ตอนที่แล้วบทที่ 28 ประทับตราวิญญาณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 30 ปีศาจลาวา

บทที่ 29 ลวดลายศักดิ์สิทธิ์


ในยุคที่ยังไม่มีการผลิตน้ำตาลด้วยวิธีอุตสาหกรรม รสหวานถือเป็นรสชาติที่หรูหราอย่างยิ่ง นอกจากจะให้พลังงานสูงแล้ว ยังกระตุ้นให้สมองหลั่งฮอร์โมนมากขึ้นเพื่อบรรเทาอารมณ์ด้านลบอย่างความเศร้าโศกและความทุกข์ทรมานต่างๆ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมบางคนถึงกินจุกจนเกินพอดีหลังจากอกหัก ส่วนใหญ่เพราะต้องการรับประทานน้ำตาลนั่นเอง

หากปราศจากน้ำตาล แหล่งหลักของรสหวานก็คือน้ำผึ้งและพืชบางชนิดที่มีน้ำตาลสูงตามธรรมชาติ อย่างเช่นบีทรูต ซึ่งเป็นพืชที่มีปริมาณน้ำตาลสูงถึง 40% และเป็นพืชที่สำคัญมากสำหรับรสหวาน

แต่น่าเสียดายที่ทั้งเมืองใต้ดินและโลกนี้ต่างปลูกบีทรูตได้ยาก ไม่ต้องพูดถึงว่าอาหารจะเพียงพอหรือไม่ เพียงแค่สภาพแสงที่บีทรูตต้องการ เมืองใต้ดินก็ไม่อาจตอบสนองได้

สภาพแวดล้อมที่มีแสงแดดจ้าเป็นเวลานานเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อให้แป้งในบีทรูตเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ แต่เมืองใต้ดินไม่อยู่ในเงื่อนไขนี้ แม้แต่โลกนี้ก็ไม่อย่ในเงื่อนไขนี้ด้วย

แต่อังเกอร์เป็นโครงกระดูกผู้เชี่ยวชาญการปลูกผัก การปลูกผักคือธุรกิจหลักของเขา ส่วนการปลูกธัญพืชเป็นเพียงธุรกิจเสริมเท่านั้น

เดิมทีที่ฟาร์มมีโครงกระดูก 60 ตัว แต่ละตัวรับผิดชอบพื้นที่เพาะปลูก 50 เอเคอร์ บ้างปลูกผัก บ้างปลูกธัญพืช เมื่อราชันวิญญาณอมตะจากไป ในฟาร์มจึงเหลือเพียงเขาเพียงผู้เดียว เมื่อเห็นพืชในแปลงอื่นๆ ค่อยๆ เหี่ยวเฉาลง สัญชาตญาณของอังเกอร์ก็อดไม่ได้ที่จะไปดูแลแปลงเพาะปลูกอื่นๆ ตามความสามารถของตน

แน่นอนว่าพื้นที่เพาะปลูก 3,000 เอเคอร์นั้นยากเกินกว่าที่เขาจะดูแลได้ทั้งหมด ถึงแม้ว่าจะตัดเขาออกเป็นสองท่อนก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วเขาสามารถดูแลได้เพียงไม่กี่ชนิด ส่วนที่เหลือก็ได้แต่มองดูมันเหี่ยวเฉาตายไป

บีทรูตเป็นพืชที่อังเกอร์ปลูกเป็นหลัก ขนาดการเพาะปลูกน้อยกว่าธัญพืชเพียงเล็กน้อย แต่ให้ผลผลิตสูง ปริมาณที่เก็บไว้ในยุ้งฉางมีมากกว่าธัญพืชเสียอีก เป็นสิ่งที่มีราคาถูกกว่าธัญพืชมากทีเดียว

จะแลกบีทรูตสี่สิบปอนด์กับธัญพืชสี่สิบปอนด์ได้หรือไม่? อังเกอร์นำบีทรูตที่แปรรูปสี่สิบปอนด์ออกมา แต่พอนำออกมาก็พบว่า ภายใต้การทำงานของดินหายใจ บีทรูตสูญเสียน้ำ น้ำหนักเหลือเพียง 70% ของเดิม

