ตอนที่แล้วบทที่ 31 การพบกัน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 33 อนุเสาวรีย์ปีศาจ

บทที่ 32 ความพ่ายแพ้


โดยที่ทูรัสไม่ทันรู้ตัวเลยว่า หยดน้ำที่ดูถูกเหยียดหยามตนเองตอนนี้ อาจจะสามารถฆ่าตนได้จริงๆ เพราะหยดน้ำยิ่งมีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ ถี่ขึ้นเรื่อยๆ และเย็นขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ตัวมันเองที่โจมตีอีกฝ่ายแต่กลับไม่ทำให้เกิดความเสียหายเลยสักครั้ง โครงกระดูกนี่บินได้ด้วยนี่!

โครงกระดูกบินได้งั้นเหรอ? พูดออกไปใครจะกล้าเชื่อ แต่กลับเกิดขึ้นจริงต่อหน้าทูรัส เวลาที่ลูกไฟลาวาปาเข้าไป กระแสลมก็พัดพาอังเกอร์ให้ลอยขึ้นไปบนอากาศ หลบเลี่ยงลูกไฟลาวาได้อย่างง่ายดาย

ทูรัสไม่ได้คาดคิดถึงสถานการณ์แบบนี้เลยแม้แต่น้อย แม้จะเล็งเป้าหมายไว้แล้วก็ไร้ประโยชน์ ได้แต่มองตาค้างขณะที่ลูกไฟลาวาพุ่งชนพื้น ระเบิดเป็นหลุมใหญ่พร้อมฟองหินเผาไหม้อันร้อนระอุ

ปฏิกิริยาพลังเวทบนตัวอังเกอร์ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หยาดฝนที่สาดรดใส่ทูรัสก็ยิ่งหนาแน่นขึ้น อุณหภูมิกลับลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ ส่งผลให้พลังความร้อนที่ถูกพัดพาออกไปจากตัวทูรัสมีมากขึ้นเรื่อยๆ

ในช่วงเวลาที่ทูรัสปาลูกไฟออกไปหนึ่งลูกและลาวาระเบิดอีกหนึ่งลูก อังเกอร์ได้สาดหยดน้ำไปแล้วนับสิบระลอก ควันสีขาวที่พวยพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลาวาที่ไหลอยู่บนผิวของทูรัสเริ่มแข็งตัวกลายเป็นเปลือกแข็งหนาชั้นหนึ่ง

มันรวมพลังเตรียมยิงลาวาระเบิดลูกที่สองออกไป พลางจับจ้องไปยังอังเกอร์เพื่อเล็งเป้าหมาย

หลังจากปล่อยเวทออกไป เรายังสามารถควบคุมทิศทางการเคลื่อนที่ได้ด้วยการเล็งเป้าหมายด้วยสายตา

ยิ่งเป็นเวทที่เน้นทำร้ายด้วยธาตุมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเล็งเป้าหมายด้วยสายตาได้ง่ายเท่านั้น ส่วนเวทที่เน้นสร้างความเสียหายเชิงกายภาพ เช่น ลาวาระเบิด ซึ่งใช้ความเร็วและการระเบิดมาทำลายศัตรู ประสิทธิภาพในการเล็งเป้าหมายด้วยสายตาก็ลดลงไปมาก

ทำได้แค่เปลี่ยนทิศทางได้เล็กน้อยเท่านั้น ไม่อาจโค้งไปมาในอากาศเหมือนเวทลูกไฟ และยิ่งไม่มีทางลอยไปทางซ้ายหรือขวา ขึ้นหรือลง ตามใจเหมือนหยดน้ำของอังเกอร์ได้

แต่ก็ไม่มีทางเลือก ใครใช้ให้อังกอร์เป็นโครงกระดูกที่ภูมิต้านทานความเสียหายจากพลังธาตุด้วยล่ะ

ขณะทนรับสายน้ำที่สาดใส่ ทูรัสก็รวมตัวลูกไฟลาวาขึ้นมาอีกครั้ง แต่เพียงลูกไฟเพิ่งก่อตัวขึ้นในมือ หยดน้ำก็ตกลงมาบนนั้นทันที ควันขาวพวยพุ่งเสียงดังฟู่ๆ ทำให้ลูกไฟลาวาเริ่มมอดลงไปมาก

"แย่แล้ว!" ทูรัสพยายามเร่งพลังควบคุม ลูกไฟลาวาก็กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง

แต่ไม่นานหยดน้ำก็สาดมาอีกระลอก ความร้อนก็ลดหล่นลงไปอีก ภายใต้การขัดขวางของหยดน้ำ ลูกไฟลาวาไม่อาจทวีความร้อนกลับขึ้นมาได้เลย ในที่สุด ทูรัสไม่มีทางเลือก ได้แต่ปาลูกไฟลาวาที่ยังไม่สมบูรณ์นั่นออกไป พลางจ้องมองไปยังอังเกอร์ด้วยสายตาที่ดุร้าย

ผลออกมาไม่ต้องบอกก็รู้ ลาวาที่เกือบจะกลายเป็นลูกหินนั่น พุ่งเฉียดร่างของอังเกอร์ไปโดยไม่แตะต้องอะไรเลย

แม้กระทั่งในขณะหลบหลีก คลื่นพลังเวทบนตัวอังเกอร์ก็ไม่ได้หยุดชะงักลงเลย หยดน้ำยิ่งหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ อุณหภูมิก็ยิ่งลดต่ำลงไปอีก ในที่สุดกลายเป็นหยดน้ำแข็งที่เล็กเท่าเข็ม แทงทะลุเข้าไปในผิวลาวาของทูรัส

ทูรัสเริ่มร้อนใจขึ้นมาจริงๆ มันกระพือปีกพุ่งเข้าหาอังเกอร์ทันที หากลูกไฟโจมตีไม่โดน ก็ต้องใช้มือฉีกแกออกเป็นชิ้นๆ

อังเกอร์หันหลังวิ่งหนีทันที

เมื่อพบว่าปีศาจลาวานั้นแข็งแกร่งมาก อาจสู้ด้วยดาบไม่ได้ เขาก็นึกถึงซอมบี้น้อยขึ้นมาทันใด ด้วยความเร็วที่เหนือกว่า ซอมบี้น้อยสามารถเอาชนะลูกน้องโครงกระดูกสีเทาได้ทีละตัวสองตัว

อังเกอร์วิ่งได้เร็วมาก และเมื่อเขาใช้เวทผงเกสรกับตัวเอง ยิ่งบินขึ้นไปบนอากาศได้เลย

ถึงอย่างนั้น หยดน้ำของอังเกอร์ก็ยังไม่หยุด เพียงแค่ความถี่ลดลงครึ่งหนึ่ง แต่ตราบใดที่ยังมีหยดน้ำตกลงบนตัวทูรัส ความร้อนในร่างของปีศาจก็จะลดหล่นลงอย่างต่อเนื่อง

ทูรัสทนรับสายน้ำที่สาดใส่ กระพือปีกไล่ตามไปพักใหญ่ ก็พบว่าไล่ตามไม่ทัน ผิวบนตัวบางส่วนเริ่มแข็งกระด้างเป็นเปลือกแล้ว หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ตัวเองอาจถูกฆ่าด้วยน้ำจริงๆ

โอ้วพระเจ้า นี่มันโครงกระดูกอะไรกัน ทำไมพลังเวทมนตร์ของมันถึงไม่มีที่สิ้นสุด สาดน้ำมาเป็นร้อยรอบแล้ว แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

แบบนี้มันเสียเปรียบชัดๆ ไม่เอาแล้ว ทูรัสตัดสินใจในทันที หันหลังวิ่งหนีไปทางตรงข้ามกับอังเกอร์

"เฮอะๆๆ สมกับเป็นปีศาจจริงๆ เก่งทั้งยอมแพ้และหนี หนีซะแล้วเหรอ" ฟิลินที่หลบอยู่ไกลๆ เยาะหยันขึ้นมา

สิ่งที่เขาเกลียดปีศาจที่สุดก็คือจุดนี้แหละ ช่างเจ้าเล่ห์เห็นแก่ตัว เวลาไม่มีอันตรายก็เชิดหน้าผยองคอ พอมีเรื่องร้ายแรงหน่อยก็หายเงียบไปเลย เหตุโรคท้องร่วงก่อนหน้านี้ต้องเป็นฝีมือปีศาจแน่ๆ แต่กลับไม่พบหลักฐานอะไรเลยสักชิ้น

ถ้าครั้งนี้อังเกอร์ไม่ไล่ตามทัน นอกจากรอยเท้าไม่กี่อันแล้ว คงไม่ได้หลักฐานอะไรอีกเช่นกัน

