บทที่ 74 นิกายเติบโตขึ้นทุกวัน
เริ่มจากค่าชื่อเสียงก่อน ก่อนที่ลู่ผิงจะปลีกวิเวก เขามีค่าชื่อเสียงคงเหลือ 64 คะแนน
หลังจากที่ทำภารกิจนอกสำนักสำเร็จสองอย่าง บวกกับรางวัล 12 คะแนนจากการปิดตัวฝึกตน ตอนนี้ค่าชื่อเสียงของเขาทะยานขึ้นถึง 643 คะแนน ถือว่าเพิ่มขึ้นมากทีเดียว
สำหรับค่าชื่อเสียง ลู่ผิงค่อนข้างพอใจ เขาจะใช้มันเพื่อปรับรายการร้านค้า ส่งเสริมนิกายในภายหลัง
ต่อมาคือการเปลี่ยนแปลงประการที่สอง
ในช่องชื่อเสียงนิกาย มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
ลู่ผิงจำได้แม่นยำว่า ก่อนปลีกวิเวกนั้น ชื่อเสียงนิกายแสดงไว้ตลอดว่า [ชื่อเสียงลดลงอย่างมาก ความเป็นฝ่ายธรรมะหรืออธรรมยังไม่ชัดเจน]
ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็น [ชื่อเสียงค่อยๆฟื้นคืน ความเป็นฝ่ายธรรมะหรืออธรรมยังไม่ชัดเจน]
ดูจากนี้ อาจเป็นเพราะว่าพวกเขาจัดการภารกิจกำจัดอสูรพายุทราย รวมถึงตามล้างพวกผู้ฝึกมารที่เฉาอินเจินและอำเภอกว้างเต๋อก่อนหน้านี้ ทำให้นิกายชิงซานได้รับความชื่นชมจากผู้คนในสามแห่งนี้ไม่น้อย
นี่ทำให้ชื่อเสียงของนิกายชิงซานแพร่หลายไป ส่งผลให้ได้รับชื่อเสียงมาบ้าง
สำหรับชื่อเสียงนิกายนี้ ลู่ผิงตัดสินใจว่าต่อไปต้องให้ความสำคัญ ไม่อาจมองข้ามได้
ส่วนคำว่าความเป็นฝ่ายธรรมะหรืออธรรมยังไม่ชัดเจน คำบรรยายนี้สำหรับนิกายชิงซานในตอนนี้ เพียงแค่ตามล้างผู้ฝึกมารไปสี่คน ยังไม่พบว่าศิษย์ในนิกายก่อเรื่องชั่วในโลก ระบบจึงยังไม่สามารถประเมินนิกายชิงซานในแง่ของความถูกผิดได้
ไม่สามารถระบุได้ว่านิกายชิงซานเป็นนิกายสายธรรมะ หรือสายอธรรม
แน่นอน ลู่ผิงไม่ต้องการปล่อยให้นิกายชิงซานพัฒนาไปในทิศทางของสายมาร
ต่อมาคือทรัพยากรนิกาย เพิ่มไผ่หยกเขียวมาอีกหนึ่งอย่าง จุดนี้ไม่มีอะไรต้องอธิบายละเอียดนัก
สุดท้าย สิ่งที่ลู่ผิงสนใจที่สุดคือรายได้ของนิกาย
ก่อนปิดตัวฝึกตน เศรษฐกิจของนิกายอยู่ในภาวะขาดดุลตลอด
ครั้งสุดท้ายที่ลู่ผิงตรวจดูข้อมูลรายได้สุทธิของนิกาย รายได้สุทธิอยู่ที่ติดลบ 450 หินวิญญาณต่อปี
ถึงตัวเลขขาดดุลนี้จะเปลี่ยนไปจากเมื่อสองปีที่แล้ว ฟื้นตัวขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังคงหลุดพ้นภาวะขาดดุลไม่ได้
แต่ตอนนี้มองดู การเปลี่ยนแปลงนั้นใหญ่หลวงมาก
ไม่เพียงหลุดพ้นจากภาวะขาดดุลทางเศรษฐกิจ รายได้ต่อปีคาดว่าจะอยู่ที่ 2,990 หินวิญญาณต่อปี และรายได้สุทธิสามารถถึง 2,120 หินวิญญาณต่อปี
และตัวเลขรายได้ต่อปีนี้ ไม่ได้รวมรายได้จากต้นท้อวิเศษ ปลาวิญญาณหางเขียว และไผ่หยกเขียวสามรายการนี้เข้าไป
สำหรับสามรายการนี้ ในอนาคตจะใช้เพื่อขาย หรือใช้เองภายในนิกาย ต้องขึ้นอยู่กับเจตนาของนิกาย
หากไม่นำไปขายภายนอก แน่นอนว่าก็ไม่สามารถทำรายได้ให้แก่นิกายได้ ก็ย่อมไม่สามารถใส่ไว้ในรายได้ของนิกาย
สำหรับค่าใช้จ่าย ตอนนี้นิกายมีค่าใช้จ่าย 870 หินวิญญาณต่อปี น้อยกว่าปีที่แล้วสามร้อยกว่าหินวิญญาณ
ในค่าใช้จ่ายนี้ ไม่ได้รวมค่าเลี้ยงดูศิษย์ในนิกาย เนื่องจากหยุดจ่ายชั่วคราวแล้ว
หินวิญญาณที่นิกายชิงซานใช้จ่ายในปีนี้ ใช้ไปในการดำรงการทำงานของนิกาย จัดหาเมล็ดพันธุ์สมุนไพรวิญญาณ ปลูกไร่วิญญาณ สวนสมุนไพร และลงทุนในเลี้ยงปลาวิญญาณหางเขียวและปลูกไผ่หยกเขียว
ค่าใช้จ่ายเหล่านี้หลีกเลี่ยงไม่ได้
ก็เพราะปีที่แล้วลู่เสวี่ยเหลียนพยายามเลี้ยงปลาวิญญาณหางเขียว นิกายจึงลงทุนหินวิญญาณในทรัพยากรรายการนี้ค่อนข้างมาก เลยเพิ่มค่าใช้จ่ายไปมากหน่อย
หลังจากที่หาวิธีเลี้ยงดูมากว่าปี ลู่เสวี่ยเหลียนก็เรียนรู้วิธีเลี้ยงดูทีละน้อย ทำให้ค่าใช้จ่ายหินวิญญาณลดน้อยลงเรื่อยๆ
นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้ค่าใช้จ่ายของนิกายลดลง
พอค่าใช้จ่ายของนิกายลดลง หินวิญญาณสะสมของนิกายก็ถึง 2790 ก้อน
เทียบกับตอนที่พึ่งตื่น ท่าทางขัดสนของนิกายชิงซาน ปัจจุบันนิกายดีขึ้นมากจริงๆ
นิกายยิ่งดีขึ้นทุกที และจะมีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ
ครั้งนี้ที่ปลีกวิเวก ได้มาทั้งค่าชื่อเสียง เศรษฐกิจนิกายก็เติบโตฉับพลัน
ลู่ผิงดีใจยินดีอยู่ในใจ
หลังเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของนิกายแล้ว ลู่ผิงก็ใช้เวลาอีกพักหนึ่ง ออกจากถ้ำหลักแล้วเดินเที่ยวรอบภูเขาชิงเหลียน
เขาไปดูไผ่หยกเขียวที่ย้ายปลูกกลับมา
ไปดูไร่วิญญาณและสวนสมุนไพรที่ได้ผลผลิตคราวนี้ด้วย
เดินรอบหนึ่ง ใช้เวลาเกินหนึ่งชั่วยามขึ้นไป ลู่ผิงจึงได้เดินเที่ยวรอบภูเขาชิงเหลียนครบ
พร้อมกันนี้ เขาพบว่าตอนนี้บนภูเขาชิงเหลียนแทบจะไม่เห็นเงาศิษย์ในนิกายเลย
ลู่ฉางเฟิงและลู่จือเวยไม่รู้ไปไหน ศิษย์ในนิกายคนอื่นๆก็ไม่รู้แว๊บไปหาอะไรกันที่ไหน
ตลอดทางนี้ ลู่ผิงเห็นแต่ลู่หยวนซาน เช่อชิงชิง หลี่เหวยเซียว หลี่เหวยเมี่ยว แค่ไม่กี่คน และศิษย์อีกไม่กี่คนที่เขาเรียกชื่อไม่ออก
พวกศิษย์ในนิกายหายไปไหนกันหมดนะ?
