ตอนที่17 เปิดหน้าต่างความสามารถส่วนตัว
หลังจากได้พักหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้น เอ็ดก็ได้พาคนอีก 4 คนขึ้นไปบนยานพิฆาตที่พาเขามาและออกเดินทางไปกับหลินฟ่านที่บัญชาการกองยานที่ 101
“ผู้บัญชาการคะ คุณจะติดต่อจักรวรรดิอ็อกซ์ยังไงคะ?”
ภายในยานธงของกองยานผสมที่ 101 เหลียงเสวี่ยมองไปที่หลินฟ่านและถามออกมา
เป็นความจริงที่ว่าภารกิจครั้งนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะไม่เคยมีการเจรจาการทูตระหว่างสหพันธ์กับจักรวรรดิอ็อกซ์มากก่อนและไม่มีช่องทางการติดต่อขอเจรจาเลย
หากกองยานมุ่งตรงไปยังดาวพฤหัสบดี บางทีมันอาจจะถูกยิงถล่มโดยกองยานของจักรวรรดิอ็อกซ์ทันทีที่ปรากฏและคงจะไม่มีโอกาศได้พูกคุยกัน
ดังนั้นวิธีการติดต่อขอเจรจาจึงเป็นหัวใจสำคัญของภารกิจนี้
“เราไม่จำเป็นต้องไปที่ดาวพฤหัสบดี ให้กองยานทั้งหมดมุ่งหน้าไปพื้นที่ 498”
“พื้นที่ 498?”
เหลียงเสวี่ยเปิดแผนที่ดาวของแถบดาวเคราะห์น้อยและเลื่อนไปยังพื้นที่ 498 ซึ่งอยู่ห่างจากฐานดาวอังคารประมาณ 4 AU (598,391,483 กิโลเมตร)และตั้งอยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี
แต่พื้นที่ 498 ไม่ใช่สถานที่ที่ดีนัก มันเป็นที่ที่กองยานที่สี่มักจะปะทะกับกองยานของอ็อกซ์
เป็นเหมือนเส้นแบ่งระหว่างสองฝ่าย
“ใช่ มุ่งหน้าไปที่นั่นเพราะมันเป็นพื้นที่ที่มีการสู้รบขนาดเล็กบ่อยครั้ง เราสามารถไปที่นั่นเพื่อหากองยานของฝ่ายตรงข้ามได้ง่ายขึ้น”
เหลียงเสวี่ยรู้สึกสับสนเล็กน้อย การไปที่นั่นมันเกี่ยวข้องอะไรกับภารกิจของเรา? ในพื้นที่นั้นทั้งสองฝ่ายจะยิงกันทันทีเมื่อพวกเขาเจอหน้ากันและไม่มีทางพูดคุยกันได้เลย
แม้ว่าคุณจะวิ่งเข้าไปในกองยานของฝ่ายตรงข้ามและส่งข้อความออกไป อีกฝ่ายก็คงไม่สนใจคุณอยู่ดีและจะโจมตีคุณด้วยเข้าใจมั้ย?
“ผมรู้ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ ผมขอถามคุณหน่อย ถ้าคุณทะเลาะกับใครซักคนแล้วอีกฝ่ายโกรธคุณจะทำให้อีกฝ่ายสงบสติอารมณ์และฟังคุณได้อย่างไร”
“ปราบเขาหรือแสดงความแข็งแกร่งของเราออกมา เพื่อที่เขาจะได้เข้าใจว่าการต่อสู้กับเราจะไม่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดี คุณคิดว่าไงคะ?”
“อืม ในที่สุดก็เข้าใจ”
หลินฟ่า มองไปที่ท่าทางความเข้าใจของเหลียงเสวี่ยที่เธอแสดงออกมาและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
เธอคนนี้มีรากฐานที่ดีแต่เหมือนเอ็มม่า เธอเข้มงวดเกินไปเธอจึงเป็นได้แค่ผู้ช่วย
เหลียงสวี่ยหากคุณต้องการเป็นผู้บัญชาการคุณต้องฝึกฝนให้ดี หลินฟ่านอดคิดไม่ได้เมื่อมองไปที่ เธอ
“จริงๆ แล้วพื้นที่ 498 นั้นค่อนข้างคล้ายกับพื้นที่ 279 ที่เราเคยต่อสู้มาก่อน ภูมิประเทศนั้นซับซ้อนและไม่เหมาะสำหรับกองยานขนาดใหญ่ที่จะผ่านเข้าไป นี่คือเหตุผลที่การปะทะระหว่างสองฝ่ายแต่ละครั้งมักจะเป็นกองยานขนาดเล็ก แล้วคุณไม่คิดว่ามันเหมาะมากสำหรับกองเรือของเราเหรอ”
"ก็อาจจะ!"
“เอาล่ะ ยังเหลือระยะทางอีก 4AU ด้วยความเร็ว 3000 กิโลเมตรต่อวินาทีและอีกเกือบ 40 ชั่วโมงกว่าจะถึง ผมจะไปนอนห้องกัปตัน ฝากงานที่นี่ด้วยล่ะ”
หลังจากพูดจบ หลินฟ่านก็ลุกขึ้นและเดินออกไปจากสะพานเดินเรือ ปล่อยให้เหลียงเสวี่ยงุนงง?
“ผู้บัญชาการ ทันทีที่ยานออกคุณก็ไปนอนเลยเหรอคะ?”
“อ้อ เพราะเพิ่งออกเดินทาง อย่างน้อยช่วง 2AU แรกของการเดินทางก็จะปลอดภัยระหว่างทาง ไปยังพื้นที่ 498 ครึ่งหลังผมจะไม่มีเวลาพักผ่อนเลยจำเป็นต้องมีพลังงานที่เพียงพอ โอเคหลังจาก 18 ชั่วโมง ผมจะมาเปลี่ยนกับคุณ”
หลินฟ่าน หันศีรษะเพื่ออธิบายและจากไป
โอเค มันค่อนค้างสมเหตุสมผล
เพราะถ้าพลังงานของเขาถูกใช้ไปในช่วงแรกของเส้นทางและมีบางอย่างเกิดขึ้นในช่วงหลัง มันอาจทำให้ผู้บัญชาการตัดสินใจผิดพลาดเพราะความเหนื่อยล้า
เหลียงเสวี่ยปลอบตัวเอง
ถ้าหลินฟ่านรู้ว่าเหลียงเสวี่ยคิดอะไรอยู่ เขาคงจะพูดอย่างแน่นอนว่าคุณคิดมากเกินไปแล้ว เพราะความสามารถของการสั่งการหลบหลีกของเขากำลังจะอัพเกรด เขาจึงต้องเข้านอนสักพัก อ่า... มันคือการฝึก
ท้ายที่สุดแล้ว ความสามารถในการสั่งการหลบหลีกของหลินฟ่านก็อยู่เพียงระดับ C เท่านั้น ถ้าเขาอัพเกรดมันเป็นระดับ B ความสามารถโดยรวมของเขาจะดีขึ้นมาก
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตลอดทาง กองยานแล่นไปไกลถึง 2AU ในขณะเดียวกัน หลินฟ่านก็ลืมตาขึ้นในห้องกัปตัน
[ติ้ง ขอแสดงความยินดีกับความสามารถของโฮสต์ในการสั่งการหลบหลีกได้รับการปรับปรุงแล้ว ระดับปัจจุบันคือระดับ B มอบรางวัล: การพัฒนาสมอง 2%]
[ติ้ง ยินดีด้วยที่ความสามารถในการสั่งการหุ่นรบของโฮสต์ได้รับการปรับปรุงแล้ว
ระดับปัจจุบันคือระดับ B มอบรางวัล: การพัฒนาสมอง 2%]
[ติ้ง ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ที่บรรลุความสามารถทั้งหมดในระดับ B กลายเป็นผู้บัญชาการระดับ 2 ได้รับรางวัลที่ซ่อนอยู่: ความสามารถในการขับหุ่นรบและระบบจะเปิดแถบความสามารถส่วนตัวขึ้น]
"ระบบ เปิดแผงคุณสมบัติ"
ผู้ถือครอง: หลิน ฟาน
พละกำลัง: 350
ความว่องไว: 350
การตอบสนอง: 350
ความแข็งแกร่งทางกายภาพ: 350
จิตใต: 350
ไอคิว: 380
(คนปกติมีคุณสมบัติ 50-100)
อายุไข: 500 ปี
การพัฒนาสมอง: 24% (ก่อนหน้า: 20% )
ความสามารถในการบัญชาการ: สั่งการปืนใหญ่ (B), สั่งการหลบหลีก (B), สั่งการแปรรูปขบวน (A), สั่งการหุ่นรบ (B)...
ความสามารถส่วนตัว : ขับหุ่นรบ (B)
ภารกิจที่ 1: ทำลายยานรบของอารยธรรมอ็อกซ์ 500 ลำ ปัจจุบัน 208/500
(รางวัล เทคโนโลยีโล่พลังงาน)
ภารกิจที่ 2: ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นยศ ‘นายพล’ (รางวัล เทคโนโลยียาปรับสภาพยืนเบื้องต้น)
ด้วยการพัฒนาสมองที่เพิ่มขึ้น 4% หลินฟ่านรู้สึกได้ทันทีว่าจิตใจของเขาแจ่มใสขึ้นและความคิดของเขาก็เร็วขึ้น
"ดีมาก ในที่สุดฉันก็แซงหน้าเหลียงเสวี่ยแล้ว การพัฒนาสมองของคนมีระบบไม่สูงเท่าคนปกติ เรื่องนี้ยอมรับไม่ได้จริงๆ"
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่หลินฟ่าน จะมีความสุข จู่ๆ ข้อมูลจำนวนมากก็เริ่มเข้ามาในสมองของเขา และหลินฟ่านก็รู้สึกว่าหัวของเขากำลังจะระเบิด
เขาเพิ่งจำได้ว่าระบบให้รางวัลความสามารถใหม่ การขับหุ่นรบ...
เมื่อใดก็ตามที่ความสามารถใหม่ถูกรวมเข้ากับร่างกาย เพราะมันเปลี่ยนจากทำไม่เป็นเลยเป็นทำได้อย่างช่ำชอง ทำให้ระบบจะส่งข้อมูลจำนวนมากเข้าสู่สมองของหลินฟ่านโดยตรง
เป็นความรู้สึกเปรี้ยวอมหวาน เพราะเขาไม่ได้สัมผัสมันมานานกว่าหนึ่งปี หลินฟ่านก็เกือบลืมสิ่งนี้ไปแล้ว
สำหรับการปรับปรุงความสามารถที่มีอยู่ ทำไมถึงไม่เป็นแบบนี้งั้นเหรอ? นั่นเป็นเพราะว่าไม่ใช่ระบบที่ช่วยให้หลินฟ่านปรับปรุงทักษะของเขาได้ แต่หลินฟ่านปรับปรุงมันด้วยตัวเองในการฝึกจำลองอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจี ไม่จำเป็นต้องให้ระบบปลูกฝังข้อมูลให้
สามนาทีต่อมา หลินฟ่าน ผู้ซึ่งได้รับข้อมูลทั้งหมดแล้ว ได้อ่านข้อมูลการขับหุ่นรบในสมองของเขา และหลินฟ่านก็มั่นใจว่าความสามารถในการขับหุ่นรบในปัจจุบันของเขาอย่างน้อยก็เทียบได้กับหน่วยหุ่นรบชั้นยอดของสหพันธ์
แต่เขาเป็นผู้บัญชาการ ตัวเขาจะต้องการความสามารถในการขับหุ่นรบไปเพื่ออะไร?
[ติ้ง เนื่องจากความคิดของโฮสต์นั้นอันตราย ระบบจะให้คำอธิบายพิเศษ ระบบนี้เป็นระบบผู้บัญชาการ ไม่ใช่ระบบผู้บัญชาการกองยาน โฮสต์โปรดอย่าสับสน]
[ติ้ง โฮสต์คิดว่าผู้บัญชาการหน่วยหุ่นรบไม่ใช่ผู้บัญชาการเหรอ ไม่ต้องการความสามารถในการขับหุ่นรบเหรอ?]
“ขอโทษๆ ฉันผิดเอง!”
หลินฟ่านส่ายหัวและพูดอย่างช่วยไม่ได้ แต่เขาก็ยอมรับว่าสิ่งที่ระบบพูดนั้นไม่ผิด
ทักษะแบบนี้ก็ดีกว่าไม่มีเลยและมันไม่มีอันตรายใดๆ
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น หลินฟ่านก็กลับไปที่สะพานเรือและมาหาเหลียงเสวี่ยซึ่งนั่งอยู่ที่ที่นั่งกัปตัน แต่เขาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง
หลินฟ่านจ้องมองฉากตรงหน้าเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
เหลียงเสวี่ยเปิดหน้าจอเสมือนขึ้นมาและกำลังวาดอะไรบางอย่างอยู่ ในขณะที่วาดเธอยังยิ้มเล็กน้อยอีกด้วย! รอยยิ้มนี้ช่างอัศจรรย์มาก จนทำให้หลิงฟ่านนึกถึงตอนหนึ่งในบทกวีโบราณความว่าสาววิมลหกวังในไร้สิรี![1]
หลังจากที่เห็นเหลียงเสวี่ยเขามองลงไปและเห็นว่าเธอกำลังวาดภาพอะไรบางอย่างอยู่
หน้าของหลินฟ่านมืดลงทันที!
[1] สาววิมลหกวังในไร้สิรี; อยู่ในหนังสือ’สี่ยอดหญิงงามผู้พลิกประวัติศาสตร์จีน’ เนื้อหาหลักในเล่มเป็นประวัติและวีรกรรมของผู้หญิงสวยโคตรสี่คนที่มีบทบาทสำคัญอยู่ในประวัติศาสตร์จีน โดย ประโยค ‘สาววิมลหกวังในไร้สิรี’ คือกวีที่บรรยายความงามของหยางกุ้ยเฟย พระมเหสีลำดับที่สองรองจากฮองเฮาในพระเจ้าถังสวนจง ฮ่องเต้ช่วงปลายราชวงศ์ถัง