ตอนที่แล้วบทที่ 65 ย้ายไผ่หยกเขียว จือเวยปิดตัวหลอมอาวุธ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 67 เกิดเรื่องบนเส้นทางการค้าหูลู่

บทที่ 66 มีดแม่ลูกจินเฉียน


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวก็เกินครึ่งเดือนแล้ว

ลู่จือเวยก็ยังคงปิดตัวฝึกฝนไม่ยอมออกมา ลู่หยวนซานจึงประกาศภารกิจนอกนิกายข้อที่สอง

เมื่อทราบว่าในอีกครึ่งปีข้างหน้านิกายมีแผนจะส่งศิษย์ไปที่ชายแดนด้านตะวันออกของทะเลทรายเหิงหวง เพื่อกำจัดอสูรพายุทรายที่รุกรานกองคาราวาน

ฉู่ฉิน จางเนี่ยนชวน และหลินหาน ทั้งสามจับกลุ่มกันอีกครั้ง บอกว่าในอีกไม่นานจะไปบุกทะเลทรายเหิงหวง เพื่อทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ

หลังจากที่ลู่ผิงมอบ [พลังฮึกเหิมทัพ] ให้แก่ทั้งนิกาย ศิษย์ทุกคนก็กระตือรือร้นในการทำภารกิจให้นิกายมากขึ้น สภาพจิตใจก็ดีขึ้นด้วย

"ภารกิจนี้นิกายไม่ได้เร่งรีบ"

ลู่หยวนซานรู้สึกอิ่มเอมใจที่จางเนี่ยนชวนและอีกสองคนอาสามาช่วยงานนิกาย จึงแนะนำว่า

"ศิษย์พี่ลู่จือเวยยังปิดตัวหลอมอาวุธอยู่ รอจนกว่านางจะหลอมกระบี่ไผ่เขียวเสร็จ ตอนนั้นค่อยให้พวกเจ้าใช้กระบี่ไผ่หยกประจำตัว แล้วค่อยออกเดินทางไปทะเลทรายเหิงหวงก็ยังไม่สาย"

"พวกอสูรพายุทรายนั่นกำลังไม่อ่อนนัก ยังไงก็ยุ่งยากไม่น้อย ห้ามประมาทเด็ดขาด นิกายให้เวลาภารกิจนี้มากพอแล้ว ไม่ได้เร่งรีบอะไร"

"พวกเจ้าไปพักผ่อนสักพัก ฝึกฝนวิชายุทธ์ให้ดี เตรียมตัวให้พร้อมไปก่อนแล้วกัน"

จางเนี่ยนชวนทั้งสามฟังคำพูดนี้ของลู่หยวนซานเข้า ครุ่นคิดแล้วก็เห็นว่ามีเหตุผล จึงได้แต่รอคอยให้ลู่จือเวยออกจากการปิดตัวเสียก่อน

สำหรับการจัดการอสูรพายุทราย คราวนี้ลู่ฉางเฟิงไม่ไปด้วย

ต้องพึ่งกลุ่มของฉู่ฉินกับจางเนี่ยนชวนจัดการกันเอง

แตกต่างกับหมาป่าลายม่วง อสูรพายุทรายมีจำนวนมากกว่าหนึ่งตัวมากนัก กำลังก็ไม่ได้แข็งแกร่งนัก ไม่เท่าหมาป่าลายม่วง แต่อย่างไรก็ตามชนะด้วยจำนวนนะ ห้ามประมาทเด็ดขาด

ทุกคนไม่ต้องรอนาน เพียงผ่านไปแค่สิบเอ็ดวัน จากห้องหลอมอาวุธก็มีเสียงดังออกมา ลู่จือเวยออกมาแล้ว

เขี้ยวและกรงเล็บคู่หนึ่งของหมาป่าลายม่วง ถูกนำมาหลอมรวมเป็นอาวุธวิญญาณขั้นที่ 1 ชิ้นเยี่ยมชื่อว่า 'มีดแม่ลูกจินเฉียน'

อาวุธวิญญาณนี้แบ่งเป็นมีดแม่หนึ่งเล่ม ขนาดเทียบเท่าดาบบิน สามารถใช้เป็นดาบบินแยกได้

