บทที่ 27 เถ้าแก่ซูแห่งศาลาหลิงอวิ๋น
“สามหมัดที่แรงสุดของเจ้า!” หลัวเฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้มน้ำเสียงราบเรียบ
ทันทีที่หลัวเฉิงกล่าววาจาเช่นนี้ออกมา บ่อนพนันหยกเขียวที่แต่เดิมนั้นเต็มไปด้วยเสียงฮือฮารื่นเริง บัดนี้พลันเงียบสงัดลงอย่างกะทันหัน
“หลัวเฉิงคนนี้บ้าไปแล้วหรืออย่างไรกัน!” หนึ่งในนั้นอุทาน
ครั้นได้ยินคำอุทานนี้ ทุกคนก็กลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง พานให้เกือบทุกผู้ที่อยู่ในนั้นต่างมองหลัวเฉิงด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
แม้อัจฉริยะผู้มีฝีมือโดดเด่นของตระกูลหลินและฉีจะมิได้ปรากฏตัวออกมา แต่ใช่ว่าปรมาจารย์ที่อยู่ที่นี่จะไร้ฝีมือ
ไม่ต้องกล่าวถึงผู้อื่นให้มากความ แค่หลินเซียวคนเดียวก็อยู่ในขั้นหลอมกายาระดับเจ็ดแล้ว ทั้งยังได้ปลุกวิญญาณยุทธ์ระดับสี่ดาวขึ้นมาอีก!
แล้วเจ้าคนไร้ค่าที่ปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมา ไฉนกลับกล้าอวดดีมากถึงเพียงนี้?
“เดิมพันงั้นหรือ” หลินเซียวทวนวาจาด้วยสีหน้าตกตะลึง
เขายังไม่อยากจะเชื่อว่าหลัวเฉิงจะกล้าท้าพนันเช่นนี้ ทั้งยังเป็นการรับหมัดของเขาอีกต่างหาก หลัวเฉิงอย่างมากก็อยู่แค่ระดับหก แต่เขานั้นอยู่ในระดับเจ็ด
หลัวเฉิงพยักหน้าแล้วเหลือบมองบรรดาลูกศิษย์ของสองตระกูลเบื้องหลังหลินเซียว แล้วเหยียดยิ้มเยาะกล่าวว่า “คงมิใช่ว่า พวกเจ้าลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในโรงเตี๊ยมจุ้ยอวิ๋นเชวี่ยไปแล้วหรอกกระมัง พวกเจ้าไม่ต้องการแก้แค้นข้างั้นหรือ”
“อวดดีนักนะไอ้คนไร้ค่า!”
“หลินเซียว สั่งสอนมันเลยดีกว่า!”
“ให้ข้าลงมือเอง ข้าจะตัดแขนตัดขาของมันออกทีละข้าง ข้าอยากรู้นักมันยังจะกล้าอวดดีไหม!”
วาจาของหลัวเฉิงที่พ่นออกไปเมื่อครู่ มันราวกับประกายไฟที่โยนเข้าใส่เชื้อเพลิงมิมีผิด ทำเอาบรรดาศิษย์ของตระกูลหลินและตระกูลฉี ถึงกับลุกขึ้นมาตะคอกอย่างเดือดดาล
หลินเซียวโบกมือปรามเพื่อให้ทุกคนสงบปาก สายตาเขาจ้องไปยังหลัวเฉิง แล้วกล่าวอย่างเหยียดหยาม
“ไฉนข้าถึงต้องยอมพนันไร้สาระกับเจ้าด้วยเล่า ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ามีเงินสามแสนแปดหมื่นตำลึงด้วยหรือ”
ครั้นได้ฟังวาจานั้น หลัวเฉิงจึงตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หากข้ามามือเปล่า จะกล้าท้าเจ้าเดิมพันได้อย่างไร”
ระหว่างเดินทางมาที่นี่ หลัวเฉิงได้วางแผนเรื่องนี้เอาไว้แล้ว และเขาเชื่ออย่างสนิทใจว่าอีกฝ่ายต้องยอมรับเดิมพันของเขาเป็นแน่
โดยไม่รอช้า หลัวเฉิงหยิบโอสถผลึกทับทิมออกมาจากแขนเสื้อแล้วกล่าวว่า “นี่คือ โอสถผลึกทับทิม มันเป็นโอสถชั้นยอดระดับสองดาว ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นหลอมกายา หากใช้มันก็จะสามารถทะลวงระดับได้อย่างรวดเร็ว!”
