บทที่ 30 ข้าจะเอาคืนให้เจ้าสองเท่า
หลัวเฉิงไม่คิดเลยว่า อีกฝ่ายจะมาที่นี่เพื่อต้องการโอสถ ดังนั้นเขาจึงเหยียดยิ้มแล้วกล่าวว่า “หากเจ้ามีความสามารถ ก็เข้ามาเอาโอสถได้เลย”
“โอ้ ความใจกล้าของเจ้าช่างน่านับถือในยิ่งนัก” ฉีถิงกล่าวขณะเหลือบมองหลัวเฉิงด้วยแววตาประหลาดใจเล็กน้อย
เดิมทีนางคิดว่า หากกลัวเฉิงได้รู้เรื่องที่นางทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับเก้า เขาจะขอยอมรับความพ่ายแพ้ในทันที แล้วนำโอสถมามอบให้นางด้วยมือสองข้าง!
แต่การกระทำของเขานั้น มันเกินความคาดหมายของนางไปมาก
“รู้หรือไม่ ความเย่อหยิ่งของเจ้า มันก็เหมือนกับกบที่มองท้องฟ้าจากก้นบ่อ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกนี้กว้างใหญ่เพียงใด ข้าไม่แปลกใจเลยว่าไฉนเจ้าจึงกล้าท้าทายอัจฉริยะของตระกูลจี!”
เมื่อกล่าวเช่นนั้น ฉีถิงก็เหยียบเท้าเข้าหาหลัวเฉิงทีละก้าวอย่างเชื่องช้า
“ข้าอยากรู้นักว่า กระดูกของเจ้าจะแข็งแกร่งกว่า หรือว่าหมัดของข้าจะแข็งแกร่งกว่ากันแน่” ขณะเดินเข้าหา นางก็กล่าวพร้อมกำหมัดกระชับแน่น
เมื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าของพ่อบ้านฉิน หลัวอวิ๋น และคนอื่นๆ ก็เต็มไปด้วยความกังวลมากขึ้น
แม้นหลัวเฉิงจะสามารถรับหมัดของหลินเซียวได้ แต่หลินเซียวก็อยู่ในขั้นหลอมกายาระดับเจ็ดเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ฉีถิงอยู่ในขั้นหลอมกายาระดับเก้า ซึ่งพลังนั้นเกินกว่าที่จะเอาหลินเซียวมาเปรียบได้!
ฉีถิงพุ่งเข้าใส่หลัวเฉิงอย่างรวดเร็ว นางไม่ให้โอกาสเหล่าคนของตระกูลหลัวปรามหลัวเฉิงแม้แต่น้อย
“รับมือ!” ฉีถิงตะโกนเสียงดัง พร้อมกับชกหมัดออกไปทันที
กำปั้นขาวเนียนที่พุ่งมาพร้อมกับแขนเรียวยาวนั้นร้ายกาจอย่างยิ่ง หมัดนี้ทำให้สายลมขาดกระชาก ส่งเสียงคำรามดังกว่าของหลินเซียวเสียอีก
ด้วยแรงของหมัดนี้ ทำเอาหลัวเฉิงสัมผัสได้ถึงลมหนาวที่พุ่งเข้าปะทะหน้า แต่ทว่าเขากลับมิหวั่นเกรง เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนแสงดั่งสายฟ้าจะทอประกายในแววตา
“สะท้านขุนเขา!” หลัวเฉิงตะคอกเสียงดังลึกในลำคอ
เขาโคจรพลังยุทธ์ไปทั่วร่างเพื่อกระตุ้นวิญญาณยุทธ์ แล้วชกสวนออกไปด้วยเพลงหมัดสยบภูผาทันที
ปัง!
สองหมัดพุ่งเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง
ทำเอาหลัวเฉิงถึงกับล่าถอยไปเกือบสามสิบฉื่อ แต่กระนั้นเขาก็ยังยืนตัวตรงราวกับหอก
“ไม่ล้มงั้นหรือ”
“นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว! ฉีถิงเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหลอมกายาระดับเก้ามิใช่หรือ!”
ผู้คนโดยรอบต่างอุทานด้วยความประหลาดใจ หลังพวกเขารู้ว่าฉีถิงอยู่ในขั้นหลอมกายาระดับเก้าแล้ว พวกเขาก็ตัดสินทันทีว่าผู้ใดจะชนะ แต่ทว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ทำให้พวกเขารู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งนัก
“ขั้นหลอมกายาระดับแปด! และเพลงหมัดสยบภูผาขั้นฉลาดล้ำเลิศ!” น้ำเสียงของฉีถิงเย็นชา
นางจ้องไปยังหลัวเฉิง ด้วยแววตาตกตะลึงเล็กน้อย
ก่อนหน้า นางไม่ได้ใส่ใจหลัวเฉิงเลยแม้แต่น้อย ทว่าตอนนี้ นางคงต้องให้ความสนใจเขามากขึ้นเสียแล้ว!