ส่วนเก้าเล่มที่เหลือเป็นมีดลูก มีขนาดเท่ากับมีดสั้น สามารถใช้ร่วมกับมีดแม่เพื่อโจมตีศัตรู ยืดหยุ่นได้มาก มีพลังทะลุทะลวงสูงมาก

กระดูกของหมาป่าปีศาจ เพื่อให้สอดคล้องกับการหลอมมีดแม่ลูกจินเฉียน ส่วนใหญ่ก็กลายเป็นวัตถุดิบสำหรับการหลอมอาวุธไปหมดแล้ว กระดูกปีศาจที่เหลือจริงๆแล้วก็ใช้ประโยชน์ได้ไม่มากนัก เอาไปต้มเป็นซุปที่ห้องครัววิเศษ ถือเป็นการใช้ความร้อนที่เหลือให้เป็นประโยชน์ครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน

ส่วนหนังหมาป่านั้น พอลู่จือเวยได้รับมาตอนแรกก็รู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง

สาเหตุก็ไม่มีอะไร เพราะตอนที่ลู่ฉางเฟิงกับพวกล่าหมาป่าลายม่วง พวกเขาก็ไม่ได้ยั้งมือสักนิด ใช้แรงเต็มที่นี่นา

พอสังหารหมาป่าปีศาจได้แล้ว หนังของมันก็ถูกทำลายไปมาก เกือบไม่มีส่วนไหนที่สมบูรณ์แล้ว ขาดวิ่นไปหมด

ได้แต่เย็บปะติดปะต่อตัดแต่งเล็กน้อย ทำเป็นชุดเกราะวิญญาณขั้นที่ 1 ชั้นกลางได้ชุดหนึ่ง

ชุดเกราะนี้ก็ไม่ใหญ่ ผู้ฝึกตนผู้ใหญ่ใส่ไม่ได้แน่

มองทั่วทั้งในและนอกนิกายแล้ว ก็มีแค่หลี่เหวยเซียวกับหลี่เหวยเมี่ยวพี่น้องเท่านั้นที่ใส่ได้

เมื่อเป็นอย่างนั้น ลู่จือเวยจึงรีบตกแต่งชุดเกราะหนังหมาป่าให้สวยขึ้นอีกหน่อย ตัดสินใจมอบให้หลี่เหวยเมี่ยว

ตั้งแต่รับหลี่เหวยเมี่ยวเป็นศิษย์ นางก็ยังไม่เคยให้ของขวัญเป็นค่าตอบแทนการเป็นอาจารย์เลย อาวุธวิญญาณในมือนางก็ไม่ได้มีมากมาย มีเพียงดาบเมฆหมอกราตรีเล่มเดียว

อาวุธวิญญาณในนิกาย...ก็ต้องบอกว่าแย่มาก แน่นอนว่าหายากสุดๆ นิกายขาดแคลนอาวุธวิญญาณมานานแล้ว

สุดท้าย คือกระบี่ไผ่เขียวที่ทุกคนให้ความสนใจที่สุด

เนื่องจากหลังย้ายปลูกไผ่หยกเขียวแล้วมีสามต้นเสียหาย ต่อให้ย้ายปลูกก็คงอยู่ไม่รอด สู้เอามาให้ลู่จือเวยหลอมเป็นกระบี่ไผ่เขียวจะดีกว่า

ใช้ประโยชน์จากทุกอย่างให้คุ้มค่าที่สุดนะ

ไผ่หยกเขียวสามต้นนี้ สามารถร่วมในการหลอม รักษาพลังพิเศษเอาไว้ได้

ตามหลักแล้ว การหลอมกระบี่ไผ่เขียวห้าหกเล่มไม่น่าจะมีปัญหา

แต่คราวนี้ลู่จือเวยรู้สึกเขินอายนิดหน่อย

เพราะเป็นครั้งแรกที่หลอมกระบี่ไผ่เขียว ต้องลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ทดลองเอง สุดท้ายสำเร็จออกมาได้แค่สี่เล่ม

ถ้าจะจับผิดกันจริงๆ การหลอมกระบี่ไผ่เขียวครั้งนี้ถือว่าล้มเหลวไปบ้าง เพราะผลิตได้น้อยเกินไป

แต่จะไปโทษนางก็ไม่ได้หรอก มีผู้หลอมอาวุธคนไหนบ้างที่ก่อนจะหลอม จะกล้ายืนยันว่าตัวเองจะสามารถใช้ทุกชิ้นส่วนของวัตถุดิบได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่เหลือเศษเลยแม้แต่น้อย หลอมสำเร็จได้ร้อยเปอร์เซ็นต์?

มันเป็นไปไม่ได้หรอก

พอรู้ว่ากระบี่ไผ่เขียวที่หลอมสำเร็จมีจำนวนเท่าไหร่ ลู่หยวนซานไม่เพียงไม่มีท่าทีจะตำหนิ กลับยังขอบคุณลู่จือเวยด้วยซ้ำที่หลอมกระบี่ไผ่หยกออกมาได้สี่เล่ม เกินกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ ถือเป็นเรื่องน่ายินดี

จริงๆแล้ว ถ้ากระบี่ไผ่เขียวจะหลอมง่ายขนาดนั้น บนท้องตลาดคงมีกระบี่ไผ่เขียวท่วมท้นไปหมดแล้ว

ไผ่หยกเขียวเองก็ไม่ใช่ของหายากอะไร สำนักทั่วไปปลูกมันเป็นผักชีกันเลยทีเดียว งอกงามเป็นทิวแถว บางสำนักเซียนที่ซ่อนตัวมีอำนาจใหญ่โต ถึงกับใช้มันตกแต่งสภาพแวดล้อม เพิ่มรสนิยมความงาม เลยไม่อยากเอาไปหลอมอาวุธด้วยซ้ำ

นิกายชิงซานย่อมไม่ปล่อยให้ไผ่หยกเขียวสูญเปล่าแน่นอน ถ้าใช้ประโยชน์จากทุกอย่างได้ก็จะไม่ยอมเสียของแม้แต่น้อย ต้องทำให้มันแสดงพลังออกมาอย่างเต็มที่

ลู่หยวนซานรับกระบี่ไผ่เขียวสี่เล่ม และมีดสั้นเขี้ยวหมาป่าคู่นั้นมา แล้วก็เริ่มคิดว่าจะแบ่งอาวุธวิญญาณสี่ชิ้นใหม่นี้ให้ใครดี มอบเป็นรางวัลอย่างไร

ปล่อยให้อาวุธวิญญาณนอนจมฝุ่นอยู่ในคลังนิกายนั้นเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้แน่ๆ อย่างน้อยตอนนี้นิกายชิงซานทำอย่างนั้นไม่ได้

พอรู้ว่าลู่จือเวยอยากมอบชุดเกราะหนังหมาป่าให้หลี่เหวยเมี่ยว ลู่หยวนซานก็ไม่มีความเห็นอะไรเลย

น้องสาวลำบากมาตลอด เอาอาวุธวิญญาณไปหนึ่งชิ้นก็สมควรอยู่แล้ว

อีกอย่างชุดเกราะนี่ก็มีแค่หลี่เหวยเมี่ยวกับหลี่เหวยเซียวใส่ได้ คนอื่นใส่ไม่ได้

ถ้าจะเอาไปขายแลกเป็นหินวิญญาณ ก็ได้เงินไม่กี่ชิ้นหรอก สู้ให้เด็กน้อยคนนั้นไปดีใจเสียมากกว่า

ต่อไปเมื่อนิกายดีขึ้นเรื่อยๆ มีอาวุธวิญญาณที่มีระดับสูงกว่านี้แล้วค่อยมอบให้หลี่เหวยเมี่ยวอีกทีก็ไม่สายหรอก

ลู่หยวนซานถือกระบี่ไผ่เขียวสี่เล่มไว้ ไม่ต้องคิดนานก็เลือกคนได้แล้ว

เขามอบมีดแม่ลูกจินเฉียนให้ลู่ฉางเฟิง

พี่ชายคนนี้มักทำอะไรวู่วาม ชอบพุ่งไปข้างหน้าเวลาสู้กับศัตรู ต่อสู้ประชิดตัว

มีดแม่ลูกจินเฉียนควบคุมง่าย เหมาะสำหรับการโจมตีและป้องกันทั้งไกลและใกล้ เหมาะกับลู่ฉางเฟิงมาก

ส่วนกระบี่ไผ่เขียวสี่เล่ม ก็แจกให้หลินหาน จางเนี่ยนชวน เช่อชิงชิง และฉู่ฉิน ทั้งสี่คน

เพราะเหตุผลเดียวกับลู่ฉางเฟิง ในการสังหารหมาป่าลายม่วงและย้ายปลูกไผ่หยกเขียวครั้งนี้ พวกเขาสี่คนก็ลำบากทำงานสำเร็จ เสียแรงไปมาก

อาวุธวิญญาณเหล่านี้มอบให้พวกเขาก็เหมือนเป็นค่าตอบแทน ศิษย์คนอื่นในนิกายเห็นแล้วก็คงไม่รู้สึกผิดหวัง

ในอนาคตเมื่อไผ่หยกเขียวเจริญงอกงาม นิกายก็ยังสามารถผลิตกระบี่ไผ่เขียวขึ้นมาใช้เองได้ ค่อยๆทำให้ศิษย์ทุกคนมีกระบี่ไผ่เขียวประจำตัวได้สักวัน

เมื่อได้รับกระบี่ไผ่เขียว หลินหาน จางเนี่ยนชวน เช่อชิงชิง และฉู่ฉิน ทั้งสี่คนก็ดีใจกันใหญ่

โดยเฉพาะจางเนี่ยนชวน ตื่นเต้นอยู่ตลอดทั้งวัน

หกปีก่อน เมื่อครั้งต่อสู้กับนักพรตมารหนึ่งคนที่อำเภอทงกู แคว้นฉู เขาได้ทำอาวุธวิญญาณเสียหาย นับแต่นั้นก็ไม่มีอาวุธวิญญาณใช้อีกเลย

จนกระทั่งครั้งนั้นที่ช่วยงานลู่จือเวย ไปจัดการจิ้งจอกในรูต้นไม้ที่เมืองเซียวซือ ลู่หยวนซานคำนึงถึงว่าเขาไม่มีอาวุธวิญญาณใช้ จึงค้นหาอาวุธในคลังนิกายทั้งหมด แล้วให้ดาบบินสำริดหนึ่งเล่มแก่เขา ซึ่งเป็นอาวุธวิญญาณชั้นล่างขั้นที่ 1

ดาบบินเล่มนี้มีระดับต่ำ เนื้อวัสดุก็แย่ พลังก็เพียงแค่ดีกว่าดาบธรรมดานิดหน่อยเท่านั้น อย่างมากก็แค่สามารถเสริมพลังปราณใช้งานได้

ตอนนี้มีกระบี่ไผ่เขียวแล้ว สามารถเอามาแทนดาบบินสำริดได้เสียที!

ส่วนดาบบินสำริดที่ถูกเปลี่ยนออกมานั้น จะเอาไปทำอย่างไรก็แล้วแต่เขาเลย

เขาไม่ได้ขายมัน ก็ไม่ได้ส่งต่อให้ใคร แต่เก็บเป็นของสะสม เก็บรักษาไว้อย่างดี

ส่วนเรื่องอสูรพายุทรายนั่น ซ่งหมิงฮุ่ยรู้เรื่องจากการพูดคุยกับจางเนี่ยนชวน นางก็แสดงความจำนงว่าจะไปด้วย

หลังจากได้รับการรักษาจากลู่ผิงด้วยสกิล [รักษาหาย] แม้ซ่งหมิงฮุ่ยจะไม่รู้ชัดว่าเป็นฝีมือของลู่ผิง แต่เมื่อถามลู่หยวนซานในภายหลัง ลู่หยวนซานก็บอกกลายๆแค่ว่าเป็นการกระทำของนิกาย ไม่ต้องสงสัยถึงสาเหตุอีก ถึงแม้ในใจนางจะมีข้อสงสัยแต่ก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากนิกายเล็กน้อย

ตอนนี้เมื่อนิกายต้องการคนไปทำภารกิจ นางจึงเป็นอาสาสมัครทันที

พอดีก็อยากจะออกไปพักผ่อนหย่อนใจเหมือนกัน

ดังนั้น สองวันต่อมา ฉู่ฉิน หลินหาน และจางเนี่ยนชวน หลังจากคุ้นเคยกับกระบี่ไผ่เขียวแล้ว ก็ชวนซ่งหมิงฮุ่ยไปด้วย

ทั้งสี่คนตั้งกลุ่มออกเดินทาง ฝ่าฝุ่นละอองไปสู่ทะเลทรายเหิงหวง ไปกำจัดพวกอสูรพายุทราย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด