บทที่ 220 เหวินจิงอวี๋ถูกกล่าวหา
ข่าวคราวการตายของเหล่าวิญญาจารย์สำนักถัวหลัว ที่ถูกสังหารโหดภายในจวนเฉิงหลง แพร่สะพัดจนทำให้เกิดความวุ่นวายไปทั่วเมืองหลวง
ส่วนหยางเสี่ยวเทียน ก็ยังเพิกเฉยต่อโลกภายนอกไปโดยสิ้นเชิง มุ่งฝึกฝนเพลงกระบี่นับร้อยผู้เดียวอย่างเงียบๆ ในลานฝึกแห่งหนึ่งประจำสำนักเสินเจี้ยนสาขารอง
ซึ่งตอนนี้ เคล็ดวิชาจากกระบี่นับร้อยเขาได้ฝึกจนอยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว แต่สิ่งที่เขาต้องการคือฝึกมันจนบรรลุขั้นวรยุทธไร้เทียมทาน
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เขาหมั่นฝึกฝนทักษะจากเพลงกระบี่นับร้อย กระทั่งบรรลุขั้นวรยุทธไร้เทียมทานไปแล้วมากกว่าสามสิบทักษะ
ณ ลานฝึกยุทธ์ พลังปราณจากกระบี่ที่เขากวัดแกว่งล้วนแทรกซึมไปด้วยอากาศ บางครั้งมันก็สาดกระหน่ำลงมาประดุจสายฝน บ้างก็กระโชกแรงราวกับลมพายุก่อนแหวกว่ายรอบลานฝึกดุจมังกร และโบยบินดั่งหงส์เพลิง
หลังร่ายรำฝึกเพลงกระบี่อยู่ต่อสักพัก หยางเสี่ยวเทียนก็ผ่อนปรนการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วของท่วงท่าลง ก่อนที่สุดจะหยุดนิ่ง
หากลานฝึกยุทธ์ประจำสำนักเสินเจี้ยนสาขารองกว้างใหญ่กว่านี้อีกหน่อย เขาคงปลดปล่อยแรงออกมาใช้ฝึกมากเท่าที่ต้องการได้
ระหว่างหยางเสี่ยวเทียนยังคงยืนนิ่งอยู่กลางลานฝึกนั้น หลัวชิงที่ออกไปสืบข่าวภายในเมืองหลวง ก็กลับมารายงานสถานการณ์ปัจจุบันทุกเรื่องให้หยางเสี่ยวเทียนทราบ
แต่ก่อนที่หลัวชิงกำลังจากไป เขาก็รู้สึกว่ามีอีกเรื่องที่ควรรายงานให้หยางเสี่ยวเทียนทราบด้วย เขาลังเลอยู่ครู่ก่อนเปิดปากกล่าวว่า
“นายน้อย ข้ายังสืบทราบมาว่าเหวินจิงเทา กำลังหาทางกำจัดแม่นางเหวินจิงอวี๋ ให้พ้นออกจากรายชื่อผู้อาวุโส โดยหาเรื่องสร้างความเสียหายแก่นาง”
“ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ขบวนขนส่งสินค้าของสมาคมการค้าเฟิงยวินถูกปล้นไปแล้วหกครั้ง โดยเหวินจิงเทา ร่วมมือกับผู้อาวุโสหลายคนในสมาคมการค้า ใส่ร้ายแม่นางเหวินจิงอวี๋ว่านางต้องรับผิดชอบต่อการสมคบคิดกับพวกโจรเหล่านั้น”
“ร้องขอให้ผู้อาวุโสสูงสุดประจำสมาคม ถอดถอนนางออกจากตำแหน่งผู้อาวุโสและสั่งจำคุกนางเพื่อสอบสวนโดยละเอียดอีกครั้ง”
เมื่อหยางเสี่ยวเทียนได้ทราบเรื่องนี้ ใบหน้าเขาก็พลันเคร่งขรึม