“โอสถหลอมกายาชั้นยอดระดับสองดาว!” หนึ่งในนั้นอุทานขึ้น
ทันทีที่ได้ยินหลัวเฉิงกล่าวเช่นนั้น สายตาของผู้คนก็จับจ้องไปยังโอสถสองเม็ดสีแดงเพลิงด้วยดวงตาที่เร่าร้อน
คนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่ ล้วนไม่เคยเห็นแม้แต่โอสถระดับสองดาวด้วยซ้ำ สำมะหาอะไรกับโอสถชั้นยอดระดับสองดาว!
หลินเซียวโค้งปากยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “นี่จะใช่โอสถชั้นยอดระดับสองดาวแน่หรือ! เท่าที่ข้ารู้โอสถระดับสองดาวนั้น จะต้องมีกลิ่นอายระดับสองดาวอยู่ด้วย”
“แม้โอสถที่เจ้านำออกมาจะดูดีไม่น้อย แต่ไยมันกลับไม่มีกลิ่นอายออกมาแม้แต่ดาวดวงเดียว นี่ต้องไม่ใช่โอสถอย่างแน่นอน!”
“หลัวเฉิง เจ้าเป็นถึงคุณชายของตระกูลหลัว ไฉนกลับมีนิสัยหลอกลวงผู้อื่นเช่นนี้ ช่างไร้ยางอายสิ้นดี”
โอสถชั้นยอดระดับสองดาวนั้นล้ำค่ามาก แม้แต่ผู้ที่มีฐานะนายน้อยคนรองของตระกูลหลินเช่นเขา ก็ยังไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะได้รับมัน!
หลินเซียวไม่มีทางเชื่อได้เลยว่า หลัวเฉิงจะสามารถนำโอสถล้ำค่าออกมาพร้อมกันมากถึงสองเม็ดได้
“เจ้าให้ข้าดูมันได้หรือไม่”
จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมกับชายชราที่กำลังเยื้องย่างเข้ามาใกล้
“นั่นเถ้าแก่ซูแห่งศาลาหลิงอวิ๋นมิใช่หรือ!” หนึ่งในนั้นจำชายชราผู้นี้ได้
เถ้าแก่ซูย่างเท้าเข้าหาหลัวเฉิง แล้วกล่าวอย่างสุภาพว่า “พ่อหนุ่ม ข้าขอดูโอสถเม็ดนั้นของเจ้าได้หรือไม่”
“ได้แน่นอนท่านผู้เฒ่า” หลัวเฉิงมอบโอสถผลึกทับทิมให้กับชายชราผู้นั้นทันที
เถ้าแก่ซูมองไปยังโอสถเม็ดสีแดงเพลิงอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้น คิ้วสีเทาของเขาก็แยกห่างออกเล็กน้อยแสดงสีหน้าตกตะลึง พร้อมกับส่งเสียงแปลกๆ ราวกับได้เห็นบางสิ่งอันน่าอัศจรรย์
หลังจากนั้นไม่นาน เถ้าแก่ซูก็ได้สติสัมปชัญญะกลับมาอีกครั้ง เขามองไปยังหลัวเฉิงแล้วกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่โอสถระดับสองดาวจริงๆ แม้แต่จะเรียกมันว่าโอสถก็ยังเป็นเรื่องลำบาก…”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หลินเซียวก็แสดงสีหน้าเยาะเย้ย เขามองไปยังหลัวเฉิงแล้วกล่าวว่า “เจ้าเพียงนำขยะออกมาชิ้นหนึ่ง แล้วพยายามหลอกลวงข้า…”
ขณะที่เขายังกล่าวไม่ทันจบ เถ้าแก่ซูก็กล่าวแทรกขึ้นว่า "อย่างไรก็ตาม นี่คือแก่นแท้ของโอสถวิญญาณที่มีคุณภาพสูงมาก ในแง่ของพลังนั้น มันไม่ได้ด้อยไปกว่าโอสถระดับสองดาวเลย!”
“มันมีร่องรอยของปราณไฟซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับหลอมกายา หากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหลอมกายาใช้มันทะลวงระดับ พลังของมันนั้นอาจเทียบเท่ากับโอสถระดับสามดาวด้วยซ้ำ!”
“เทียบได้กับโอสถระดับสามดาวงั้นหรือ!” หลายคนในนั้นอุทานแทบจะพร้อมกัน
สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังโอสถเม็ดสีแดงนั้น ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งความโลภที่ลุกโชติช่วง
ในนามของศาลาหลิงอวิ๋น หากเถ้าแก่ซูเป็นคนพูดเช่นนั้น ย่อมไม่มีทางผิดอย่างแน่นอน!
โอสถระดับสามดาวนั้น หนึ่งเม็ดมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าสองแสนตำลึง!