หากกล่าวหาหุบเขาปีศาจโดยมีเพียงรอยเท้าไม่กี่อัน พวกมันจะย้อนกลับมาด่าว่าเราใส่ความกลับเสียอีก อ้างว่าด้วยรอยเท้าแค่ไม่กี่อัน แล้วกล้าพูดได้ไงว่าเป็นฝีมือพวกเราชาวหุบเขาปีศาจ งั้นเดี๋ยวข้าไปเก็บกระดูกสักสองสามชิ้น แล้วจะบอกว่าเป็นโครงกระดูกของพวกเจ้าที่ไปวุ่นวายกับปีศาจสาวของข้าดีไหมล่ะ!

ใครจะไปรู้ บางทีรอยเท้าไม่กี่อันนี้อาจจะเป็นฝีมือที่ทูรัสทิ้งเอาไว้อำพรางก็ได้

คิดจะหนีงั้นเหรอ อังเกอร์หันหลังกลับไล่ตามไปติดๆ

ไม่ว่าทูรัสจะหนีไปทางไหน อังกอร์ก็ยังคงไล่ตาม ห่างออกไปไม่ไกล และสาดสายน้ำใส่ไม่หยุด

เมื่อเห็นว่าแบบนี้คงไปต่อไม่ไหว ทูรัสคำรามด้วยความโกรธแค้น กระทืบพื้นอย่างแรง

ปรากฎว่าพื้นดินรอบเท้าใหญ่ๆของมันกลายเป็นจุดศูนย์กลาง รอบๆรอยเท้าแยกเป็นรอยแตกร้าวคล้ายใยแมงมุม รอยแตกนั้นเต็มไปด้วยเปลวเพลิงและลาวาที่คุกรุ่นอยู่ มนุษย์ยักษ์ลาวาสองตนที่ตัวใหญ่กว่าทูรัสหนึ่งวงโผล่พรวดขึ้นมา พุ่งเข้าใส่อังเกอร์

ได้จังหวะนี้แล้ว ทูรัสจึงเตะพื้นหนีไป กระพือปีกรีบบินจากไปอย่างรวดเร็ว

"โอ้ย!" ซอมบี้น้อยวิ่งพรวดมา พุ่งชนเข้ากับร่างของมนุษย์ยักษ์ลาวาดังตุบ มนุษย์ยักษ์ลาวางุนงงมันก้มมองเล็กน้อย มันรู้สึกเหมือนโดนอะไรบางอย่างชนเข้า

ซอมบี้น้อยกระเด็นกลับมา นั่งหงายอยู่บนพื้น เอื้อมมือจับหัว แล้วพบว่าตรงที่ถูกชนกับมนุษย์ยักษ์ลาวาถูกเผาจนหนังหนาไหม้เกรียม

ถูกโจมตี! ถูกโจมตี! เปลวเพลิงรอบตัวมนุษย์ยักษ์ลาวาปะทุขึ้นมาเป็นวง มันเงยขาขึ้นเตรียมเหยียบซอมบี้น้อย

ซอมบี้น้อยยังคงกุมหัวตรงส่วนที่หนังหนาไหม้เกรียมอยู่ มันรีบถีบเท้าวิ่งหนี ดึงดูดมนุษย์ยักษ์ลาวาให้ไปอีกทาง

"นายท่าน ปล่อยให้ข้าจัดการเอง!" อายสฝืเคที่ซ่อนตัวอยู่ไกลๆ และเชียร์มานานได้โอกาสโชว์ฝีมือซักที จึงยิงลูกธนูแห่งความตายออกไปทันที ธนูที่รวมพลังมรณะกระทบเข้าที่ตัวมนุษย์ยักษ์ลาวา เปลวเพลิงรอบตัวมันมอดดับไป

มนุษย์ยักษ์ลาวาที่ถูกโจมตีเลยเปลี่ยนเป้าหมาย ปล่อยอังเกอร์แล้วพุ่งเข้าใส่อายส์เคแทน

แต่ด้วยการถูกขัดขวางนี้ ทำให้ทูรัสสร้างระยะห่างออกไปได้มาก อังเกอร์มองปีศาจที่อยู่ไกลลิบๆ และก็มองดูท้องฟ้า เขารู้ดีว่าคงไล่ตามไม่ทันแล้ว เพราะอีกไม่นานก็จะถึงเวลาพลบค่ำ ลมแห่งชีวิตกำลังจะโชยมา

หากไม่มีลมแห่งชีวิต โครงกระดูกที่มีพลังอึดนี้น่าจะไล่ตามทูรัสจนหมดแรงได้แน่

อังเกอร์หยุดฝีเท้า เตรียมจะล้มเลิก แต่โครงกระดูกเทวทูตกลับวิ่งมาข้างหน้า ชี้ไปที่ปีศาจตนนั้น แล้วชี้มาที่ตัวเอง จากนั้นก็ชี้ไปที่มืออังเกอร์

ต้องการแสงศักดิ์สิทธิ์หรือ ทำไมล่ะ มันไม่ได้บาดเจ็บสักหน่อย

อังเกอร์ไม่เข้าใจ แต่ก็ยังคงทำตามที่โครงกระดูกนางฟ้าต้องการ เขาร่ายเวทแห่งการชำระล้าง แสงศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ โครงกระดูกเทวทูตก็ยื่นมือมาคว้าเอาไป ตักขึ้นมาในลักษณะเหมือนกำลังตักทราย

แสง มันตักขึ้นมาได้ด้วยเหรอ...? อังเกอร์เอียงคอ ไม่รู้ว่าโครงกระดูกเทวทูตต้องการทำอะไร

แต่เขาเดาผิด แสงศักดิ์สิทธิ์ถูก 'ตัก' ขึ้นมาได้จริงๆ โครงกระดูกเทวทูตใช้มือทั้งสองตักแสงศักดิ์สิทธิ์จากฝ่ามืออังเกอร์ขึ้นมาเหมือนตักทราย แล้วยัดเข้าปากไปทั้งกำ

คำถามใหญ่ผุดขึ้นในดวงวิญญาณของอังเกอร์ เขาพลิกฝ่ามือกลับมามอง เกิดอะไรขึ้น แสงศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนไปได้อย่างไร

ในความสงสัย โครงกระดูกเทวทูตก็ดันเขาเบาๆ ชี้ไปที่ฝ่ามืออย่างร้อนรน

ต้องการอีกเหรอ อังเกอร์ร่ายเวทย์แห่งการชำระล้างอีกครั้ง

โครงกระดูกเทวทูตตักแสงศักดิ์สิทธิ์ใส่ปาก แล้วก็เงยหน้ามองเขาอีก

ยังต้องการอีกเหรอ อังเกอร์ร่ายเวทชำระล้างไม่หยุด โครงกระดูกนางฟ้าก็ตักแสงใส่ปากไม่หยุด ตักไปถึงหกสิบกำ ปีกของมันค่อยๆ เปล่งประกายขึ้นมา แสงศักดิ์สิทธิ์แต่ละก้อนที่กินเข้าไปทำให้ปีกสว่างขึ้นทีละนิด ในที่สุดก็มีกลิ่นอายของนางฟ้าแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาบ้างแล้ว

จะระเบิดไหมนะ อังเกอร์ลังเลอยู่บ้าง ไม่แน่ใจว่าควรจะป้อนแสงศักดิ์สิทธิ์ให้มันต่อไปอีกหรือไม่

แต่ดูเหมือนโครงกระดูกเทวทูตจะพอใจแล้ว มันหันไปมองทางปีศาจ กางปีกออกกว้าง แล้วผลักมือไปข้างหน้าอย่างแรง

ลำแสงมหึมาทะลุร่างออกมา วูบวาบครั้งหนึ่ง ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า

ทูรัสที่อยู่ไกลออกไปถูกแสงจ้าฉาบไปทั่วตัว กลืนหายเข้าไปในลำแสง เมื่อแสงจางลง ทูรัสก็ล้มลงกับพื้นพร้อมกับควันดำพวยพุ่ง

ฟิลินและอายส์เคอ้าปากค้าง ตาเบิกโพลง ฟิลินพูดเสียงสั่นว่า "แ...แสงศักดิ์สิทธิ์ระยิบระยับ! นี่มัน...เป็นไปได้ด้วยเหรอ บ้าไปแล้ว...เกินไปแล้วมั้ง"

โครงกระดูกเทวทูตที่ปลดปล่อยแสงศักดิ์สิทธิ์ระยิบระยับออกมาก็ทรุดเข่าลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง ร่างกายค่อยๆ แตกสลาย ผงเถ้าสีดำนับไม่ถ้วนลอยคว้างอยู่ในอากาศ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด