บทที่ 18 ทะลวงผ่านระดับก่อจิตวิญญาณ
ทันทีที่เขาอ่านหนังสือเล่มนี้จบ มันทำให้หลงเฉินรู้สึกประหลาดใจมาก
เขาพบว่าข้อความที่เขียนไว้ด้านในนั้นเป็นเทคนิคการฝึกฝนบ่มเพาะพลัง ซึ่งหลงเฉินสามารถรับรู้ได้ว่ามันมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดา
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับเทคนิคบ่มเพาะพลังมากนัก นอกเหนือจากเนื้อหาที่ข้าเคยอ่านเจอในตระกูล แต่ข้ารู้สึกได้ว่าเทคนิคนี้มันน่าทึ่งมาก เมื่อเทียบกับเทคนิคบ่มเพาะพลังของตระกูลของเรา!” หลงเฉินพูดพึมพำกับตัวเอง
แม้ว่ามันจะไม่มีอะไรเขียนบนหน้าปก แต่หลงเฉินได้เห็นชายชุดคลุมแดงเขียนอะไรบางอย่างลงในหนังสือเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ดังนั้นเขาเลยเข้าใจว่าเทคนิคพวกนี้เป็นของชายชุดคลุมแดง
ถึงจะไม่มั่นใจว่าเทคนิคบ่มเพาะพลังนี้เป็นเทคนิคที่ชายชุดคลุมแดงฝึกฝนอยู่หรือไม่ และเขาได้ตัดสินใจเขียนมันลงไปบนหนังสือ หรือเป็นเทคนิคที่เขาพึ่งสร้างขึ้นเมื่อกี้ หากเป็นอย่างที่สอง นั่นหมายความว่าชายชุดคลุมแดงเป็นอัจฉริยะจากสวรรค์ไม่มีผิด ถึงสามารถสร้างเทคนิคบ่มเพาะพลังขึ้นมาเองได้
‘ชายคนนี้น่าทึ่งมาก ถึงขั้นสร้างเทคนิคบ่มเพาะพลังเช่นนี้ได้ เขาแค่นึกออกและเขียนมันลงไป หรือว่าเขาฝึกฝนเทคนิคบ่มเพาะพลังที่น่าทึ่งนี้อยู่แล้ว และตัดสินใจที่จะส่งต่อมันให้กับใครบางคน?’ หลงเฉินคิดอยู่ในใจ
“ไม่ว่ายังไงก็ตาม เรื่องที่เกิดเป็นแค่ความฝัน ข้าไม่ควรคิดมากให้หนักหัว แค่ลองฝึกฝนเทคนิคบ่มเพาะพลังดังกล่าวก็พอแล้ว และขอบคุณเขามากสำหรับโอกาสครั้งนี้ แต่ก็น่าเสียดายที่มันเป็นแค่ความฝัน ทำให้ข้าไม่สามารถขอบคุณเขาเป็นการส่วนตัวได้” หลงเฉินพูดกับตัวเอง
หลงเฉินพยายามทำความเข้าใจเทคนิคบ่มเพาะพลังดังกล่าว แม้ว่าเทคนิคบ่มเพาะพลังนี้จะคล้ายคลึงของเขา แต่หลงเฉินกลับรู้สึกว่ามันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หลงเฉินไม่รู้ว่าเทคนิคบ่มเพาะพลังนี้มีชื่อเรียกว่าอะไร เนื่องจากไม่มีชื่อเขียนเอาไว้ ดังนั้นเขาเลยตัดสินใจปล่อยเรื่องนี้ไว้ก่อน แล้วค่อยตั้งชื่อให้มันทีหลัง
‘เนื่องจากมันไม่มีชื่อ ถ้างั้นตอนนี้ข้าจะเรียกมันว่าเทคนิคบ่มเพาะพลังไร้นามแล้วกัน และค่อยตั้งชื่อให้มันทีหลัง’ หลงเฉินคิดขณะที่มองหนังสือ
หลังจากนั้นหลงเฉินก็ตัดสินใจที่จะทดสอบเทคนิคบ่มเพาะพลังนี้ เขานั่งลงและเริ่มโคจรพลังปราณตามวิธีการที่อธิบายไว้ในเทคนิคบ่มเพาะพลังไร้นามนี้
เมื่อเขาเริ่มฝึกฝน เขาก็พบว่าพลังปราณที่อยู่รอบๆ ในอากาศเริ่มหลั่งไหลเข้าไปในร่างกายของเขาด้วยความเร็วที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ถ้าให้เขาเดา เขาเดาว่ามันเร็วกว่าร้อยเท่าเมื่อเทียบกับการฝึกฝนบ่มเพาะพลังของเขาก่อนหน้านี้
---------------------------
ขณะที่หลงเฉินกำลังฝึกฝนบ่มเพาะพลังอยู่ในความฝันของเขา ในโลกแห่งความเป็นจริง ร่างกายของเขาก็กำลังดูดซับพลังปราณที่อยู่รอบๆอย่างตะกละตะกลามด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงโลหิตของเขาจากสีแดงเริ่มกลายเป็นสีม่วงมากขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังเล็กน้อยอยู่ดีและใช้เวลาอีกนานก่อนที่โลหิตในร่างกายของเขาจะกลายเป็นสีม่วงโดยสมบูรณ์
-------------------------
ในความฝันของเขา หลงเฉินยังคงฝึกฝนเทคนิคบ่มเพาะพลังไร้นาม ซึ่งเขาอยู่ในระดับหลอมกายาขั้นสูงสุดมาเป็นเวลานาน แต่ตอนนี้เขาต้องการใช้ประโยชน์จากความเร็วบ่มเพาะพลังที่น่าทึ่งนี้เพื่อทะลวงผ่านระดับก่อจิตวิญญาณในครั้งเดียว
เขาเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่การบ่มเพาะพลังและปฏิบัติตามขั้นตอนทุกอย่างที่เขียนเอาไว้ พลังปราณที่อยู่รอบๆยังคงหลั่งไหลเข้าไปในร่างกายของเขาไม่หยุด และเคลื่อนที่ไปตามจุดที่หลงเฉินกำหนดไว้ตามเทคนิคบ่มเพาะพลังไร้นาม
หลังจากบ่มเพาะพลังได้ระยะหนึ่ง เมล็ดจิตวิญญาณเล็กๆก็เริ่มก่อตัวขึ้นอยู่ในร่างกายของหลงเฉิน และมันเติบโตขึ้นและหนาแน่นขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่ากำแพงกั้นถูกทำลาย และเมล็ดจิตวิญญาณก็ก่อตัวขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ในตันเถียนของเขา ตอนนี้หลงเฉินรู้ได้ทันทีว่าเขาทะลวงผ่านแล้ว เขายิ้มออกมาและลืมตาขึ้น
“ในที่สุด ข้าก็ทะลวงผ่านระดับก่อจิตวิญญาณ ตอนนี้ข้ามีเมล็ดจิตวิญญาณแล้ว!” หลงเฉินยิ้มอย่างมีความสุข และพยายามใช้จิตสำนึกมองเข้าไปในตันเถียน ตอนนี้เขาสามารถใช้จิตสำนึกได้แล้ว หลังจากที่เขาทะลวงผ่านระดับก่อจิตวิญญาณ
ขณะที่จิตสำนึกของเขาเข้าสู่ตันเถียน หลงเฉินก็มองเห็นเมล็ดจิตวิญญาณเล็กๆลอยอยู่ข้างใน แม้ว่ามันจะเรียกว่าเมล็ดจิตวิญญาณ แต่มันก็ดูไม่เหมือนเมล็ดพืช แต่กลับดูเหมือนเปลือกไข่มากกว่า ซึ่งทำให้หลงเฉินค่อนข้างประหลาดใจเมื่อเห็นเช่นนั้น
เมล็ดจิตวิญญาณของเขาไม่เหมือนที่เขาเคยได้ยินมาก่อน พ่อของหลงเทียน หลงจุน ได้เล่าให้หลงเทียนฟังหลายครั้งเกี่ยวกับระดับก่อจิตวิญญาณและการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
ปู่ของหลงเทียน หลงเหรินเองก็บอกกับหลงเทียนในทำนองเดียวกัน ในตอนที่หลงเทียนทะลวงผ่านระดับหลอมกายาขั้นสูงสุดก่อนที่เขาจะถูกลอบสังหาร นอกจากนี้หลงเทียนได้อ่านตำรามามากมาย จากความทรงจำของหลงเทียน ทำให้หลงเฉินรู้เรื่องเกี่ยวกับระดับก่อจิตวิญญาณอยู่ไม่น้อย นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาตกใจเมื่อเห็นเมล็ดจิตวิญญาณของตัวเอง
“ทำไม... ทำไมถึงเป็นแบบนี้...?” หลงเฉินพูดพึมพัมกับตัวเองด้วยความตกใจ
หลงเฉินรู้ว่าเมล็ดจิตวิญญาณนั้นโดยปกติแล้วจะมีสีขาว แต่เมล็ดจิตวิญญาณของหลงเฉินนั้นแตกต่างมาก
เมล็ดจิตวิญญาณของเขานั้นมีสีทอง ซึ่งทำให้เขาประหลาดใจมาก นอกจากนี้เขายังพบว่ามีลวดลายสีม่วงอยู่บนเมล็ดจิตวิญญาณสีทองของเขา ซึ่งเขาไม่อาจทำความเข้าใจได้ว่าทำไมถึงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
“ทำไมมันถึงเป็นสีทอง? ปกติแล้วมันควรจะเป็นสีขาว! หรือเป็นเพราะเทคนิคบ่มเพาะพลังนี้? แล้วลวดลายสีม่วงนั่นคืออะไร?” หลงเฉินพูดกับตัวเอง แต่ก็หาคำตอบของคำถามตัวเองไม่ได้
‘ร่างกายข้าเองก็ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร อันที่จริงกลับรู้สึกดีกว่าแต่ก่อนด้วยซ้ำ ยังไงก็ตามมันเป็นความจริงที่ข้าทะลวงผ่านระดับก่อจิตวิญญาณแล้ว แม้ว่าเมล็ดจิตวิญญาณของข้าจะแตกต่างจากปกติ แต่ก็ไม่เป็นไร’ หลงเฉินคิด ขณะจ้องมองไปที่เมล็ดจิตวิญญาณของเขาอย่างมีความสุข
“แต่ประเด็นหลักคือในเมื่อข้าอยู่ในความฝัน บางทีในโลกแห่งความเป็นจริงข้าอาจจะยังไม่ทะลวงผ่านระดับก่อจิตวิญญาณ แต่ตราบใดที่ข้าจดจำเทคนิคบ่มเพาะพลังไร้นามนี้ได้ ในโลกแห่งความเป็นจริงข้าก็สามารถทะลวงผ่านระดับได้เช่นกัน” หลงเฉินพูดกับตัวเองด้วยความุ่งมั่น
“ข้าควรสำรวจห้องนี้ต่ออีกหน่อย บางทีอาจเจอเทคนิคอื่นหรือหนังสือเล่มอื่น ถึงแม้ข้าจะรู้สึกแย่ก็ตามที่ไม่ได้ขออนุญาตชายชุดคลุมแดงก่อน แต่มันเป็นเพียงแค่ความฝัน มันคงไม่เป็นอะไร” หลงเฉินพูดกับตัวเองและรู้สึกผิดเล็กน้อย
หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง หลงเฉินก็ตัดสินใจเดินสำรวจรอบห้องแต่เขาก็ไม่เจออะไร นอกจากลิ้นชักที่ถูกล็อคเอาไว้ ดังนั้นเขาเลยไม่สามารถเปิดดูข้างในได้ แม้จะพยายามเปิดมันก็ตาม แต่ไม่ว่าเขาจะพยายมเปิดแค่ไหนมันก็เปิดไม่ออก และเขาก็ตัดสินใจยอมแพ้ที่จะเปิดมัน
แต่ขณะที่หลงเฉินจะตัดสินใจยอมแพ้อย่างสมบูรณ์ สายตาของเขาก็มองไปที่ถังขยะตรงมุมห้อง และเห็นขอบหนังสือที่โผล่ออกมา หลงเฉินรีบวิ่งไปหามันทันที และก็พบว่ามันเป็นหนังสือจริงๆ แต่เขาก็สงสัยว่าทำไมหนังสือเล่มนี้ถึงถูกทิ้งอยู่ในถังขยะ
เขาหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา แต่ครั้งนี้มีตัวอักษรเขียนอยู่บนปก