ครั้งสุดท้ายที่เขาเผชิญหน้ากับพรรคดาบโลหิต เขาไม่เพียงได้กริชเทียนหลงอีกเล่มจากซากศพเจ้าผู้นำพรรคเท่านั้น แต่ยังพบบรรดาสาส์นของเหวินจิงเทาจำนวนมาก ที่ส่งให้พวกโจรชั่วเหล่านั้น
และนับว่าเป็นหลักฐานชั้นดี ซึ่งทำให้ทราบว่าขบวนขนส่งสินค้าของสมาคมการค้าเฟิงยวินที่ถูกปล้นนั้น เป็นฝีมือเหวินจิงเทา ผู้สมคบคิดกับพรรคดาบโลหิตกระทำสิ่งชั่วเอง
แต่โดยไม่คาดคิด เวลานี้เหวินจิงเทากลับกล้าใส่ร้ายเหวินจิงอวี๋ กล่าวหาว่านางร่วมมือกับพวกโจรชั่วเพื่อกระทำสิ่งนี้
“เหวินจิงเทา” หยางเสี่ยวเทียนหัวเราะเยาะ
เดิมที เขายังไม่มีความคิดจะจัดการเรื่องเหวินจิงเทาและเหวินซิ่วหลาน แม่สตรีที่มีดีเพียงหน้าอกใหญ่กว่าสมอง
แต่ในเมื่อสองคนนี้ ไม่หวั่นเกรงบทเรียนจากบรรดาพรรคดาบโลหิต กล้าเผยสันดานชั่วออกมาด้วยหมายจะทำลายผู้อื่น เพราะคิดว่าคงมิมีผู้ใดหมายหัวพวกตนอยู่กระมัง
ในเมื่อพวกเขาเสนอตัวเช่นนี้ เขาคงต้องสละเวลาอันน้อยนิด ไปเยี่ยมเยือนสมาคมการค้าเฟิงยวินเสียหน่อยแล้ว
“เหตุการณ์ตอนนี้ เป็นอย่างไรบ้าง” เขาถามหลัวชิง
“เพลานี้ ผู้นำอาวุโสสูงสุดของสมาคมการค้าเฟิงยวิน กำลังเรียกเหล่าผู้อาวุโสประชุมหารือเกี่ยวกับข้อกล่าวหา เรื่องที่แม่นางเหวินจิงอวี๋สมคบคิดกับพวกโจรขอรับ” หลัวชิงกล่าว
หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้า มองดูท้องฟ้าก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าจะไปเยือนสมาคมการค้าเฟิงยวิน ให้ท่านแจ้งผู้เฒ่าอูฉี ว่าอีกสักครึ่งชั่วยามค่อยตามไปพบข้าที่นั้น”
หลัวชิงได้ยินที่เขากล่าว จึงพลันเอ่ยแทรกทันที “นายน้อย ไฉนมิให้เราไปกับท่านด้วยเลย”
“มิเป็นไร ไม่ต้องห่วงข้า” หลังหยางเสี่ยวเทียนกล่าวจบ ร่างเขาก็เคลื่อนหายวับออกจากลานฝึก พร้อมหน้ากากหัวมังกรเลื่อนลงมาปกปิดใบหน้า
ณ โถงด้านในของสมาคมการค้าเฟิงยวินสาขาหลัก
เวลานี้เอง ผู้นำอาวุโสสูงสุดหรือประธานสมาคมการค้าเฟิงยวินอย่างเหวินเฟย ได้เรียกทุกคนมารวมตัวยังโถงหลักของสมาคม ซึ่งเหวินจิงเทา เหวินจิงอวี๋ พร้อมผู้อาวุโสคนอื่นๆ พร้อมนั่งประจำตำแหน่งตนเรียบร้อย
ภายในโถงหลัก ในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดเหวินเฟยนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือหน้าสุด ขณะเหวินจิงเทานั่งต่ำลงมาด้านข้างด้วยมีฐานะเป็นรองผู้อาวุโสประจำสมาคม ส่วนเหวินจิงอวี๋ ผู้เพิ่งเข้ารับตำแหน่งผู้อาวุโสนั่งอยู่ท้ายสุด
ทันทีที่เริ่มทำการไต่สวน เหวินจิงเทาก็หยิบสาส์นออกมาหันกล่าวกับเหวินเฟย “ท่านผู้นำสมาคม นี่คือหลักฐานที่แสดงว่าเหวินจิงอวี๋สมคบคิดกับโจรพวกนั้น ปล้นสินค้าทั้งหมดของเรา”
“ที่แผนการขนส่งของเรารั่วไหล เพราะนางคือผู้แจ้งข่าวสารเกี่ยวกับขบวนขนส่งสินค้าสมาคมเราให้พวกโจรเหล่านั้นทราบ”
“ทำให้ขบวนขนส่งสินค้าสมาคมเราถูกปล้นถึงหกครั้งในช่วงสองปีที่ผ่านมา ส่งผลเราให้สูญเสียทองไปเกือบล้านเหรียญ”
“ได้โปรดเถอะท่านผู้นำ สั่งจำคุกนางและให้นางชดใช้สิ่งของที่สมาคมการค้าเราสูญเสียไปทั้งหมดกลับมา”
หลังกล่าวจบ เขาก็ยื่นสาส์นทั้งหมดแสดงให้เหวินเฟยดู
แต่ยังไม่ทันที่เหวินเฟยจะเปิดอ่าน ผู้อาวุโสหนึ่งในนั้นก็พลันลุกขึ้น ชี้นิ้วไปยังเหวินจิงอวี๋พร้อมแผดเสียงดังกล่าวหานางด้วยความโกรธ
“เหวินจิงอวี๋ เจ้ายังเป็นคนตระกูลเหวินอยู่หรือไม่ ไฉนร่วมมือกับกลุ่มโจรเหล่านั้น คิดกระทำชั่วต่อสมาคม!”
“เจ้าทำให้สมาคมการค้าเรา ขาดทุนเกือบล้านเหรียญทอง บอกข้ามาเสีย ว่าไฉนเจ้าถึงทำเช่นนี้!”
บรรดาผู้อาวุโสหลายคนเริ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ถึงการกระทำที่เหวินจิงอวี๋ก็ยังไม่รู้ ว่านางไปทำหรือคิดร่วมมือกับคนชั่วเช่นนั้น ดั่งที่พวกเขากล่าวหาตั้งแต่เมื่อไร
ผู้อาวุโสสองคนที่เหลือยังคงเงียบ
ส่วนเหวินจิงอวี๋ เหลือบมองเหวินจิงเทาและคนอื่นๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนเผยปากกล่าวน้ำเสียงเย็นชากับเหวินจิงเทา
“ผู้ใดจะพิสูจน์ได้ ว่าสาส์นที่ท่านนำมาเป็นหลักฐานกล่าวหาข้า ท่านได้มาจากที่ใด”
“หากเป็นท่าน ผู้เขียนสาส์นปล่อยข่าวให้พวกโจรเหล่านั้นทราบถึงแผนการขนส่งสินค้า ท่านจะเขลาขนาดลงลายนามในสาส์น ที่อาจสาวถึงตัวการอย่างท่านด้วยหรือ”
ครั้นเหวินจิงเทาได้ยินสิ่งนี้ เขาก็ถึงกับสะดุ้งก่อนทันเปลี่ยนสีหน้าเกรี้ยวโกรธ ยกมือชี้นิ้วหมายตำหนิเหวินจิงอวี๋ขณะนางเอ่ยแทรก
“แค่เขียนสาส์นใส่ร้ายข้า โดยกล่าวหาว่าข้าเป็นผู้ปล่อยข่าวให้พวกโจรนั่น เพียงสิ่งนี้ ข้าก็เขียนสาส์นกล่าวหาว่าท่านเป็นผู้สบคบคิดกับโจรชั่วพวกนั้นได้เช่นกัน จริงหรือไม่”