บทที่ 32 รายชื่อผู้เข้าร่วมแข่งขันล่าสัตว์
คงไม่ใช่ว่า ตระกูลหลินและตระกูลฉี จู่ๆ ก็ใจดีปล่อยเขามาหรอกกระมัง!
พ่อบ้านฉินยืนขึ้นแล้วกล่าวว่า “ท่านผู้นำตระกูล ข้าจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง...”
เขาอธิบายเพียงสั้นๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นที่บ่อนพนันหยกเขียว ทั้งสาเหตุของเรื่องจนถึงการปล่อยตัวออกมา
อากัปกิริยาของพ่อบ้านฉินนั้นกล่าวอย่างสบายๆ แต่วาจาทุกถ้อยคำทำให้ผู้คนที่ได้ฟังต่างตระหนกตกใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพวกเขาได้ยินการปรากฏตัวของฉีถิงแห่งตระกูลฉี สีหน้าของผู้อาวุโสในโถงก็ต่างเคร่งขรึมมากขึ้น
เมื่อพ่อบ้านฉินกล่าวจบ ทั่วทั้งโถงหลักก็ตกอยู่ในความโกลาหลทันที และสายตาที่ซับซ้อนของผู้คนในโถงหลักก็จับจ้องไปยังหลัวเฉิงเกือบจะพร้อมกัน
“เฉิงเอ๋อร์ เรื่องที่พ่อบ้านฉินเล่ามานั้นเป็นความจริงงั้นหรือ”
หลัวหมิงซานรีบถามในทันที เพราะเขารู้ดีว่าผู้คนในโถงมีสิ่งใดอยู่ในใจ
หลัวเฉิงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เมื่อถูกสายตาจำนวนมากรุมจับจ้อง เขาจึงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “จริงขอรับท่านปู่ แต่ข้าทำตระกูลขายหน้าแล้ว เพราะข้าแทบจะไม่สามารถรับหมัดของฉีถิงได้ ทั้งนางยังไม่ได้ลงมือเต็มที่ด้วยซ้ำ”
เขายอมรับแล้ว นี่เป็นเรื่องจริงงั้นหรือ!
เมื่อเห็นหลัวเฉิงพยักหน้ายอมรับ เสียงหายใจเข้าที่แสดงถึงความตกใจก็ดังขึ้นทั่วโถงหลัก
ฉีถิงทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับเก้าแล้ว แม้นางจะไม่ได้ใช้แรงทั้งหมดในการชก แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถรับหมัดของนางได้อย่างง่ายดาย
หลังได้ฟังเรื่องทั้งหมด จู่ๆ ใบหน้าของหลัวหมิงซานก็มืดมน จากนั้นเขาพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นสนั่นโถงหลักทันที
“ฮ่าฮ่า หลานรักของข้า เรื่องนี้มันช่างน่าทึ่งมากทีเดียว”
ทุกคนในโถงหลัก ต่างพยักหน้าชื่นชมในความสามารถของหลัวเฉิง
นั่นก็เพราะ หลัวเฉิงเพิ่งทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับแปด แต่กลับสามารถรับหมัดของฉีถิงที่อยู่ในระดับเก้าได้โดยไม่แพ้
ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ อาจเทียบได้กับหลัวจื่อซิง ดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมแข่งขันล่าสัตว์ในครานี้อย่างไม่ต้องสงสัย!
ที่เหลือก็มาดูกันว่า หลัวชิงหว่านกับหลัวเฟย ผู้ใดมีความสามารถมากกว่ากัน
เมื่อหลัวชิงหว่านและหลัวเฟยถูกเรียกมาพบที่โถงหลักของตระกูล หลัวเฟยก็เลือกที่จะถอนตัวจากการแข่งขันล่าสัตว์ในครั้งนี้ด้วยตนเอง
ที่หลัวเฟยถอนตัวก็เนื่องจาก เขาและหลัวชิงหว่านเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ซึ่งร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาอย่างช้านาน
ในที่สุด รายชื่อผู้ที่จะได้เข้าร่วมแข่งขันล่าสัตว์ในครั้งนี้ก็เป็นเอกฉันท์ อันได้แก่ หลัวเฉิง หลัวจื่อซิง และ หลัวชิงหว่าน
หลังประกาศรายชื่อออกมาอย่างสมบูรณ์ ครั้งนี้หาได้มีผู้ใดคัดค้านไม่
หลัวหมิงซานมองไปยังหลัวเฉิงและอีกสองคน จากนั้นจึงกล่าวกับพวกเขาว่า “ก่อนการแข่งขันล่าสัตว์จะเริ่มขึ้น ยังมีเวลาเหลืออีกเกือบเดือน พวกเจ้าต้องอาศัยโอกาสนี้ฝึกฝนให้หนัก”
“หากพวกเจ้าต้องการสิ่งใดก็ขอให้เอ่ยบอก ทางตระกูลจะสนับสนุนพวกเจ้าอย่างเต็มที่ และจงตั้งมั่นว่าต้องคว้าอันดับหนึ่งในการแข่งขันล่าสัตว์ให้ได้!”
