บทที่ 224 เสี่ยวเทียน แม่นางผู้นี้คือใครหรือ
หยางเสี่ยวเทียนค่อยๆ ดึงกระบี่ออกอย่างพิถีพิถัน ทำให้สีหน้าเหวินซิ่วหลานแสดงอาการเจ็บทรมานจนน่าเวทนา
ร่างบอบบางตกจากที่สูงกระแทกพื้นอย่างน่าสงสาร แต่กระนั่น กระบี่ในมือหยางเสี่ยวเทียนก็ยังชักออกมาไม่จบสิ้นความทรมานเสียที
เลือดฉานจากลำคอนางไหลทะลักเคลือบคมกระบี่ขณะเขาชักออกอย่างเชื่องช้า ทำให้เนื้อตัวขาวผ่องต้องแปดเปื้อนไปด้วยของเหลวสีแดงฉาน
เหวินซิ่วหลานสบกับดวงตาเยือกเย็นของหยางเสี่ยวเทียน ซึ่งเขายังคงจดจ้องนางกระทั่งเดี๋ยวนี้ ก่อนจู่ๆ เขาจะก้มลงมากล่าวอะไรบ้างอย่าง
“จริงสิ ข้าลืมบอกเจ้า ข้าไม่ชอบดื่มนมถั่วเหลือง” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวพร้อมลุกขึ้นเดินจากไป
ไม่ชอบดื่มนมถั่วเหลืองงั้นหรือ?
ดวงตาเหวินซิ่วหลานเบิกกว้าง เหมือนนางจะสำลักเลือดจนเริ่มหายใจไม่ออก กระทั่งสิ้นใจหลังหยางเสี่ยวเทียนดึงกระบี่ตงเทียนกลับไป
จากนั้น อูฉีก็หันหลังติดตามหยางเสี่ยวเทียนออกไป
สำหรับศพเหวินจิงเทาและเหวินซิ่วหลาน เขาไม่ได้กำจัดทิ้งเหมือนทุกครา ปล่อยให้ตระกูลเหวินมาพบแล้วจัดการกันเอง
ซึ่งไม่นานหลังหยางเสี่ยวเทียนจากไป เหวินเฟย เหวินจิงอวี๋พร้อมคนของสมาคมก็มาพบร่างไร้วิญญาณคนทั้งสองดังคาด
ในเวลานี้ น้ำแข็งที่ปกคลุมทั่วทั้งตัวเหวินจิงเทาก็ละลายหายไปหมด เหลือทิ้งไว้เพียงร่องรอยจากพิษซึ่งเป็นสาเหตุการตายและทำให้ร่างเขาเขียวคล้ำอย่างน่าสะพรึงกลัว
ความทุกข์ทรมานจากหมื่นพิษแกร่งศีตละของอูฉี หากไม่สามารถกำจัดมันได้ พิษเยือกแข็งจะเข้ากัดกร่อนหัวใจจนลมหายใจถูกตัดขาดในที่สุด
เหวินเฟยมองดูร่างไร้วิญญาณของเหวินจิงเทาและเหวินซิ่วหลานด้วยสีหน้าสับสนระคนสงสัย เขาสั่งให้คนของสมาคมจัดการนำศพทั้งสองกลับไป ก่อนในเวลาเดียวกัน จะสั่งให้คนตรวจสอบว่าเป็นฝีมือผู้ใด
วันถัดไป
หยางเสี่ยวเทียนก็พาบิดามารดาออกเที่ยวเล่น เมื่อเห็นว่าอากาศวันนี้แจ่มใสดีจนน่าเดินชมสิ่งของภายในเมือง
“เมืองหลวงแห่งนี้ยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือเสียจริง” หวงอิ๋งกล่าวด้วยอารมณ์ชมชอบ
ถึงเมืองเสินเจี้ยนจะเป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่และเจริญรุ่งเรืองสุดในอาณาจักรเสินไห่ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองหลวงแล้ว ก็ยังขาดรากฐานซึ่งเป็นใจหลักสำคัญอยู่บางประการ
หยางเสี่ยวเทียนที่ได้ยินน้ำเสียงเช่นนั้นของผู้เป็นมารดา จึงเผยยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “หากท่านแม่ชอบ เราหาซื้อจวนทิ้งไว้สักหลังดีหรือไม่”
หวงอิ๋งสะดุ้ง จากนั้นรีบส่ายศีรษะกล่าว “ไม่จำเป็นเจ้าเด็กน้อย แม่รู้ว่าตอนนี้เจ้ามีเงิน แต่อย่าใช้ฟุ่มเฟือยเพราะเรื่องนี้เลย เราไม่ได้จะอยู่ที่นี่ไปตลอดเสียหน่อย”
ระหว่างที่หยางเสี่ยวเทียนกำลังจะกล่าว เสียงอันไพเราะจากคนคุ้นเคยก็ดังขึ้น สร้างความประหลาดใจให้เขาอยู่ไม่น้อย
“น้องชาย!”
หยางเสี่ยวเทียนมองไปยังคนต้นเสียง ก่อนเห็นเหวินจิงอวี๋เดินมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มขณะเขารู้สึกตื่นตะลึงแปลกๆ
นางสวมใส่อาภรณ์สีดำ เผยให้เห็นเสน่ห์อันน่าหลงใหลในความเป็นสตรีของนางทุกส่วน
“กลายเป็นพี่สาวเหวิน” หยางเสี่ยวเทียนยิ้ม แม้นไม่คาดคิดว่าจะได้พบเหวินจิงอี้ระหว่างกำลังเดินเที่ยวเล่นชมเมือง
“น้องชายข้ามาเมืองหลวงทั้งที แต่ไม่มาพบพี่สาวเขาเลย” เหวินจิงอี้ดีใจ แต่ก็ลอบกล่าวออกมาด้วยความเง้างอดหน่อยๆ
“เจ้ากับพี่สาวเช่นข้า ห่างเหินกันไปแล้วสิ!”
หยางเสี่ยวเทียนได้เพียงยิ้ม ก่อนบอกถึงเหตุผล “ข้ามาเข้าร่วมการแข่งขันระดับสำนัก คิดเอาไว้ว่าหลังชนะสิบอันดับแรก ถึงจะไปเยี่ยมท่าน พี่สาวเหวิน”
“เจ้าจะเข้าร่วมการแข่งขันระดับสำนักและชนะสิบอันดับแรกงั้นหรือ” เหวินจิงอี้ตะลึง
จากนั้นหัวรอคิกคักไพเราะราวเสียงกระดิ่งสวรรค์ ขณะดวงตาโค้งมนดุจจันทราของนาง งดงามสอดรับกับสุ้มเสียงยิ่งนัก
“แขนเล็กๆ ของเจ้าไม่ใหญ่เท่าข้าด้วยซ้ำ เจ้ายังอยากเข้าร่วมแข่งขันระดับสำนักอยู่งั้นหรือ”
เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่หยางเสี่ยวเทียนกล่าวเป็นเรื่องตลก
หยางเฉามองหยางเสี่ยวเทียนสลับกับเหวินจิงอวี๋ระหว่างทั้งสองสนทนากันอย่างสนุก ผู้เป็นบิดาจึงแสร้งกระแอมไอหาช่องถาม
“เสี่ยวเทียน แม่นางผู้นี้ ใครหรือ”
หยางเสี่ยวเทียนที่เพิ่งสังเกตเห็นผู้เป็นบิดามารดา จึงรีบแนะนำเหวินจิงอวี๋ ให้รู้จักกับครอบครัวเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจากนั้นจะแนะนำหยางเฉาและหวงอิ๋งให้รู้จักกับเหวินจิงอวี๋
ทันทีที่เหวินจิงอี้ได้ทราบว่าหญิงวัยกลางคนผู้งดงามตรงหน้านาง คือบิดาและมารดาหยางเสี่ยวเทียน นางจึงรีบกล่าวทักทายพวกเขาด้วยท่าทีสงบเรียบร้อย
และเนื่องจากบิดามารดาหยางเสี่ยวเทียนอยู่ด้วย เหวินจิงอวี๋จึงมิกล้าแสดงความสนิทสนมแลสนทนาได้อย่างสนุกสนาน ด้วยเกรงจะเสียมารยาทไปมากกว่านี้ นางจึงอยู่เดินเล่นพร้อมพูดคุยด้วยสักพัก ก่อนบอกลาทั้งสาม
แต่ครั้นนางจะจากไป เหวินจิงอวี๋ยังไม่ลืมเชื้อเชิญพวกเขาให้ไปเยี่ยมเยือนยังสมาคมการค้าเฟิงยวินสาขาหลัก ซึ่งนางกำชับว่าจะตอนรับอย่างอบอุ่น
หวงอิ๋งเฝ้าดูเหวินจิงอี้จากไป แล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “นางคือเหวินจิงอี้จากตระกูลเหวิน นางช่างงดงามมากจริงๆ”
ขณะหวงอิ๋งยังเฝ้ามองนาง หยางเฉากลับหันมาถามหยางเสี่ยวเทียนด้วยสีหน้ามีเลศนัยพร้อมขยิบตาเล็กน้อย “เจ้ากับเหวินจิงอวี๋ พบกันได้อย่างไร หืม”
เมื่อเห็นความหมายอันลึกซึ้งในสายตาผู้เป็นบิดามารดา หยางเสี่ยวเทียนจึงอธิบายว่า “ข้ารู้จักนางเพราะนำโอสถไปขายที่สมาคมการค้าเฟิงยวินอยู่บ่อยครั้ง เราจึงสนิทกันอย่างสหาย”
หยางเฉาและหวงอิ๋งยิ้ม แต่ไม่ได้ถามคำถามใดอีก แม้นรอยยิ้มนั้นจะบ่งบอกถึงความคิดในใจทั้งสองเป็นอย่างดี
ไม่กี่วันข้างหน้า หยางเสี่ยวเทียนก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในลานฝึก ทั้งร่ายรำเพลงกระบี่และนั่งเข้าณานบ่มเพาะปราณมังการแรกเริ่มอย่างสงบ
ผ่านไปไม่กี่วัน การแข่งขันระดับสำนักก็มาถึงในที่สุด
เช้าตรู่ หยางเสี่ยวเทียนพร้อมทุกคนจากสำนักเสินเจี้ยน ก็มุ่งหน้าไปยังจัตุรัสพระราชวังซึ่งเป็นลานแข่ง
แม่นางเหวินจิงอวี๋