ตอนที่ 44 เป้าหมายคือเซียนกวีแห่งต้าซาง
ตอนที่ 44 เป้าหมายคือเซียนกวีแห่งต้าซาง
บทกวี ‘ศรัทธาต่อความเชื่อ ยึดมั่นในความรัก’ ดึงดูดให้หมู่ผู้หญิงที่โหยหาความรักมากมายเอ่ยถึง
มีตระกูลเล็กๆ บางตระกูลถึงขั้นขอแต่งงานกับตระกูลเฉิน เพราะอยากเกี่ยวดองด้วยเหลือเกิน
แม้ยังไม่ทราบระดับการฝึกตนของคุณชายเฉินที่แน่ชัด แต่ด้วยพรสวรรค์ด้านกวีนิพนธ์ซึ่งนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ยังยอมรับ การฝึกตนวิถีปราชญ์จะทำให้เขาบรรลุความสำเร็จมากมายได้แน่
การฝึกตนวิถีปราชญ์ถือได้ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของแนวทางฝึกตนกระแสหลักในปัจจุบัน เป็นวิธีฝึกตนที่เกือบละทิ้งพรสวรรค์แต่มุ่งเน้นไปที่ความเข้าใจมากขึ้น
มีคำกล่าวว่าเมื่อตระหนักรู้ก็สามารถเข้าสู่ระดับมิ่งตานได้เลย
กระนั้นยังมีข้อจำกัดใหญ่ๆ อยู่ด้วย เช่นอายุขัยไม่ยาวนานเท่าและยังไม่มีวิธีฝึกตนที่เป็นแบบแผนชัดเจน ในปัจจุบันยังไม่มีใครบรรลุถึงระดับหยวนเสินผ่านการฝึกตนวิถีปราชญ์ มันจึงไม่ได้รับความนิยม แม้แต่ในหมู่ระดับล่างๆ ยังไม่สนใจ
พริบตาเดียวเวลาผ่านไปอีกครึ่งเดือน
ในช่วงเวลาที่ดอกเบญจมาศฤดูหนาวบานสะพรั่ง ทันใดนั้นหลี่จื่อซวงบุตรสาวของเสนาบดีกรมพิธีการได้ส่งเทียบเชิญกลุ่มปัญญาชนผู้มีพรสวรรค์เข้าร่วมงานชุมนุมกวี ณ สวนไป่ฮวา เพื่อให้สหายนักกวีได้มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
เดิมทีหลี่จื่อซวงเป็นสตรีที่มีชื่อเสียงและมีความสามารถในเมืองหลวงอยู่แล้ว อีกทั้งภูมิหลังทางครอบครัวของนางยังถือว่าไม่ธรรมดา จึงมีปัญญาชนหลายคนเต็มใจเข้าร่วมงานนี้
และเฉินเฟิงอดีตคนโง่ที่ประพันธ์กวีในสี่ก้าวจนทำให้เมืองหลวงตกตะลึงเมื่อไม่นานนี้รวมอยู่ในเทียบเชิญด้วย
สำหรับตัวเอกจอมเสแสร้งแล้วงานชุมนุมกวีเป็นโอกาสที่ไม่ควรพลาด ดังนั้นเฉินเฟิงจึงตอบรับคำเชิญโดยไม่ต้องคิด
เขาไม่ต้องการเป็นอัจฉริยะด้านบทกวีเท่านั้น แต่เขาอยากเป็นเซียนกวีแห่งต้าซาง!
……
สวนไป่ฮวาคู่ควรกับชื่อไป่ฮวาจริงๆ นี่คือที่ดินทรัพย์สินส่วนตัวของจักรพรรดินีซึ่งมีชื่อเสียงในเมืองหลวง ในสวนนี้ดอกไม้จะบานสะพรั่งอยู่เสมอ หญ้าเขียวขจีและบรรยากาศน่าดึงดูดราวกับสวรรค์บนดิน
สายลมเย็นและน้ำไหลฉ่ำ บรรยากาศเงียบสงบ การออกแบบของศาลาและอาคารต่างๆ กลมกลืนกับทัศนียภาพโดยรอบซึ่งน่าผ่อนคลายที่สุด
สวนไป่ฮวาแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่กวีผู้มากความสามารถในเมืองหลวงนิยมใช้จัดงานชุมนุมกวี
……
“พี่เฉินมาแล้ว!”
“โหยว นี่คือคุณชายเฉินผู้ประพันธ์กวีในสี่ก้าวไม่ใช่หรือ!”
“ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว คุณชายเฉิน รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้อ่านบทกวีของท่านเหลือเกิน”
“ว่าอย่างไรนะ เฉินเฟิงคือผู้ได้รับคำชมว่าไม่สนใจแม้ธารน้ำฉินที่ไหลมาจากฟ้า แต่ยึดมั่นในการดำเนินตามศรัทธาและความรักคนนั้นหรือ”
ปัญญาชนกลุ่มหนึ่งเข้ามาล้อมชายหนุ่มรูปงามไว้ที่ประตูแล้วพากันเดินเข้ามาในสวน
เฉินเฟิงพยักหน้าด้วยอาการสงวนท่าทีต่อคนเหล่านี้ เขามองด้วยสายตาห่างเหินและดวงตาของเขาค้นหาไปทุกที่
เพราะเขาได้ยินว่าผู้จัดงานชุมนุมกวีครั้งนี้คือหลี่จื่อซวง สตรีที่มีชื่อเสียงและมีความสามารถสูงส่งในเมืองหลวง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดหญิงงามแห่งเมืองหลวงด้วย
ที่เรียกว่าสี่สุดยอดหญิงงามแห่งเมืองหลวง ในความเป็นจริงมันถูกจัดอันดับจากนักวิจารณ์บางกลุ่มเท่านั้น ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรเลย แต่การได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสี่สุดยอดหญิงงามก็เพียงพอที่จะอธิบายรูปลักษณ์ของหลี่จื่อซวงได้
ความงดงามเช่นนี้ เขาเฉินเฟิงจำเป็นต้องทำความรู้จัก
ครั้งล่าสุดที่ประชันบทกวีกลางถนน เขารู้สึกหดหู่ใจเป็นเวลานานหลังจากถูกหญิงชุดเหลืองเมินเฉย
แต่เขาคิดว่าผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นคนไร้การศึกษา จึงไม่เข้าใจพรสวรรค์ด้านบทกวีที่น่าทึ่งของเขา
แต่หลี่จื่อซวงผู้จัดงานชุมนุมกวีในครั้งนี้มีชื่อเสียงในฐานะผู้หญิงมีความรู้และความสามารถโดดเด่น ตราบใดที่เขาหยิบยกบทกวีสองสามบทที่น่าทึ่งขึ้นมา เขาคงดึงดูดความสนใจของหญิงงามได้แน่ แม้แต่การจุมพิตสักครั้งก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เฉินเฟิงซึ่งมีบทกวีจากชาติที่แล้วอยู่ในสมองบ้าง จึงมีความมั่นใจใน ‘พรสวรรค์’ ของตัวเองมาก
……
ในเวลาเดียวกัน
ณ ห้องส่วนตัวในสวนไป่ฮวา
“ซูอัน คราวนี้จะจัดการกับเฉินเฟิงคนนั้นหรือไม่?”
หลี่จื่อซวงช่วยซูอันสวมเสื้อผ้าของเขาก่อน จากนั้นเช็ดบั้นท้ายของตนและใช้พลังเวทขจัดสิ่งสกปรกออกจากร่างกายแล้วสวมเสื้อผ้าของตัวเอง
“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?” ซูอันเลิกคิ้วถาม
“นาย นายท่าน” หลี่จื่อซวงกัดริมฝีปากแล้วตะโกนเรียกด้วยท่าทางอับอาย
คนเลวคนนี้ชอบบังคับให้นางตะโกนคำเรียกที่น่าอับอายอยู่เสมอ
นางเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดหญิงงามแห่งเมืองหลวงและเป็นคนรักในฝันของผู้ชายนับไม่ถ้วน หญิงสาวผู้บริสุทธิ์และมากความสามารถแห่งเมืองหลวง แต่ในเวลานี้นางต้องเรียกชายตรงหน้าว่านายท่านด้วยความถ่อมตัว
แต่ความรู้สึกในตอนที่เรียกคำนี้...ทำให้นางรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย!
หลี่จื่อซวงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองจริงๆ
นับแต่วันนั้นที่นางได้เห็นภาพการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างซูอันกับเยี่ยหลีเอ๋อร์ที่เรียกว่าการฝึกควบรวมอินหยาง นางก็พังทลายลง
“อย่าถามเกินกว่าที่ควร” ซูอันเตือนสติ
ผู้หญิงคนนี้ช่างสงสัยเหลือเกิน
“อ้อ” หลี่จื่อซวงมองซูอันด้วยความเสียใจ
เมื่อเห็นภาพนี้ ซูอันจึงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และถามว่า “เจ้าคิดว่าสถานการณ์ใดจะทำให้คนๆ หนึ่งที่โง่เขลาและไม่เคยเรียนในสำนักศึกษา แต่กลายเป็นอัจฉริยะด้านกวีผู้มีชื่อเสียงภายในพริบตา เจ้าคงไม่เชื่อว่าบทกวีที่เขาท่องออกมานั้นถูกกำหนดโดยสวรรค์กระมัง”
หลี่จื่อซวงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งนี้และไตร่ตรองด้วยความรอบคอบ “หรือเขาถูกบางสิ่งครอบงำ...แต่มันก็ยากจะเกิดขึ้นได้เช่นกัน” ทันใดนั้นนางเกิดความคิดและพูดด้วยความตื่นเต้น “นี่อาจจะเป็นการยึดร่าง!”
“มีความเป็นไปได้” ซูอันไม่ตอบรับการคาดเดาของหลี่จื่อซวงด้วยความชัดเจน
ลองคิดดูแล้วเขาอาจไม่ใช่คนเดียวในเมืองหลวงที่สงสัยว่าเฉินเฟิงถูกยึดร่าง เพราะโลกนี้มีคนฉลาดอยู่มากมาย
เฉินเฟิงเปิดเผยตัวตนมากเกินไป ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้เป็นเรื่องยากที่จะไม่มีใครสงสัย
แต่เฉินลี่บิดาของเฉินเฟิงไม่เคยพูดอะไรเลย ดังนั้นจึงยากที่คนอื่นจะพูดมาก
ซูอันคาดเดาในแง่ร้ายว่าเฉินลี่ชอบบุตรชายคนปัจจุบันมากกว่าบุตรชายผู้โง่เขลาคนเดิม จึงไม่สำคัญว่าจะถูกยึดร่างหรือเปล่า
อีกหนึ่งความเป็นไปได้คือเฉินเฟิงปลุกความทรงจำในอดีตชาติเหมือนเขาขึ้นมา แต่ซูอันคิดว่ามันไม่น่าเป็นไปได้
หากความทรงจำถูกปลุกให้ตื่นขึ้น อิทธิพลของความทรงจำในชีวิตนี้ควรจะใหญ่กว่า เช่นเดียวกับซูอันที่หลังจากปลุกความทรงจำในชาติก่อนแล้ว บุคลิกภาพของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก
พูดได้เพียงว่าทั้งหมดเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่เสื่อมทรามในชีวิตนี้จึงทำให้จิตใจอันสูงส่งแต่เดิมของเขามัวหมอง
แต่เฉินเฟิงแตกต่างออกไป เขามีความรู้สึกที่แตกแยก ให้ความรู้สึกสูงส่งและเหนือกว่าสถานที่แห่งนี้ มันเหมือนกับการมองโลกใหม่นี้จากมุมมองของคนนอกเสียมากกว่า
เฉินเฟิงไม่ได้รวมเข้ากับโลกนี้ แต่ถ้าเขาเพียงปลุกความทรงจำเกี่ยวกับชาติก่อนขึ้นมาจะไม่มีความรู้สึกแตกแยกเช่นนี้
“ไม่รู้ว่าคนที่ส่งเจ้ามาที่นี่หวังดีกับเจ้าจริงๆ หรือเปล่านะ” รอยยิ้มโหดร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูอัน “แต่..ข้าจะส่งเจ้ากลับไปเอง ถ้ายังกลับไปได้น่ะนะ”
……
รูปแบบของงานชุมนุมกวีแตกต่างไปจากที่เฉินเฟิงจินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง
เขานั่งดูพวกคนเก่งประชันกวีด้วยความเบื่อหน่าย สำหรับจุดเด่นเช่นเขาทำได้เพียงก้มหน้าและดื่ม
เพราะการประชันกวีรอบแรกคือการใช้สี่คำสุดท้ายของบทก่อนหน้าเป็นจุดเริ่มต้นของบทกวีที่สอง ใช้อักขระสิบสี่ตัวในการเขียนสองประโยค และขยายเป็นกลอนเจ็ดพยางค์สี่บรรทัดยี่สิบแปดตัว ประโยคจะต้องราบรื่นและมีความหมาย
สำหรับผู้ที่เรียนกวีโบราณบางบทในชั้นเรียน และได้อ่านบทกวีชื่อดังบางบทจากอินเทอร์เน็ตเช่นเฉินเฟิงจึงไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ
ความเก่งจอมปลอมสุดท้ายก็เป็นได้แค่ของปลอม ไม่ต้องทดลองใช้
จากนั้นทุกคนเริ่มประชันบทกวีที่สามารถอ่านไปข้างหน้าได้และยังอ่านย้อนหลังได้ด้วย
เฉินเฟิงชาวาบไปทั้งกาย เขาไม่รู้ว่าต้องประพันธ์ออกมาอย่างไร ช่างเป็นเงื่อนไขที่แปลกจริงๆ