แบบนี้เรียกว่าเงียบสงบจริงๆ
ขณะลอยอยู่ด้านนอกถ้ำหลัก ลู่ผิงใช้ความคิดพักหนึ่ง ตัดสินใจจะเรียกลู่หยวนซานมาพบก่อน สอบถามสถานการณ์ของศิษย์ในนิกายหน่อย ไปไหนกันหมด
ก็จะได้เข้าใจการพัฒนาของนิกายไปในตัว แล้วถึงเข้าระบบปรับรายการร้านค้า แลก เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเติบโตของนิกายต่อไป
มีค่าชื่อเสียงอยู่ในมือกว่าหกร้อยคะแนน ไม่ใช้หน่อย ลู่ผิงรู้สึกไม่คุ้มกับการปลีกวิเวกครั้งนี้เลย
"หยวนซาน พ่อออกจากการปลีกวิเวกแล้ว"
"มาที่ถ้ำหลักหลังเขาพบพ่อ!"
เสียงติดต่อดังขึ้น ก็ดังก้องอยู่ในความคิดของลู่หยวนซาน
เจ้านิกายชิงซานรุ่นที่สองผู้นี้ ได้ยินเสียงเรียกของพ่อ ในใจก็ดีใจยิ่งนัก
ในทันใดก็ไม่สนใจเรื่องในมืออีกต่อไป ใช้ [วิชาเหยียบเมฆ] บินตรงไปยังถ้ำหลักบนยอดเขาชิงเหลียน
รออย่างใจร้อนอยู่นอกถ้ำหลักในพื้นที่หวงห้าม พอมาถึง ลู่หยวนซานจึงกราบลงคำนับอย่างตื่นเต้น
"ยินดีต้อนรับพ่อออกจากการปลีกวิเวก!"
"อืม"
ลู่ผิงพยักหน้า พูดคุยกับลู่หยวนซานอีกสองสามประโยค แล้วก็เริ่มสอบถามสถานการณ์การพัฒนาของนิกายในช่วงปีที่ผ่านมา
ลู่หยวนซานรู้อะไรก็บอกทั้งหมด รายงานสถานการณ์ทั่วไปของนิกายให้ลู่ผิงฟังอย่างละเอียดครบถ้วน
แค่พูดถึงสาเหตุที่นิกายเงียบสงบอย่างมากตอนนี้ ก็เป็นเพราะช่วงนี้ ไร่วิญญาณ สวนสมุนไพร ฯลฯ ได้ผลผลิตมาก
เพื่ออารักขาผลผลิตกลุ่มนี้ไปขายที่ตลาดชิงเหอ จึงส่งทั้งลู่ฉางเฟิงและลู่จือเวยออกไป พร้อมกับศิษย์อีกยี่สิบคนร่วมทาง
ได้ยินแบบนี้ ลู่ผิงก็เข้าใจแล้ว ไม่แปลกใจที่ในนิกายจะเงียบสงัดขนาดนี้
นอกจากนี้ สถานการณ์ส่วนตัวบางอย่างของศิษย์ในนิกาย ลู่หยวนซานก็รายงานให้อีกรอบ
เทียบกับข้อมูลเย็นชาของระบบแล้ว ได้ฟังสถานการณ์การเติบโตเศรษฐกิจ หินวิญญาณเพิ่มขึ้นจากปากลู่หยวนซานเอง ลู่ผิงก็เข้าใจสถานการณ์ของนิกายได้ละเอียดยิ่งขึ้น
เขาก็ชอบการพูดคุยไปเรื่อยเปื่อยแบบนี้เหมือนกัน
หลังจากนั้น พูดถึงศิษย์ในนิกาย
ยกตัวอย่างเช่อชิงชิง นี่เป็นคนที่ลู่ผิงค่อนข้างสนใจ
หลังเรียนรู้มาเป็นเวลากว่าปี บวกกับการเสริมพลังของ [ขยันหมั่นเรียน] เช่อชิงชิงก็จับความรู้ทฤษฏีการหลอมยาได้เมื่อสองเดือนก่อน พร้อมจะลองหลอมยาแล้ว
หลี่เหวยเซียวและหลี่เหวยเมี่ยวก็วางรากฐานการฝึกตนได้แล้ว พร้อมแล้วที่จะเดินบนเส้นทางการฝึกตน
ในจำนวนนี้ เพราะหลี่เหวยเมี่ยวมีรากวิญญาณสวรรค์ ความเร็วในการฝึกฝนเหนือกว่าหลี่เหวยเซียวมาก ฝึกถึงขั้นฝึกปราณชั้น 1 แล้ว
เด็กสาวตัวน้อยนี่มีศักยภาพล้ำลึกยิ่งนัก ทำให้ลู่ผิงอยากรวบรวมคัมภีร์วิชาธาตุน้ำแข็งมาให้นางฝึกฝนเสียให้จงได้
อีกหนึ่งคน คือลู่ฉางเฟิง บุตรชายคนที่สองของเขา
ปีนี้ พลังฝึกตนของลู่ฉางเฟิงถึงขั้นฝึกปราณชั้น 9 แล้ว อีกไม่นานก็จะสามารถทะลุด่าน
พลังฝึกตนที่เขาโตขึ้นได้ แน่นอนว่าน้อยไปไม่ได้ที่ลู่ผิงใช้ [เร่งการฝึกฝน] และ [ถ่ายทอดวิชาในนิกาย] ช่วย
สำหรับศิษย์คนอื่นๆ บางส่วนที่อยู่ในขั้นฝึกปราณต้น พลังฝึกตนก็ขยับขึ้นไปอีกหนึ่งชั้นทั้งหมด
ส่วนจางเนี่ยนชวน ศิษย์ในขั้นฝึกปราณปลายพวกนี้ การเพิ่มขึ้นของพลังฝึกตนไม่มาก แต่ก็ไม่ถือว่าไม่เพิ่มเลย แค่ปรับเปลี่ยนเล็กน้อย
นอกจากนี้ ภารกิจนอกสำนักสองอย่างคืออสูรพายุทรายและไผ่หยกเขียว ลู่หยวนซานก็รายงานผลคร่าวๆ ให้ฟัง
สิ่งที่ควรพูด สิ่งที่ควรให้ลู่ผิงรู้ ลู่หยวนซานล้วนแต่บอกกล่าวทั้งหมด ระหว่างทางนึกอะไรขึ้นมาได้ก็รีบเสริมเติมไม่ขาด
การปรึกษาหารือระหว่างพ่อลูกครั้งนี้ ก็กินเวลาไปกว่าครึ่งวันแล้ว
เสียงคำรามยาวของอสูรเหยียบเมฆที่ตีนเขาชิงเหลียนดังขึ้น คณะของลู่ฉางเฟิงมาถึงนิกายแล้ว การสนทนาครั้งนี้ก็ยุติลงเท่านั้น
ผ่านการพูดคุยครั้งนี้ ลู่ผิงเข้าใจการพัฒนาของนิกายอย่างแจ่มแจ้งแล้ว
หลังเปิดเขตแดนคุ้มกันนิกายรับคณะของลู่ฉางเฟิงมาในนิกายชิงซานแล้ว ลู่หยวนซานก็กลับมาที่หน้าถ้ำหลักอีกครั้ง และยกเรื่องที่ตั้งใจจะขอคำชี้แนะมาตลอดขึ้นมา
"ท่านพ่อ ในระหว่างที่ซ่งหมิงฮุ่ยและอีกไม่กี่คนกำจัดรังอสูรพายุทราย พวกเขาพบแร่ธาตุสีม่วงทองที่ไม่รู้จักมาด้วยหนึ่งก้อน"
"ก้อนแร่นี้ส่งให้นิกายแล้ว ตอนนี้เก็บไว้ในมือลูกเอง แต่เพราะลูกกับน้องสาวยังมีประสบการณ์น้อย ไม่สามารถจำแนกได้ว่าสิ่งนี้คืออะไร ไม่ทราบท่านพ่อจะจำได้หรือไม่?"
พร้อมกับพูด ลู่หยวนซานก็เปิดถุงเก็บของ นำแร่ธาตุก้อนหนึ่งขนาดเท่ากำปั้นคู่ สีม่วงทองออกมาวางไว้นอกถ้ำหลัก