บทที่ 72 ช่วงก่อนถอนวิเวก รายได้นิกายพุ่งพรวด
เมื่อลู่หยวนซานมาถึงสวนยา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นต้นหญ้ารากจันทร์ที่สุกงอม ในใจปลาบปลื้มยินดียิ่งนัก
"อาจารย์ใหญ่ ดูที่นี่เจ้าค่ะ"
เช่อชิงชิงชี้ไปที่ยอดของต้นหญ้ารากจันทร์ อธิบายอย่างละเอียด
"เมื่อยอดของต้นหญ้ารากจันทร์ออกหน่อสีเหลืองรูปพระจันทร์เสี้ยว ก็หมายความว่าต้นหญ้ารากจันทร์สุกงอมพร้อมเก็บเกี่ยวได้แล้ว"
"ต้นหญ้ารากจันทร์เหล่านี้เติบโตจนถึงความสูงสองนิ้วแล้ว ถึงขีดจำกัดการเจริญเติบโตแล้ว สองสามวันนี้พวกเราต้องรีบเก็บมันให้หมด ไม่อย่างนั้นถ้าพลาดช่วงเวลาเก็บเกี่ยวที่ดีที่สุดไป รากจันทร์จะเหี่ยวแห้งหล่นลงดินอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงตอนนั้นก็สูญเสียสรรพคุณไปแล้ว"
การเก็บเกี่ยวต้นหญ้ารากจันทร์คล้ายกับข้าววิญญาณ ต้องรีบเก็บให้ทันภายในสองสามวันหลังจากสุกงอม ห้ามชักช้า
ลู่หยวนซานทราบสถานการณ์แล้ว จะกล้าชักช้าได้อย่างไร
ขั้นแรกไม่ต้องสนใจว่าต้นหญ้ารากจันทร์ปลูกแค่ร้อยต้น และปริมาณรากจันทร์ที่ได้ก็อยู่ในจำนวนนี้ การเก็บเกี่ยวไม่ต้องใช้เวลานานมาก แค่วันเดียวก็พอ แต่ลู่หยวนซานกลับทนไม่ไหว
หลังจากนี้ไปอีกเดือนกว่าๆ ต้นยาวิเศษอื่นๆในสวนยา เช่น หญ้าใจสงบ เห็ดหลิงจือเมฆม่วง หญ้าวิญญาณสันโดษ ก็จะสุกงอมแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น การยุ่งวุ่นวายรวมกันก็จะไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่
ดังนั้นในวันนั้น ลู่หยวนซานจึงเรียกเช่อชิงชิงและหลี่เหวยเซียว สามคนช่วยกันเก็บเกี่ยวต้นหญ้ารากจันทร์ทั้งร้อยต้นนี้
เมื่อเด็ดต้นหญ้ารากจันทร์แล้ว สามารถเก็บรักษาในกล่องยาวิเศษได้ราวๆสามปี ช่วงเวลาเก็บรักษาก็ยาวนานอยู่
พร้อมกับการสุกงอมของต้นหญ้ารากจันทร์ จากการคำนวณเวลา ต่อไปก็จะถึงช่วงเก็บเกี่ยวใหญ่ของไร่ปลูกพืชวิญญาณ
ต้นท้อวิเศษสามต้นในสวนยาในตอนนี้ก็เจริญเติบโตแล้ว ออกดอก ส่งกลิ่นดอกท้อหอมสดชื่น
เพียงแค่รออีกสามสี่เดือน ท้อวิเศษที่ออกผลก็จะสุกงอม
ต้นท้อวิเศษที่ได้รับจากระบบ ใช้เวลาปลูกหนึ่งปี รอบปีต่อไปเติบโตเต็มที่ จากนั้นอีกสามสี่เดือนก็จะออกผลท้อวิเศษ
