บทที่ 29 ฉีถิงแห่งตระกูลฉี
“ระวัง!” พ่อบ้านฉินตะโกนเสียงต่ำอยู่ในลำคอ
กระบวนท่าที่หลินเซียวใช้นั้น คือเพลงหมัดสยบศิลา ซึ่งเป็นวรยุทธระดับสามดาวของตระกูลหลิน อีกครั้งดูเหมือนว่าเขาจะฝึกฝนมันจนบรรลุขั้นสำเร็จเล็กน้อยแล้ว
ด้วยพลังของหมัดนี้ หลัวเฉิงผู้มีระดับพลังยุทธ์ต่ำกว่าต้องมิอาจรับได้เป็นแน่
แต่กระนั้น สีหน้าของหลัวเฉิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขายืนนิ่งอยู่กับที่แล้วยื่นแขนออกไปกางฝ่ามือรับหมัดของหลินเซียวโดยตรงทันที
เสียงการปะทะดังลั่น ระหว่างหมัดและฝ่ามือกระทบกัน แผ่พลังออกมาเป็นระลอกคลื่น
ไม่ถึงเสี้ยวลมหายใจ ก็พลันปรากฏร่างหนึ่งถอยหลังออกไปเกือบสิบฉื่อ
หลังทุกคนได้ประสบพบฉากนี้ สีหน้าและท่าทางก็เปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจยิ่ง
เพราะร่างที่ถอยกลับนั้นคือหลินเซียว ส่วนหลัวเฉิงยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ถอยเลยแม้เพียงก้าว
“เป็นไปไม่ได้! หลินเซียวทุ่มพลังทั้งหมดในการโจมตีครั้งนี้ แต่ไยถึงมิอาจทำอะไรหลัวเฉิงได้แม้แต่น้อย!”
“หรือว่าหลัวเฉิงผู้นี้ ได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับเจ็ดแล้ว! มิใช่ว่าเขาปลุกได้วิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมาหรอกหรือ ไฉนกลับทะลวงได้รวดเร็วถึงปานนี้”
ด้วยเห็นผลลัพธ์ที่ประจักษ์ชัดอยู่เบื้องหน้า มันทำเอาบรรดาผู้คนโดยรอบถึงกับรู้สึกพิศวงใจยิ่ง
ทว่า ผู้ที่มิอาจยอมรับเรื่องนี้ได้มากสุดก็คือหลินเซียว ซึ่งใบหน้าเขาตอนนี้ยิ่งประหลาดใจกว่าผู้ใดอื่น
“เป็นไปไม่ได้! มันไม่มีทางเป็นไปได้! เจ้าเป็นเพียงคนไร้ค่า จะทะลวงระดับรวดเร็วถึงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน!”
หลินเซียวจ้องเขม็งไปทางหลัวเฉิง ด้วยดวงตาที่โกรธแค้นจนแดงก่ำ
ก่อนหน้า เขาคิดว่าไม่ต้องใช้พลังมากก็สามารถเอาชนะหลัวเฉิงได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้ สิ่งที่ปรากฏในแววตาล้วนเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ความอับอายนี้ทำให้เขาแทบคลั่ง
“เหลืออีกหนึ่งหมัด ไม่ต้องเสียเวลาเข้ามาได้เลย!” น้ำเสียงของหลัวเฉิงฟังดูสงบไร้ซึ่งกังวล
หลินเซียวซึ่งอยู่ในขั้นหลอมกายาระดับเจ็ด ย่อมไม่อาจทำอะไรเขาได้อย่างแน่นอน
หลังได้ฟังวาจาเช่นนั้น มุมปากของหลินเซียวก็สั่นกระตุก ใบหน้าของเขาน่าเกลียดอย่างมากในขณะนี้
เพราะหมัดเมื่อครู่ เขาใช้พลังทั้งหมดที่มีในการชกออกไปแล้ว กระนั้นก็ยังมิอาจทำอะไรหลัวเฉิงได้ แม้เขาจะโจมตีอีกครั้ง มันก็คงไม่ต่างจากเดิมเลยแม้แต่น้อย
เขารู้สึกเสียดายยิ่ง ที่ก่อนหน้าเขามีหลัวฉีเป็นเครื่องมือในการทำลายตระกูลหลัวแล้ว แต่ตอนนี้แผนที่เขาอุตส่าห์เตรียมการมาทั้งหมดกำลังจะล้มเหลว ไหนเลยใจเขาจะสงบได้
“ในเมื่อเจ้าไม่ลงมือ เช่นนั้นก็ถือว่าข้าเป็นผู้ชนะ!” หลัวเฉิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เขาไม่อยากเสียเวลาโต้วาจาไร้สาระ จึงเดินไปหยิบสัญญาหนี้ของหลัวฉี แล้วก็สืบเท้าเข้าหาหมายจะพาหลัวฉีออกไปจากที่นี่
“ข้าเกรงว่า มันย่อมไม่เป็นผลดีหากเจ้าจะพาคนออกไปทั้งที่การเดิมพันยังไม่จบ!”
ระหว่างนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงสตรีตะโกนดังขึ้นท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก
เราฝูงชนต่างแยกออกเป็นสองฝั่งทาง และตรงกลางที่กำลังย่างกรายเข้ามาทางนี้ เป็นสตรีนางหนึ่งซึ่งสวมอาภรณ์สีแดงเพลิง
หญิงสาวอายุสิบห้าหรือสิบหกปี เรือนร่างของนางสูงเพรียวมีผมยาวมัดรวบอยู่ข้างหลัง ใบหน้าสวยสดงดงาม ในแววตามุ่งมั่นกล้าหาญยิ่ง
“นั่นคือฉีถิงแห่งตระกูลฉี!” หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นอย่างกะทันหัน
เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนในครานี้เป็นใคร ใบหน้าของพ่อบ้านฉินที่คลายกังวลก่อนหน้า บัดนี้กลับยิ่งเคร่งขรึมกว่าเดิมนัก
ฉีถิง นางเป็นอัจฉริยะวัยเยาว์อันดับหนึ่งของตระกูลฉี ซึ่งนางได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับแปดเมื่อไม่กี่เดือนก่อน!
“พี่หญิง!” ฉีตงกล่าวด้วยแววตาเป็นประกาย
เดิมทีใบหน้าของเขาหม่นหมองยิ่งนัก แต่บัดนี้กลับสำราญ เขากล่าวทักทายนางด้วยรอยยิ้ม “พี่หญิง ไฉนท่านไม่ฝึกฝนอยู่ในเรือน ไยจึงออกมาที่นี่”
“หากข้าไม่ออกมา เกรงว่าตระกูลฉีคงต้องอับอายขายหน้าเพราะเจ้าอย่างแน่นอน” ฉีถิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นนางช้อนตามองไปยังฉีตงแล้วกล่าวว่า “ข้าทะลวงระดับพลังยุทธ์สำเร็จแล้ว”
“ทะลวงระดับพลังยุทธ์สำเร็จ” ฉีตงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
ครั้นนึกได้ จึงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น “พี่หญิง ท่านทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับเก้าสำเร็จแล้วจริงหรือ!”
ฉีถิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แต่มิได้ปริปากกล่าวสิ่งใดเพิ่ม
หลังได้ยินสิ่งนี้ สายตาของทุกคนโดยรอบก็ต่างจับจ้องไปยังฉีถิงด้วยสีหน้าพิกลใจ
“ฉีถิงทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับเก้าแล้วหรือ! แต่อายุของนางยังไม่ถึงสิบหกปีเลยด้วยซ้ำ”
“พรสวรรค์ของนางนับได้ว่าไม่ธรรมดา! ดูเหมือนว่าการแข่งขันล่าสัตว์ในปีนี้ ตระกูลฉีคงโดดเด่นมิใช่น้อย!”
บรรดาผู้คนโดยรอบ ต่างมีความคิดเห็นไปในทางเดียวกัน ว่าตระกูลฉีกำลังรุ่งเรือง
ด้วยพรสวรรค์อันสูงส่งของฉีถิง การแข่งขันล่าสัตว์ในปีนี้ของตระกูลฉีต้องโดดเด่นใช่ย่อยแน่ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการมีอัจฉริยะวัยเยาว์ที่โดดเด่นเช่นนี้ อนาคตของตระกูลย่อมรุ่งโรจน์เป็นธรรมดา
“ข้าขอแสดงความยินดีกับพี่หญิงด้วย!” ฉีตงกล่าวด้วยความตื่นเต้นยินดี
จากนั้นสีหน้าก็ผันเปลี่ยน เขายกมือชี้ไปยังแก้มขวาที่บวมเป่ง แล้วชี้ไปทางหลัวเฉิงก่อนตะโกนด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“พี่หญิง เมื่อครั้งที่แล้วเขานี่แหละเป็นคนทุบตีข้า ท่านช่วยสั่งสอนเขาให้ข้าด้วย!”
“ข้ารู้แล้ว” ฉีถิงพยักหน้า
นางมองไปทางหลัวเฉิง แล้วกล่าวอย่างฉะฉาน “หากเจ้ารับหมัดของข้าแล้วยังยืนอยู่ได้ก็พาเขาไป ไม่เช่นนั้นก็วางโอสถเอาไว้ที่นี่!”
หลัวเฉิงจ้องไปยังฉีถิงแล้วกล่าวเสียงเบาด้วยถ้อยคำเฉื่อยชา “ดูเหมือนว่า ข้าคงไม่มีทางเลี่ยงงั้นสินะ”
“เจ้าสามารถเลี่ยงที่จะไม่รับหมัดของข้าได้ แต่ต้องวางโอสถเอาไว้ที่นี่” ฉีถิงกล่าวพลางยกคางเรียวของนางขึ้นเล็กน้อย
นางเพิ่งทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับเก้า และต้องการโอสถเพื่อขัดเกลาร่างกายอยู่พอดี
ซึ่งโอสถระดับสามดาวที่หลัวเฉิงมีในตอนนี้ เหมาะกับนางเป็นที่สุด