"มากไปมากไป เป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกัน บีทรูตมีราคาแพงกว่าธัญพืชกว่าสิบเท่า ให้ข้าสี่ปอนด์ก็พอแล้ว" อายส์เคมองกองบีทรูตที่ถูกย้ายออกมาตาเป็นประกาย แต่ก็อดทนปวดใจปฏิเสธไป

บีทรูตไม่เพียงแต่แพงกว่าธัญพืชกว่าสิบเท่า แต่ยังเป็นของที่มีราคาแต่ไม่มีตลาด เพราะในตลาดไม่มีบีทรูตขายเลย ถึงแม้จะให้เพียงแค่สี่ปอนด์ อายส์เคก็ถือว่าได้กำไรมหาศาลแล้ว

ถึงแม้ที่อังเกอร์หยิบยกบีทรูตสี่สิบปอนด์ออกมาทำให้เขารู้สึกตาร้อน แต่เขาก็ไม่กล้าฉวยโอกาสนี้ เขาเข้าใจว่ากฎนี้เป็นกฎที่อังเกอร์ตั้งขึ้น มันจะเป็นกฎได้ก็ต่อเมื่ออังเกอร์ยินยอมที่จะทำตาม หากอังเกอร์ไม่ทำตามแล้ว เขาที่แม้แต่จะต่อรองก็ไม่มีสิทธิ์

ดังนั้น ถ้าตัวเองไม่มีความสามารถที่จะรักษากฎเกณฑ์ และไม่มีสิทธิ์ต่อรองแล้ว อย่าได้คิดละเมิดมันเป็นอันขาด

คุ้มค่าหรอ? อังเกอร์เอียงคอ ปริมาณบีทรูตที่เก็บไว้ในยุ้งฉางมีมากกว่า ปลูกก็ง่ายกว่า ราคายังแพงกว่าธัญพืชมากขนาดนี้ งั้นปลูกบีทรูตจะคุ้มค่ากว่าไม่ใช่เหรอ?

เมื่อได้รับผลตอบแทน อายส์เคก็ยกแขนเสื้อขึ้นด้วยกำลังใจเต็มเปี่ยม ทุ่มเทจิตใจในการแกะสลักลวดลายศักดิ์สิทธิ์ให้อังเกอร์อย่างเต็มที่

"เอาไว้ที่นี่แล้วกัน มุมนี้พอดี สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้มากที่สุด" อายส์เควาดมือสองสามที แล้วก็หาตำแหน่งที่เหมาะสมได้ ตำแหน่งนั้นอยู่กลางหน้าผา อายส์เคต้องปีนขึ้นไปจึงจะถึง

อายส์เคประเมินระยะทางแล้วพูดอย่างอับจนว่า "ข้าจะไปหาเชือกมา สูงเกินไป ใช้แรงได้ไม่ถนัด"

อังเอียงคอแล้วถามว่า "บินได้ไหม"

อายส์เคตอบอย่างอับอาย "ทำได้ไม่นาน"

ในฐานะนักเวทระดับกลาง อายส์เคสามารถบินขึ้นไปได้ชั่วระยะเวลาสั้นๆ แต่ทำไม่ได้นาน แค่ปีนกำแพงยามฉุกเฉินยังพอไหว แต่การลอยตัวอยู่กับที่เพื่อแกะสลักลวดลายศักดิ์สิทธิ์อย่างประณีตแบบนี้ทำไม่ได้

อังเกอร์ยื่นมือออกมาแล้วร่ายเวทกระจายฝุ่นใส่ตัวอายส์เค ยกเขาลอยขึ้นจากพื้น

อายส์เคตกใจ แต่พอรู้ว่าเป็นฝีมืออังเกอร์ เขาก็โล่งใจ กำหมัดขยี้มือ ตั้งใจว่าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อตอบแทนบีทรูตจากอังเกอร์

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป สองชั่วโมงผ่านไป สามชั่วโมงผ่านไป... อายส์เคหันหลังกลับมามองเป็นระยะด้วยความใจหายใจคว่ำ ในใจก็ตะโกนว่า "ไม่น่าเป็นไปได้ ไม่น่าเป็นไปได้ จะมีใครทนได้นานขนาดนี้เนี่ยนะ?"

ผ่านไปสามชั่วโมงแล้ว อังเกอร์ยังคงค้ำยันเขาไว้อย่างมั่นคง ไม่มีทีท่าว่าจะไม่มั่นคงเลยแม้แต่น้อย นี่ช่างเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ต่อให้เป็นนักเวทระดับสูงก็ไม่น่าจะมีพลังทนทานและอึดได้ขนาดนี้

แต่ก่อนอายส์เคเคยคาดเดาฝีมือของอังเกอร์จากท่าทีที่ฟิลินปฏิบัติต่ออังเกอร์ แต่ตอนนี้เขาได้สัมผัสด้วยตัวเองแล้วถึงพลังที่ลึกล้ำเกินจะหยั่งถึง ไพศาลยิ่งดุจสายหมอก ไร้ขอบเขตยิ่งกว่าห้วงมหรรณพ หมุนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีที่สิ้นสุด

อาจดูเหมือนการยกเขาขึ้นมาใช้แค่เวทมนตร์ธาตุลมระดับหนึ่งเท่านั้น แต่การรักษาเสถียรภาพอย่างต่อเนื่องแบบนี้นั้นยากยิ่งกว่า ใครๆ ก็ยืนขาเดียวได้ แต่ลองให้ยืนสามชั่วโมงดูสิ

นี่คงเป็นระดับที่มีแต่นักเวทโอกิเท่านั้นที่น่าจะทำได้ ขณะที่เขากำลังคิดยังมองเห็นอังเกอร์ยังเป็นภาพเงาอีก นั่นก็แปลว่าต้องมีพลังระดับนักเวทแห่งความจริงเป็นอย่างน้อย นั่นคือระดับเทพเลยนะ อังเกอร์ที่อยู่ตรงหน้านี้ อาจจะเป็นภาพเงาของราชันผู้ไม่ตายจริงๆ ก็ได้

อายส์เคเข้าใจในทันทีว่า ทำไมฟิลินถึงมีท่าทีนอบน้อมเคารพอังเกอร์ขนาดนั้น

อายส์เคที่ตกตะลึงเป็นอย่างมากย่อมไม่มีทางนึกถึงว่า ในโลกนี้มีตัวประหลาดที่ใช้เวลามากกว่า 300 ปี เพียงเพื่อฝึกเวทมนตร์ระดับหนึ่งสำหรับรดน้ำต้นไม้ เขาเข้าใจผิดไปไกลโข

ใช้เวลาถึงสี่ชั่วโมงเต็มกว่าจะแกะสลักลวดลายศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างเสร็จสมบูรณ์ ส่วนใหญ่เป็นเพราะอายส์เคอยากทำผลงานดีๆออกมา ลวดลายศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างมีพื้นที่ขนาดใหญ่ จึงต้องใช้ความพยายามมากขึ้น

หลังเสร็จสิ้นภารกิจ อายส์เคก็หิ้วบีทรูตสี่ปอนด์กลับบ้านอย่างร่าเริง เขาไม่ได้ยินเสียงเยาะเย้ยจากเนเกริสในจิตวิญญาณของอังเกอร์เลยสักนิด:

"แกะสลักลวดลายศักดิ์สิทธิ์ได้ห่วยแตก ลายเวทไม่กระชับพอ มีวงจรเกินความจำเป็นเยอะไป ประสิทธิภาพการแปลงต่ำ สิ้นเปลืองพลังงานสูง แถมยังไม่มีโครงสร้างที่มั่นคงอีก พอเริ่มกระบวนการปลดปล่อยพลังก็จะแรงก่อนแล้วอ่อนทีหลัง ตอนแรกสว่างจ้าจะตาย พอตอนหลังมืดจนมองไม่เห็นมดเลย ห่วยแตก"

"ถ้าไม่ได้รับการศึกษาเรื่องลวดลายศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นระบบ ก็มักจะมีข้อบกพร่องแบบนี้ได้ง่าย สำหรับเทคนิคทำให้สว่างอย่างเดียว วงจรพลังเวทแบบนี้จะมีประสิทธิภาพต่ำ ซึ่งยังไม่ถือว่าร้ายแรงนัก แต่ถ้าเอามาใช้เป็นลวดลายศักดิ์สิทธิ์ถาวร จะเกิดปัญหาใหญ่"

อังเกอร์เอียงศีรษะ "อ๋อ"

"อย่าแค่อ๋ออยู่เลย ลอยขึ้นมา เดี๋ยวข้าจะสอนวิธีแก้ให้"

"อ๋อ" อังเกอร์ลอยขึ้นไป และแก้ไขลวดลายศักดิ์สิทธิ์ตามคำแนะนำของเนเกริส จากนั้นก็เติมพลัง ลวดลายศักดิ์สิทธิ์กะพริบไปสองสามครั้งก่อนจะส่องแสงสว่างที่มั่นคงออกมา

ในแสงสว่างจากลวดลายศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่าง อังเกอร์เกิดไอเดียขึ้นมาว่า "เทคนิคทำฝนตก สลักเป็นลวดลายศักดิ์สิทธิ์ได้ไหม"

"สลักได้อยู่หรอก แต่เทคนิคทำฝนตกห่วยๆ นั่นเป็นของที่เจ้าคิดขึ้นเอง ยังต้องทำให้เป็นลายเวท เป็นระนาบ และทำให้ประกอบกัน แล้วเจ้าไม่ได้เรียนเรื่องลวดลายศักดิ์สิทธิ์มาก่อน จะไปแปลงมันได้ไง สู้เอาลวดลายศักดิ์สิทธิ์บอลน้ำมาใช้เลยดีกว่า มีให้พร้อมแล้ว" เนเกริสพูด

อังเกอร์ส่ายศีรษะ"เทคนิคบอลน้ำ ไม่รดดิน ฝนตก รดดิน เจ้าสอน"

เนเกริสเคยชินกับสไตล์การพูดของอังเกอร์แล้ว ฟังปุ๊บก็เข้าใจปั๊บ พูดแบบระอาใจว่า "เรื่องการปลูกพืชนี่เจ้าเอาจริงเอาจังเหมือนกันนะ มันต่างกันตรงไหนเหรอ ก็น้ำเหมือนกันแท้ๆ ถ้ามีคนกำลังจะตายเพราะขาดน้ำ เทคนิคทำฝนตกของเจ้าก็ควรจะรวมน้ำช่วยเขาได้ใช่ไหมล่ะ ถ้าอยากเรียนก็ได้นะ ยังไงตอนนี้ก็ว่างอยู่แล้ว..."

เลย ทั้งหมดที่อังเกอร์ได้ยินหลังจากนั้นมีแต่เสียงในหัวที่ว่า: เทคนิคทำฝนตกช่วยคนที่กำลังจะตายเพราะขาดน้ำได้หรือเปล่านะ?

นี่ทำให้เขานึกถึงคนที่เปิดอาเรย์เทเลพอร์ตครั้งนั้น ตอนนั้นเพราะไม่มีน้ำถึงต้องหิวโหยและขาดน้ำจนตาย เทคนิคทำฝนตกจะช่วยคนที่กำลังจะตายเพราะขาดน้ำได้จริงๆ หรือ?

ดูเหมือนจะทำได้จริง ทำไมตอนนั้นเราถึงนึกไม่ออกนะ? อังเกอร์ใช้เทคนิคทำฝนตก มองหยาดน้ำที่ไหลริน ๆ บนฝ่ามือ แล้วก็เกิดความครุ่นคิดใคร่ครวญ

พลังลมปั่นป่วน อายส์เคบินกลับมาจากช่องทางเดียวกลับที่มี ร้องเสียงดังว่า "ท่านขอรับ เกิดเรื่องไม่ดีแล้ว ไร่นาของท่านถูกเผาไปแล้ว"

ไร่นาถูกเผา! จิตวิญญาณของอังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เขาหน้ามองอายส์เค เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงภายใต้โพรงตากที่ลวงโบ๋ทำให้อายส์เคหวาดหวั่นในใจ

มือที่ชูขึ้นเพียงเล็กน้อย หยาดน้ำบนฝ่ามือก็กลายเป็นผลึกน้ำแข็งแหลมคมปักลงบนพื้น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด