บทที่ 22 จิตยุทธ
ตอนนี้หลงเฉินมีผลึกพลังปราณระดับสูงสุดสองก้อนอยู่ในมือของเขา
“ถ้าข้านำผลึกพลังปราณระดับสูงสุด 2 ก้อนไปแลกเปลี่ยน ข้าก็จะมีผลึกพลังปราณระดับต่ำประมาณ 20 ล้านก้อน ถ้าข้าใช้สิ่งเหล่านี้แทนเงิน บางทีข้าอาจกลายเป็นบุคคลที่มั่งคั่งที่สุดในอาณาจักร แม้แต่จักรพรรดิเองก็ไม่สามารถเทียบเคียงข้าได้ แต่คุณค่าแท้จริงของพวกมันคือช่วยในการฝึกฝนบ่มเพาะพลัง” หลงเฉินประหลาดใจ เมื่อเขาสงสัยว่าผลึกพลังปราณระดับสูงสุดมีมูลค่าเท่าไหร่
หลังจากพิจารณาอยู่สักพัก หลงเฉินก็ตัดสินใจว่าจะไม่ขายมัน แต่จะใช้มันเป็นทรัพยากรช่วยเขาฝึกฝนบ่มเพาะพลัง ซึ่งตอนนี้เขาต้องทะลวงผ่านระดับให้เร็วที่สุด เพื่อที่เขาจะได้บินกลับบ้านได้
“ถ้าใช้ผลึกพลังปราณพวกนี้ ความแข็งแกร่งของข้าจะต้องเพิ่มขึ้นมากอย่างแน่นอน” หลงเฉินคิด ขณะมองไปที่ผลึกสีฟ้าในมือ
หลงเฉินนั่งลงและนำผลึกพลังปราณระดับสูงสุดก้อนหนึ่งไว้ในมือ และเริ่มบ่มเพาะพลังด้วยเทคนิคบ่มเพาะพลังไร้นาม แล้วดูดซับพลังปราณเข้าไปในร่างกายของเขา ซึ่งพลังปราณที่อัดแน่นอยู่ในผลึกพลังปราณระดับสูงสุดนั้นมันมีความหนาแน่นมาก และจะยังคงอยู่อีกนาน
หลงเฉินรู้ว่าเขาจะต้องยกระดับจิตยุทธก่อนเพื่อทะลวงผ่านระดับก่อจิตวิญญาณขั้น 2 ดังนั้นเขายังคงบ่มเพาะพลังต่อไป หลังจากผ่านไป 1 ชั่วโมง หลงเฉินก็ยังคงดูดซับพลังปราณจากผลึกพลังปราณไม่หยุด
หลังจากที่หลงเฉินบ่มเพาะพลังเป็นเวลา 6 ชั่วโมง เมล็ดจิตวิญญาณของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย มันเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่กี่นาทีการเติบโตของมันก็หยุดลง ทว่าการเปลี่ยนของมันไม่ได้หยุดแค่นั้น มันมีรอยแตกเล็กๆ เริ่มปรากฏอยู่บนผิวเมล็ดจิตวิญญาณของเขา รอยแตกพวกนั้นยังคงขยายออกอย่างช้าๆ จนกระทั่งมันครอบคลุมผิวเมล็ดจิตวิญญาณของเขาทั้งหมด
หลังจากที่รอยแตกพวกนั้นปกคลุมเมล็ดจิตวิญญาณของเขาอย่างสมบูรณ์ ก็เกิดแสงสว่างจ้าไปทั่ว และหลังจากที่ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ เมล็ดจิตวิญญาณของเขาก็หายไป และมีร่างจิตวิญญาณรูปร่างคล้ายมนุษย์ตัวเล็กๆปรากฏอยู่แทน หลงเฉินหยุดบ่มเพาะพลัง เขายิ้มออกมาและใช้จิตสำนึกของเขาส่องเข้าไปมองดูจิตยุทธของตัวเอง\
“ในที่สุด ข้าก็ทะลวงผ่านระดับก่อจิตวิญญาณขั้น 2 แต่ทำไมจิตยุทธของข้าถึงแตกต่างจากที่ข้าเคยได้ยินมา?” ในตอนแรกหลงเฉินมีความสุขที่ทะลวงผ่านสำเร็จ แต่เมื่อเห็นจิตยุทธของตัวเอง จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เขาจะประหลาดใจและสับสน
หลงเฉินรู้ดีว่าเมื่อจิตยุทธของจอมยุทธถือกำเนิดขึ้น มันจะสวมชุดฝึกฝนเหมือนกับจอมยุทธและไม่มีอะไรอื่น แต่จิตยุทธของหลงเฉินนั้นแตกต่าง มันสวมชุดเกราะสีทองอยู่บนร่างกาย และมีดาบสีแดงโลหิตอยู่ในมือของมัน ราวกับเทพเจ้าแห่งสงครามที่พร้อมจะต่อสู้กับทุกสรรพสิ่งบนโลก
หลงเฉินไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นนี้แม้แต่น้อย เรื่องดังกล่าวไม่เคยมีเขียนในหนังสือเล่มใดที่หลงเทียนเคยอ่านมาก่อน แต่หลงเฉินคิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะเทคนิคบ่มเพาะพลังของเขา และคิดว่ามันก็ไม่ได้เสียหายอะไรถ้าจิตยุทธของเขาจะมีเอกลักษณ์ เพราะมันอาจจะมีประโยชน์บางอย่าง
“นอกจากเกราะและดาบของมัน สิ่งที่น่าประหลาดใจมากกว่าคือหน้าตาของมัน ข้าคิดว่าน่าตาของมันน่าจะเหมือนเขาเพราะวิญญาณของเขาอยู่ในร่างของหลงเทียน แต่ทำไมมันยังดูเหมือนเขาอยู่?” หลงเฉินมองมันขณะพูดกับตัวเอง
หลงเฉินสับสบเกี่ยวกับรูปลักษณ์จิตยุทธของเขามาก เขาคิดว่าในเมื่อวิญญาณของเขาอยู่ในร่างของหลงเทียน ดังนั้นจิตยุทธของเขาก็ควรที่จะมีรูปลักษณ์เหมือนกับเขาไม่ใช่หลงเทียน แต่มันกลับดูเหมือนหลงเทียนมากกว่าเขา ทั้งยังมีดวงตาสีทองเป็นประกาย มีผมสีดำและใบหน้าที่หล่อเหลา
แต่จิตยุทธของหลงเฉินก็ยังดูแตกต่างออกไปเล็กน้อย เมื่อเทียบกับรูปลักษณ์ของหลงเฉิน และหลงเฉินรู้ดีว่าถ้าเขาทะลวงผ่านระดับต่อไป มันก็จะคล้ายคลึงมากขึ้น ดังนั้นหลงเฉินจึงตัดสินที่จะฝึกฝนบ่มเพาะพลังต่อและหยุดใช้จิตสำนึกสังเกตจิตยุทธของตัวเอง
ในตอนที่หลงเฉินดึงจิตสำนึกของเขากลับ เขาก็ไม่ทันสังเกตเห็นว่าดวงตาจิตยุทธของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง จากนัยน์ตาสีทองกลายเป็นสีแดงอย่างกะทัน ภายในเสี้ยววินาที ก่อนที่จะกลับมาเป็นปกติ
หลงเฉินมองไปที่ผลึกพลังปราณในมือของเขา และพบว่าความหนาแน่นของมันลดลงไปแค่ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เขายังใช้งานมันได้อีกนาน แต่ที่หลงเฉินไม่รู้คือ แม้แต่จอมยุทธระดับแก่นทอง ถ้าต้องการดูดซับพลังปราณ 20 เปอร์เซ็นต์ของผลึกพลังปราณระดับสูงสุด พวกเขาต้องใช้เวลาถึงสามวันเต็ม ในขณะที่หลงเฉินใช้เวลาแค่ 6 ชั่วโมงเท่านั้น
หลงเฉินไม่รู้เรื่องดังกล่าว แต่ความเร็วในการดูดซับพลังปราณนั้นอาจเกิดจากพรสวรรค์ของตัวเขาเอง และเทคนิคบ่มเพาะพลังไร้นามของเขาก็อาจมีส่วน แต่ส่วนใหญ่นั้นเป็นเพราะโลหิตสีม่วงของเขา แม้ว่าโลหิตของหลงเฉินจะเปลี่ยนแปลงกลายเป็นสีม่วงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็ยังเพียงพอที่จะเพิ่มความเร็วในการดูดซับพลังปราณของเขาเร็วขึ้นมาก
หลงเฉินไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย และเขายังฝึกฝนบ่มเพาะพลังต่อไป
------------------------------------------------
ในขณะที่หลงเฉินกำลังฝึกฝนบ่มเพาะพลังอยู่ด้านล่างหน้าผาสวรรค์และเริ่มแข็งแกร่งขึ้น ตระกูลหลงยังคงออกค้าหาตัวเขากับถูเย่ว และมีคนผู้หนึ่งดูเป็นกังวลกับเรื่องนี้มาก แต่ไม่ได้เป็นเรื่องของหลงเฉิน แต่เป็นเรื่องความปลอดภัยของตัวเขาเอง
ภายในตระกูลหลง ในห้องของเขา หลงชูกำลังเดินไปเดินมาด้วยสีหน้าตึงเครียด
‘นังโง่เขลาถูเย่ว ทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้าที่ไม่ควบคุมคนของตัวเองให้ดี ถ้าเจ้าไม่ได้ไร้ความสามารถขนาดนี้ ตอนนี้ข้าคงไม่เครียดขนาดนี้ ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีลูกน้องที่โง่บรมขนาดนั้น ถึงเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้หลงเหรินฟัง ถ้าสงสัยเรื่องอะไรก็ควรจะปิดปากเงียบเอาไว้จนกว่าการค้นหาของหลงเฉินจะจบ!!” หลงชูคิดด้วยความโกรธ ขณะเดินไปเดินมา
หลงชูหลบอยู่ในห้อง ขณะที่ทุกคนกำลังออกตามหาตัวหลงเฉิน ในตอนแรกเขาไม่ได้เป็นห่วงแม้แต่น้อยว่าจะมีใครเจอหลงเฉิน เพราะหลงเฉินได้ตกหน้าผาสวรรค์ตายไปแล้ว เขาไม่ได้กังวลจนกระทั่งหลงชูได้ยินมาว่าตระกูลหลงเริ่มออกตามหาถูเย่ว
เรื่องดังกล่าวทำให้หลงชูตกใจมาก และรีบไปหาพ่อของเขาทันที แต่ก่อนที่จะเข้าไปในห้อง หลงชูก็เปลี่ยนสีหน้าจากกังวลเป็นสงบ แล้วถามหลงฮัวเกี่ยวกับการค้นหาหลงเฉิน โดยทำทีเหมือนไม่ได้กังเวลเรื่องของหลงเฉิน
หลงฮัวบอกความคืบหน้าทั้งหมดแก่เขา ตั้งแต่ทหารยามคนหนึ่งที่สงสัยการกระทำของถูเย่วและไปแจ้งให้หลงเหรินทราบเกี่ยวกับการเปลี่ยนกะล่าช้าทางประตูทิศใต้เป็นเวลา 20 นาที
หลงฮัวยังบอกเขาอีกว่า เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องดีที่จะผลักความรับผิดชอบต่อการหายตัวไปของหลงเฉินให้กับถูเย่ว แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่านางจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร
หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด หลงชูก็ทำทีเป็นนิ่งเฉย และขอตัวกลับไปที่ห้องของตัวเอง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหลงชูก็เดินวนไปวนมาอยู่ในห้องด้วยความวิตกกังวลมากขึ้น
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น