“อะไรนะ! ขั้นหลอมกายาระดับแปด! อีกทั้งเขายังฝึกวรยุทธระดับสามดาวจนบรรลุขั้นฉลาดล้ำเลิศอีก! นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน”
“หลัวเฉิงใช้วิธีฝึกแบบไหนกันถึงสามารถทะลวงมาถึงจุดนี้ได้”
วาจาของฉีถิงนั้น ทำให้ผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึง
“มาลองกันอีกครั้ง!” ฉีถิงแผดเสียงแหลมคำราม
นางไม่ยอมจบกับหลัวเฉิงเพียงเท่านี้ ประกายแสงสว่างวาบในดวงตาอันสดใสของนาง ไม่ช้าวิญญาณยุทธ์ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังฉีถิงทันที หมัดต่อไปนี้นางจะทุ่มสุดกำลังในการโจมตี
“ช้าก่อน!”
จู่ๆ ก็พลันมีเสียงกล่าวขึ้นแทรก พร้อมกับร่างหนึ่งรีบปรี่เข้ามายืนอยู่เบื้องหน้าของหลัวเฉิง นั่นคือพ่อบ้านฉิน
เขามองไปยังฉีถิงแล้วกล่าวด้วยแววตาเย็นชา “คุณหนูฉีถิง ตอนนี้ครบสามกระบวนท่าแล้ว การเดิมพันจึงถือเป็นอันสิ้นสุด”
ฉีถิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเหลือบมองผู้คนโดยรอบ จากนั้นนางก็คลายปอดหายใจออก พร้อมกับคืนวิญญาณยุทธ์เข้าร่าง
“พวกเราไปกันเถอะ”
หลังเห็นฉีถิงคืนวิญญาณยุทธ์แล้ว หลัวเฉิงก็พาหลัวฉีจากไปในทันที
“พี่หญิง! ท่านจะปล่อยให้หลัวเฉิงจากไปเช่นนี้งั้นหรือ?” ฉีตงตะโกนด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ฉีถิงกลอกตาแล้วตะคอก “หากไม่ทำเช่นนี้ หรือเจ้าจะปล่อยให้ผู้อื่นกล่าวหาว่าตระกูลฉีเรานั้น เป็นพวกไม่รักษาคำพูด”
“แต่มัน……”
ฉีตงยังคงไม่พอใจและสีหน้าเขายังเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“เจ้าไม่ต้องกังวล ไว้ข้าจะล้างแค้นแทนเจ้าเอง ในเมื่อหลัวเฉิงตบเจ้า ข้าจะให้เขาชดใช้สองเท่าในงานชุมนุมล่าสัตว์!” ฉีถิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ฉีตงแผดเสียงคำรามพร้อมกระทืบเท้า “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับหลัวเฉิง ไฉนถึงแข็งแกร่งขึ้นได้ขนาดนี้ ทั้งที่ก่อนหน้ายังเป็นคนไร้ค่าแท้ๆ!”
ฉีถิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยสีที่แสดงออกถึงความอิจฉาเล็กน้อย
“มันอาจเป็นเพราะโอสถของตระกูลจีที่ทิ้งไว้ให้เขากระมัง โอสถของตระกูลโบราณนี้ช่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ มันสามารถเปลี่ยนคนไร้ค่าให้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้”
“ถ้าหากว่าหลัวเฉิงสามารถอาศัยพลังของตระกูลจีได้ เขาจะเป็นเหมือนปลาที่รอวันกลายร่างเป็นมังกรแล้วทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า!”
“แต่น่าเสียดายที่เขานั้นโชคร้าย! เรื่องนี้เขาทำได้เพียงตำหนิตัวเองเท่านั้น ที่ดันปลุกได้วิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมา ในอนาคต ต่อให้เขาใช้โอสถชั้นยอดมากขนาดไหน สุดท้ายมันก็ไร้ค่า!”
แม้นความแข็งแกร่งของหลัวเฉิงนั้น จะเกินความคาดหมายของนางไปมาก แต่ฉีถิงก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนัก
เพราะโอสถมีผลมากก็แค่ขั้นหลอมกายาเท่านั้น แต่เมื่อระดับพลังยุทธ์สูงขึ้นกว่านี้ วิญญาณยุทธ์คือตัวกำหนดความสำเร็จในอนาคต!