพราะรูปลักษณ์และน้ำเสียงที่ดูเป็นมิตรของเขาก็ได้

โม่ซิ่วยื่นมือออกไปและจับมือของตงฟาง “ดีครับ ผมชื่อโม่ซิ่ว นี่นายเองก็เรียนวิชาเอกด้านการสนับสนุนด้วยใช่มั้ย?”

สิ่งที่ทําให้โม่ซิ่วประหลาดใจมากที่สุดคือตงฟางนั้นดูเหมือนนักศึกษาที่เรียนวิชาเอกด้านการจู่โจมมากกว่าวิชาเอกด้านการสนับสนุนด้วยซ้ำ

ตงฟางเกาหัวเล็กน้อยและพูดว่า “อันที่จริงฉันเองก็กะว่าจะลงเรียนวิชาเอกด้านการจู่โจมนี่แหละ แต่แม่ของฉันบอกให้ฉันน่าจะหาแฟนในมหาวิทยาลัยได้ หลังจากที่คิดเรื่องนี้แล้วฉันก็เลยตัดสินใจลงเรียนวิชาเอกด้านการสนับสนุนแทนน่ะ”

โม่ซิ่วถึงกับสงสัยว่าอาจารย์ที่สํานักงานทะเบียนจงใจให้เขากับตงฟางอยู่ห้องเดียวกันแน่ๆ มิฉะนั้นคงยากที่จะบังเอิญที่ทั้งสองคนที่ควรจะเข้าเรียนในวิชาเอกด้านการจู่โจมกลับมาเจอกันที่หอพักในวิชาเอกด้านการสนับสนุนได้

อันที่จริง จุดประสงค์ที่แท้จริงของโม่ซิ่วในการเลือกเรียนวิชาเอกด้านการสนับสนุนคือการค้นคว้าข้อมูลของพลังเนตรแห่งพระเจ้าอย่างลับๆ

หลังจากที่มีพลังเนตรแห่งพระเจ้า โม่ซิ่วจึงรู้ว่าพลังเนตรแห่งพระเจ้านั้นไม่ใช่พลังธรรมดา

ในสนามมวยเถื่อน แม้แต่พลังของซู่จินก็ยังไม่สามารถตรวจจับพลังเนตรแห่งพระเจ้าของโม่ซิ่วได้…

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด