ตอนที่ 41 เสี่ยวอันจื่อบุกห้องบรรทม
ตอนที่ 41 เสี่ยวอันจื่อบุกห้องบรรทม
เขายิ้มสดใสให้นาง “แฮะ แฮะ ศิษย์พี่ใหญ่ เมื่อวานนี้ข้าก็ฝึกไม่ใช่หรือ?”
“เจ้านี่นะ!” หญิงชุดขาวมองฉินอวิ๋นด้วยความเข้มงวด
“อ่า ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าได้ยินว่าวันนี้ศิษย์พี่รองกลับมาแล้ว ข้าไปหานางก่อนนะ!”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี ฉินอวิ๋นจึงหาข้ออ้างและวิ่งหนีไปด้วยความไวแสง
เขาวิ่งหนีไปไกลในชั่วพริบตา เหลือเพียงหญิงชุดขาวที่ถูกทิ้งให้มองตามแผ่นหลังศิษย์น้องเล็กพลางถอนหายใจ
ศิษย์น้องเล็กคนนี้เก่งทุกเรื่อง แต่เขาเกียจคร้านเกินไป แม้ว่าเขาสามารถทะลวงถึงขอบเขตก่อกำเนิดตอนอายุยี่สิบปี ซึ่งมันอาจจะดีหากเป็นในนิกายขนาดเล็ก แต่เมื่อพิจารณาถึงพรสวรรค์ของศิษย์น้องเล็กแล้วไม่สมควรหยุดอยู่แค่นี้
ที่สำคัญคือเขาไม่ชอบฝึกตน เขามักจะหลับจนตะวันโด่งฟ้าและเข้านอนก่อนพระจันทร์ขึ้นด้วยซ้ำ
ในอดีต พวกนางคิดว่าเสี่ยวอวิ๋นป่วยเป็นโรคบางประเภทที่ทำให้ง่วงนอนตลอดเวลา จึงว่าจ้างคนจากนิกายหมอเทวดามารักษาฉินอวิ๋น แต่ต่อมาพบว่าเขาแค่ขี้เกียจ
แต่ถ้าศิษย์น้องเล็กไม่อยากฝึกตนจริงๆ ก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรพวกศิษย์พี่เช่นนางก็เพียงพอที่จะปกป้องเขาไปตลอดชีวิต
“เฮอะ เฮอะ ไม่มีศิษย์พี่หญิงคนใดรู้ว่าความจริงข้าอยู่ในระดับจื่อฝู่ตั้งนานแล้ว!”
ระหว่างเดินไปบนถนน ฉินอวิ๋นพูดด้วยความรู้สึกภูมิใจ
ตราบใดที่เขายังมีความจำเป็นเลิศ เขามีเคล็ดวิชา ‘คัมภีร์มหาสุบิน’ อยู่ในใจเสมอ ซึ่งสามารถฝึกตนในความฝันได้และยังมีวิชาลึกลับอีกมากมาย
ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เขาได้อาศัย ‘คัมภีร์มหาสุบิน’ เพื่อฝึกฝนจนถึงระดับจื่อฝู่แล้ว
แต่ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แม้คนอื่นจะตำหนิว่าเขาไม่ยอมก้าวหน้า แต่เขายังเลือกที่จะปิดบังพลังวิญญาณแท้จริง แม้แต่พวกศิษย์พี่ที่เขาสนิทด้วยที่สุดยังไม่ทราบเรื่องนี้
กอปรกับเอกลักษณ์ของ ‘คัมภีร์มหาสุบิน’ ทำให้แม้แต่อาจารย์ยังไม่สังเกตเห็นความผิดปกติเกี่ยวกับเขาเลย
“แต่ศิษย์พี่รองออกไปข้างนอกคราวนี้รู้สึกแปลกไปนะ เมื่อก่อนนางมักจะนำของขวัญมาให้ข้าเองทุกครั้งที่กลับมา” ฉินอวิ๋นพึมพำและเดินไปที่ลานบ้านของศิษย์พี่รองบนยอดเขาเทียนอิน
“ศิษย์พี่รองอยู่หรือเปล่า?” เขายืนอยู่นอกลานบ้านพลางตะโกนถาม
“อ่า! รอก่อน...เสี่ยวอวิ๋นมาแล้วหรือ ข้าอยู่ แต่ข้ากำลังทำเรื่องสำคัญอยู่” เสียงตื่นตระหนกของศิษย์พี่รองฉู่อินดังจากข้างใน
ฉินอวิ๋นสับสนและถามว่า “ศิษย์พี่รอง ท่านปลอดภัยหรือไม่?”
“ไม่ ไม่เป็นไร เจ้ากลับไปก่อนเถอะ” เสียงของฉู่อินค่อยๆ กลับมาสงบอีกครั้ง
ฉินอวิ๋นยกมือเกาหัว ทั้งสับสนและอยากรู้อยากเห็น
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะกลับไปก่อนนะศิษย์พี่รอง ถ้าว่างแล้วจะมาหาท่านใหม่”
ในบ้าน ฉู่อินมีใบหน้าแดงก่ำ นอกจากนี้ยังมีกางเกงชั้นในของผู้ชายตัวหนึ่งอยู่ในมือด้วย
นางจำไม่ได้ว่ากางเกงชั้นในตัวนี้มาอยู่ในแหวนจัดเก็บของนางตั้งแต่เมื่อใด บางทีอาจจะใส่ไว้ตอนที่นางอุ่นเตียงให้ซูอันและช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า
ทันทีที่นางหยิบกางเกงชั้นในตัวนี้ขึ้นมา นางก็ได้กลิ่นที่คุ้นเคยจากมัน ทำให้นางคิดถึงคนเลวคนนั้นอีกครั้งและไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้
ถ้าเสี่ยวอวิ๋นหรือพวกศิษย์น้องหญิงคนอื่นๆ เห็นนางถือกางเกงชั้นในของผู้ชายแบบนี้ เกรงว่านางจะอธิบายได้ยาก
……
ที่จวนโหว ซูอัน ‘พักผ่อน’ เป็นเวลาสองวันสองคืนและนอนหลับสบายมาก จากนั้นเขาค่อยเดินทางเข้าวังเพื่อทูลรายงาน
เพราะครั้งนี้เขาเดินทางในนามผู้ตรวจการเหตุอุทกภัยในตงโจว ดังนั้นต้องมีการรายงานผลลัพธ์
บัดนี้เขามาหยุดอยู่หน้าตำหนักไท่หยวน
“ฝ่าบาทตรัสว่ากำลังฝึกตนอยู่และไม่ประสงค์พบเจ้า” หงเสายืนขวางซูอันไว้ด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวอันจื่อ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ แล้วค่อยกลับมาอีกครั้งหลังจากฝ่าบาทฝึกตนเสร็จ” นางพูดพลางขยิบตาให้ซูอัน
ซูอันจึงเข้าใจทันที
เขาก้าวเพียงครั้งเดียวผ่านหงเสาและรีบเข้าไปในตำหนักไท่หยวน “ขอโทษจริงๆ พี่หงเสา”
หงเสาก็ให้ความร่วมมือ นางร้อง ‘ไอหยา’ เหมือนถูกผลักออกไป ดวงตาของนางมีแต่ความเจ้าเล่ห์
“ฝ่าบาท ไม่ใช่ว่าหม่อมฉันไม่หยุดเขา แต่เสี่ยวอันจื่อยืนกรานจะเข้ามาให้ได้ หม่อมฉันไม่มีทางสู้เพคะ”
ประตูห้องบรรทมถูกผลักให้เปิดออกและซูอันเดินเข้าไปทันทีโดยไม่ลืมปิดประตูตามหลัง
“ซูอัน เจ้ามาได้อย่างไร!”
จักรพรรดินีตวาดด้วยความโกรธและจ้องมองซูอันที่ประตู
ตอนนี้เสี่ยวอันจื่อกล้าบุกเข้ามาในห้องนอนของนางโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าในอนาคตเขากล้าทำสิ่งใด!
เกรงว่าต้องยกเตียงหงส์ให้เขากระมัง
ซูรั่วซียังขุ่นเคืองใจจึงทำให้เกิดช่วงเวลาแห่งความคิดเหลวไหล
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท กระหม่อมคิดถึงพระองค์เหลือเกิน!”
ซูอันเดินเข่าเข้ามาและหยุดอยู่ข้างเตียงหงส์ เขากอดขาเรียวเล็กของจักรพรรดินีที่ห้อยอยู่ข้างเตียงพลางเอ่ย
“พี่รั่วซี ท่านไม่รู้หรอกว่าการไม่ได้เห็นหน้าท่านนั้นยากสำหรับข้าเพียงใด นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าอยู่ห่างจากท่านมาก...ช่วงนี้ข้ากินไม่ได้นอนไม่หลับ เวลาเดินยังเผลอโดนโคลนกระเด็นใส่เลย”
คำพูดที่น่ารังเกียจและน่าขยะแขยงทุกชนิดถูกพ่นออกจากปากของซูอัน ซึ่งแม้แต่ตัวเองยังขนลุก
เลี่ยนมาก!
ใครก็ตามที่คิดค้นคำเหล่านี้ถือเป็นอัจฉริยะจริงๆ
“เดิมทีเมื่อวันก่อนข้าอยากมาหาท่าน แต่ข้ากลัวว่าท่านจะยุ่งจึงไม่อยากรบกวน หลังจากอดทนมาสองวัน ในที่สุดข้าก็รวบรวมความกล้าที่จะเข้าวัง คงเพราะข้าอยู่ห่างเมืองหลวงไปนานทำให้ขี้ขลาดขึ้น”
ซูอันพูดโดยฝังศีรษะไว้กับขาเรียวขาวเหมือนหยก มีเสียงสะอื้นจากเขาด้วย
หอมมาก...เหลวไหล ต้องเสียใจสิ!
ทันทีที่เขาเห็นจักรพรรดินี เขาก็รู้แล้วว่าตัวเองไม่ถูกลงโทษแน่
หลังจากที่ซูอันพ่นคำหวานเลี่ยน จักรพรรดินีก็รู้สึกอึดอัดใจไปหมด เพราะนางไม่เคยได้ยินคำพูดเช่นนี้มาก่อน ทำให้เพิกเฉยพิรุธจากอีกฝ่ายเช่นกัน
มีความเขินอายเพราะถูกออดอ้อนและลืมไปเลยว่าเหตุใดจึงโกรธเขา
แต่ฝีปากของเสี่ยวอันจื่อเหลาะแหละมากขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นเรื่องจริง
“เอาล่ะ รีบลุกขึ้นเถอะ” นางแสร้งทำเป็นสงบ
“ไม่ลุก ไม่ลุก~” ซูอันกอดขาหยกคู่นั้นไม่ยอมปล่อย “ไม่ได้พบฝ่าบาทนานเกินไปแล้ว กระหม่อมอยากจะใกล้ชิดฝ่าบาทมากขึ้น”
“เจ้า...เฮ้อ ช่างเถอะ ตามใจเจ้าแล้วกัน” จักรพรรดินียอมแพ้ต่อความดื้อรั้น
เมื่อเห็นว่าซูอันไม่ยอมปล่อยมือและนางไม่อาจใช้กำลังกับเขาเพราะกลัวทำเขาเจ็บ ถ้าน้องชายอยากทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจก็ช่างเถอะ
และการได้ใกล้ชิดกับเสี่ยวอันจื่อไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถึงอย่างไรก็เติบโตมาด้วยกัน แค่เอ็นดูน้องชายของตนและนางไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลย
“ฝ่าบาทคงยังไม่ทราบว่ามีมังกรอสูรอยู่ในตงโจว...”
ซูอันเริ่มรายงานภารกิจ เขาบอกเล่าถึงประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นภายใต้การคุ้มครองของผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลาย แต่ซูอันกล่าวเกี่ยวกับผู้หญิงโดยย่อเท่านั้น
แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะไม่สนใจเรื่องนี้
เพราะความสนใจของซูอันมุ่งไปยังสิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนของตน ส่วนจักรพรรดินี...
“ฝ่าบาท!”
ประตูห้องถูกผลักเปิดออกโดยกะทันหัน
หลังจากทราบข่าวว่าเสี่ยวอันจื่อบุกเข้าห้องบรรทมของฝ่าบาท ชิงหลิงจึงรีบวิ่งมาทันที แต่ไม่รู้ว่านางกังวลถึงใครกันแน่
จากนั้น
นางมองทั้งสองคนขึ้นๆ ลงๆ และทั้งสองคนก็เงยหน้ามองนางขึ้นๆ ลงๆ...
ชิงหลิงเงียบไปสักพัก จากนั้นถอยกลับและปิดประตูให้เงียบๆ
ขอโทษที่รบกวน
“เฮอะ เฮอะ เสี่ยวชิงหลิง ข้าบอกแล้วว่าอย่าเข้าไป เฮ้ เฮ้ เฮ้ ถึงขั้นต้องชักกระบี่ออกมาเลยหรือ!”