สองสามเดือนนี้ นิกายจะเข้าช่วงเวลาทำการเกษตรอย่างยุ่งวุ่นวาย
อันดับแรก ไร่ปลูกพืชวิญญาณสุกงอม หลังจากนั้นไปเพียงหนึ่งเดือนกว่า ช่วงเก็บเกี่ยวจากไร่ปลูกพืชวิญญาณก็มาถึงตามที่คาดไว้อย่างรวดเร็ว
เนื่องจากไร่ปลูกพืชวิญญาณได้รับสกิลทรัพยากรยั่งยืนของลู่ผิงเสริมแรง ระดับของไร่ปลูกพืชวิญญาณและข้าววิญญาณจึงเพิ่มขึ้นเป็นระดับ 2 ขั้นต่ำ
ครั้งนี้ หลังข้าววิญญาณสุก ไม่ว่าจะเป็นไร่ปลูกพืชวิญญาณเก่าหรือไร่ใหม่ที่ถางขึ้นมา มองไปทางไหนก็เห็นต้นข้าววิญญาณขึ้นแน่นขนัด เหมือนทะเลสีทองกระจ่างตา
เพื่อเก็บเกี่ยวข้าววิญญาณ สมาชิกทั้งนิกายต่างพากันออกมา
เช่อชิงชิงมาด้วย แม้แต่หลี่เหวยเมี่ยวพี่น้องที่ตัวเล็กสุดก็ยังวิ่งมาช่วย ตัวพวกเขายังไม่สูงเท่าต้นข้าววิญญาณเลย
ลู่หยวนซานในฐานะอาจารย์ใหญ่ ย่อมไม่อยู่เฉยอย่างแน่นอน ทำตัวเป็นผู้นำที่ดี ถือเคียวจักรวิญญาณลงไปเก็บข้าว ท่าทางคล่องแคล่ว ช่างดูเหมือนชาวนาผู้ช่ำชองจริงๆ
หลังข้าววิญญาณอัปเกรดเป็นระดับสอง ถึงแม้พันธุ์จะยังเป็นข้าวหยกใส แต่ใบและความสูงก็แข็งแรงกว่าข้าวหยกใสระดับหนึ่งในปีก่อนมากทีเดียว
ตอนเก็บเกี่ยวรากและต้นข้าววิญญาณ ก็ต้องใช้แรงเพิ่มขึ้นอีกหน่อย
แต่ก็แค่นั้นแหละ ผู้ฝึกตนใช้เคียวจักรวิญญาณเก็บเกี่ยวข้าว ไม่ต้องใช้แรงมากหรอก
การเก็บเกี่ยวยาวนานถึงหกวัน ในระหว่างนี้ลู่หยวนซานก็คอยกำชับเช่อชิงชิงตักน้ำจากบ่อน้ำวิญญาณมา สั่งให้พ่อครัวที่โรงครัวไปขุดหน่อไม้หยกเขียวมาสองสามต้น จัดเลี้ยงให้ทุกคนกินอาหารอร่อยน้ำดี ก็ถือว่าไม่ได้ทำให้ศิษย์รู้สึกน้อยใจ เพราะต้องถูกดึงตัวมาเก็บข้าวแทนการฝึกตนอย่างเต็มที่
หลังเก็บเกี่ยวไร่ปลูกพืชวิญญาณจนสำเร็จแล้ว ลู่หยวนซานชั่งน้ำหนักข้าววิญญาณดู แล้วยิ้มกว้างออกมาทันที
"ขอบคุณบรรพบุรุษ ปีนี้ข้าววิญญาณไม่เพียงมีระดับถึงสอง แต่ยังมีผลผลิตถึง 8,100 กว่าจิ่น!"
"เทียบกับ 3,300 จิ่นของปีก่อน ผลผลิตเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าทีเดียว!"
เมื่อรู้ถึงผลผลิตข้าววิญญาณที่เพิ่มขึ้น นิกายทั้งนิกายก็มีความสุขมาก
นี่ไม่เพียงแสดงถึงความสำเร็จของการลงทุนในไร่ปลูกพืชวิญญาณ ยังแสดงว่ารายได้ที่ข้าววิญญาณนำมาให้นิกายนั้นเพิ่มขึ้นมาก
ผลผลิตข้าววิญญาณชุดนี้ จะทำกำไรได้ประมาณ 2,100 ก้อนหินวิญญาณ
นิกายยิ่งเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ทุกคนต่างก็ยินดีปรีดาเมื่อได้ยินได้ฟัง
ส่วนเหตุผลที่ไร่ปลูกพืชวิญญาณมีระดับเพิ่มขึ้น ข้าวหยกใสก็ถึงระดับสอง เรื่องนี้ลู่หยวนซานเคยได้ยินลู่ผิงพูดถึงมาก่อน ในใจก็พอมีเค้าโครง
จั๋วโหลั่วและหลี่จื่อชี่ก็แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้เช่นกัน พวกเขาค้นพบการปรับปรุงและพัฒนาไร่ปลูกพืชวิญญาณ ดังนั้น ลู่หยวนซานจึงรู้ว่าการปรับปรุงและผลผลิตที่เพิ่มขึ้นของไร่ปลูกพืชวิญญาณ ส่วนใหญ่มาจากฝีมือของพ่อ
พ่อปิดตัววิเวกมาสามสิบปี วิธีการนี้ช่างลึกลับยิ่งนัก
เมื่อเก็บเกี่ยวข้าววิญญาณเรียบร้อย เพียงสองสามวันต่อมา ต้นยาวิเศษในสวนยาก็สุกงอมแล้ว
เรื่องดีๆมาต่อเนื่องกันเลย
นิกายรีบเก็บเกี่ยวสวนยาในทันที
จำนวนต้นยาวิเศษที่เก็บได้ทั้งหมด รวมถึงหญ้าใจสงบ เห็ดหลิงจือเมฆม่วง หญ้าวิญญาณสันโดษและอีกหลายชนิด ปริมาณรวมถึง 463 ต้น
ในนั้นหญ้าวิญญาณสันโดษ 199 ต้น มีมูลค่า 2 ก้อนหินวิญญาณต่อต้น
มูลค่ารวมของหญ้าวิญญาณสันโดษทั้งหมดคิดเป็น 398 ก้อนหินวิญญาณ
รวมกับหญ้าใจสงบ เห็ดหลิงจือเมฆม่วง และต้นยาวิเศษอื่นๆที่เหลืออีก 264 ต้น และต้นหญ้ารากจันทร์ 100 ต้น การเก็บเกี่ยวสวนยาครั้งนี้จะนำรายได้หินวิญญาณมาสู่นิกายถึง 800 ก้อนเศษๆ!
นี่คือการเก็บเกี่ยวครั้งยิ่งใหญ่!
หลังเสร็จสิ้นการเก็บเกี่ยวสวนยา
ใช้ข้าววิญญาณส่วนหนึ่งเป็นอาหาร ที่เหลือนำไปขายที่ตลาดชิงเหอทั้งหมด
ส่วนด้านต้นยาวิเศษ ก็เก็บส่วนหนึ่งไว้เป็นวัตถุดิบปรุงยา ที่เหลือก็นำไปขายเช่นกัน
เช่าสัตว์เหยียบเมฆมาสิบตัว จัดการข้าววิญญาณ ต้นยาวิเศษ รวมถึงต้นหญ้ารากจันทร์ ลู่ฉางเฟิงและลู่จือเวยนำศิษย์ยี่สิบคน ฉวยโอกาสตอนกลางคืนออกจากภูเขาชิงเหลียนอย่างลับๆ มุ่งหน้าไปยังตลาดชิงเหอ
การกระทำของพวกเขาลับมาก ระมัดระวังอย่างยิ่ง พยายามรับประกันว่าข่าวการเดินทางครั้งนี้จะไม่รั่วไหลออกไป
ก็ครั้งนี้นำข้าววิญญาณไปเป็นพันๆจิ่น ยังมีต้นยาวิเศษที่มีมูลค่าสูงลิ่วด้วยนี่นา
มูลค่ารวมของสินค้าชุดนี้ใกล้ถึง 3,000 ก้อนหินวิญญาณ
สามพันก้อนหินวิญญาณ มีความหมายอย่างไรต่อนิกายชิงซาน? เทียบเท่ากับรายได้รวมสี่ปีของนิกายในอดีต!
การส่งทั้งลู่ฉางเฟิงและลู่จือเวยไปเป็นองครักษ์พร้อมกัน บวกกับศิษย์ยี่สิบคนตามไปด้วย นับว่าส่งกำลังคนของนิกายไปเกือบทั้งหมดแล้ว ลู่หยวนซานถึงค่อยวางใจได้บ้าง
ตามการฟื้นฟูและความมั่งคั่งของเขตหลูซานในช่วงสองสามปีมานี้ มีผู้ฝึกตนเร่ร่อนแปลกหน้าไหลทะลักเข้ามาในเขตหลูซานเป็นจำนวนไม่น้อย
ผู้ฝึกตนเร่ร่อนเหล่านี้มีกำลังความสามารถต่างกัน มีผู้ฝึกตนขั้นสร้างฐานไม่น้อย
จุดร่วมของพวกเขาคือส่วนใหญ่แทบไม่มีอะไรติดตัว ไม่มีทั้งหินวิญญาณ และทรัพยากรการฝึกตน ไม่ได้สังกัดตระกูลหรือนิกายใด ทั้งวันเหมือนผักตบชวาไร้รากไร้แก่น ล่องลอยไปทั่วเขตหลูซาน
บางครั้ง เพื่อรักษาการดำรงชีพ ให้ได้มาซึ่งทรัพยากรหินวิญญาณเพื่อฝึกตน พวกเขามักจะลงทุนลงแรงไปในทางที่ผิด ทำเรื่องเลวร้ายอย่างปล้นบ้าน ฆ่าคนชิงสมบัติ
ผู้ฝึกตนเร่ร่อนส่วนใหญ่ แต่เดิมต่างคิดจะทำแค่ครั้งเดียวแล้วก็เลิก แต่กลับหลงผิดเข้ารกเข้าพง นับแต่นั้นก็ไม่อาจกลับตัวกลับใจได้
ถึงแม้นิกายชิงซานจะได้รับการปกป้องจากสำนักเทียนชู ตระกูลนิกายภายนอกจึงไม่กล้าคิดไม่ซื่อต่อนิกายชิงซานในช่วงที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมายนิกาย
แต่ผู้ฝึกตนเร่ร่อนเหล่านี้ไร้รากไร้แก่น ไร้ที่พึ่ง การกระทำไม่เกรงกลัวสิ่งใด เพื่อความอยู่รอด ก็ทำได้ทุกอย่าง จะไปสนใจสำนักเทียนชูที่ไหนกัน
สำนักเทียนชูเองก็ไม่มีเวลาไปเอาใจใส่ผู้ฝึกตนเร่ร่อนเหล่านั้นทีละคน มันก็มีศัตรูสำคัญที่ต้องรับมืออยู่แล้ว
ดังนั้น ผู้ฝึกตนเร่ร่อนจำนวนมากจึงไม่ค่อยใส่ใจต่อสำนักเทียนชู สำนักเป่ยโถวเท่าไหร่นัก
นี่คือสิ่งที่ลู่หยวนซานกังวล
ถ้าข้าววิญญาณกับต้นยาวิเศษชุดนี้ของนิกายโดนปล้น ลู่หยวนซานคงจะล้มพับเป็นแน่
ทั้งนิกาย ใครๆก็ไม่อยากเห็นเหตุการณ์นี้
ดังนั้น การส่งสองผู้อาวุโสออกไป ก็นับว่ามีผู้ดูแล
ถ้าไม่ใช่เพราะลู่หยวนซานต้องอยู่เฝ้าภูเขาชิงเหลียน เขาก็อยากจะตามไปด้วยเหมือนกัน
โชคดีที่ระหว่างทาง ทุกคนปลอดภัยดี
ผู้ฝึกตนเร่ร่อนสิ้นหวังสองสามคนที่ระเหเร่อยู่ในเขตหลูซานตลอดหลายปี อาศัยการปล้นสะดมชิงทรัพย์เพื่อเลี้ยงชีพ เมื่อเห็นขบวนคนจำนวนไม่น้อยของลู่ฉางเฟิง และมีสัตว์เหยียบเมฆตามไปด้วย พวกเขาก็ยกเลิกความคิดที่จะตัดหน้าปล้น เกียจคร้านจะเสียเวลาเสียแรง
สิบวันต่อมา
ตลาดชิงเหอ
ด้านนอกร้านชิงซาน
เมื่อมาถึงหน้าร้าน สวีเย่เฉิงและเฉียนอิงไฉ่ก็ออกมาต้อนรับทันที
ครั้งนี้ พวกเขาได้รับข่าวจากนิกายล่วงหน้า จึงเตรียมตัวรับได้ทัน
ในตลาดชิงเหอ การต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกตนถูกห้าม ณ เวลานี้ยังไม่มีผู้ฝึกตนคนไหนกล้าฝ่าฝืนกฎเหล็กข้อนี้ที่นิกายเทียนชูตั้งไว้ ออกอาละวาดต่อหน้าต่อตานิกายเทียนชู
ด้านตะวันตกของร้านชิงซาน ใกล้ๆกับร้านที่อยู่ใต้การดูแลของนิกายเหิงเหยว
ผู้ฝึกตนนิกายเหิงเหยวสองคนเห็นลู่ฉางเฟิงและคนอื่นๆหยุดอยู่ด้านนอกร้านชิงซาน มีสัตว์เหยียบเมฆสิบตัวหยุดจอดอยู่ข้างๆ บรรทุกสินค้าเต็มคันรถ แถมเก้าส่วนเป็นข้าววิญญาณ พวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะกระซิบคุยกัน
"ครั้งนี้นิกายชิงซานนำข้าววิญญาณปีนี้มาขาย ทำไมมีมากขนาดนี้กัน?"