“เราจะไม่ทำให้ท่านผู้นำตระกูลผิดหวัง!” ทั้งสามประสานมือกล่าวเกือบจะพร้อมกัน
เวลานี้ หลัวเหิงก็ดึงแขนหลัวฉีมาหาหลัวเฉิง พร้อมกับหลินหยานที่เดินตามอยู่ข้างหลัง
หลัวเหิงตบศีรษะของหลัวฉี แล้วตวาดเสียงดังว่า “ไฉนเจ้าจึงไม่รู้จักขอบคุณที่เขาช่วยเจ้าไว้ รีบทำซะ ข้าไม่เคยสั่งสอนให้เจ้าเป็นเด็กก้าวร้าวเช่นนี้!”
“ขอบคุณพี่หลัวเฉิงที่ช่วยเหลือ ข้าขอโทษที่ทำให้พี่ต้องเดือดร้อน ข้าผิดไปแล้ว…”
หลัวฉีกล่าวขอโทษจากก้นบึ้งของหัวใจ ดวงตาของเขาแดงก่ำแสดงถึงความสำนึกผิดอย่างชัดเจน
หลินหยาน ที่อยู่ข้างๆ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนมากมาย
เนื่องจากก่อนหน้านั้น นางดูถูกหลัวเฉิงทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ แต่นางไม่คิดเลยว่า ผู้ที่ช่วยบุตรชายของนางในครั้งนี้จะเป็นหลัวเฉิง
หลัวเฉิงส่ายศีรษะกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องคิดมาก นั่นเป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำ ตระกูลหลัวของเรามิอาจให้ผู้อื่นมารังแกได้”
“ฮ่าฮ่า กล่าวได้ดี! ตระกูลหลัวของเรามิอาจให้ผู้อื่นมารังแกได้!”
จิตใจของหลัวหมิงซานเบิกบานสำราญยิ่ง เขาลุกขึ้นแล้วคว้ามือของหลัวเฉิง “จัดเตรียมงานเลี้ยงฉลอง วันนี้ข้ามีความสุขนัก อยากจะดื่มสุราดีๆ เสียหน่อย! ฮ่าฮ่า”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ใบหน้าของหลัวฉีก็หม่นหมองด้วยความผิดหวังกับตนเอง
หลินหยานเห็นสีหน้าของบุตรชาย จึงเข้ามาปลอบใจว่า “ฉีเอ๋อร์ เจ้าอย่าเพิ่งท้อแท้ต่อการฝึกฝน หากได้กลืนโอสถพลังยุทธ์ของเจ้าจะก้าวหน้าในเวลาอันสั้น ทั้งเจ้ายังได้ปลุกวิญญาณยุทธ์หอกระดับห้าดาว ในอนาคตเจ้าจะต้องโดดเด่นกว่าผู้ใดอย่างแน่นอน”
เช่นเดียวกับคนอื่นๆ หลินหยานเองก็คิดว่าหลัวเฉิงได้กลืนโอสถของตระกูลจี ซึ่งนั่นเป็นวิธีที่ทำให้เขาทะลวงระดับได้อย่างรวดเร็ว
ในงานเลี้ยงฉลองของตระกูลหลัว หลัวหมิงซานได้ให้หลัวเฉิงนั่งตำแหน่งด้านขวาของเขา ซึ่งเป็นที่นั่งของคนสำคัญในตระกูลเท่านั้น
แม้ทุกคนในตระกูลได้เห็นอย่างประจักษ์ชัด แต่ก็ไม่มีผู้ใดคัดค้านหรือกล่าวแย้งในการกระทำเช่นนี้แต่อย่างใด
เพราะหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดในบ่อนพนันหยกเขียว หลัวเฉิงก็ได้รับตำแหน่งสำคัญในตระกูลเช่นเดียวกัน
เมื่องานเฉลิมฉลองจบลงในตอนเย็น ใบหน้าของหลัวหมิงซานก็แดงระเรื่อจากการดื่มสุรา หากมิใช่เพราะอาการบาดเจ็บที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เขาก็ยังคงร่ำสุราต่อไปได้อย่างสำราญ
ก่อนจากไป หลัวหมิงซานจับมือของหลัวเฉิงแล้วกล่าวว่า “เฉิงเอ๋อร์ ไม่ว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเจ้า เจ้าก็ยังคงเป็นหลานชายที่ปู่รักเสมอ!”
หลัวเฉิงพยักหน้า ทว่า มือของเขากลับกำแน่นโดยไม่รู้ตัว
ตั้งแต่เขายังเด็ก ปู่ของเขาคอยปกป้องดูแลและห่วงใยอยู่เสมอ แม้กระทั่งหลังจากได้รู้ว่าเขาปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมา ความรักของปู่ที่มีต่อเขาก็ยังคงมิเปลี่ยนแปลง
เมื่อมองดูหลัวหมิงซานเดินห่างออกไป หลัวเฉิงก็แอบสาบานในใจว่า ตระกูลของเขาจะต้องรุ่งเรืองจากการแข่งขันล่าสัตว์ในครั้งนี้!
ข้าต้องหาโอสถระดับสี่ดาวเพื่อมารักษาอาการบาดเจ็บของท่านปู่ให้ได้!