ตอนที่16 เอ็ด แคมป์เบลล์
ณ ฐานดาวอังคาร ผ่านมาสามวันแล้วนับตั้งแต่การซุ่มโจมตีครั้งสุดท้ายในแถบดาวเคราะห์น้อย
ในขณะนี้หลินฟ่านกำลังนำเหลียงเสวี่ยไปรอที่บริเวณท่านเทียบยานของซิงกัง เพราะเพิ่งมีการติดต่อมาว่ายานที่สมาชิกทีมเจรจาใช้เดินทางมาได้มาถึงแล้ว
ในไม่ช้า ยานพิฆาตก็มาจอดที่ท่าเทียบยาน
อย่างไรก็ตาม เมื่อหลินฟ่านเห็นคนที่เป็นผู้นำเดินลงมา เขาก็รู้สึกคุ้นๆ
เดี๋ยวนะ ถ้าลองคิดดู ฉันเคยเขาบนทีวีบ่อยๆไม่ใช่เหรอ เอ็ด-แคมป์เบลล์?
เดาว่าพวกเขาน่าจะเป็นคนในครอบครัวเดียวกันกับเอ็มม่า หลินฟ่านคิดในใจ
เอ็ดพาคนอีกสี่คนเดินลงบันไดยานและหลินฟ่านก็พาเหลียงเสวี่ยไปทักทายเขา
“สวัสดีครับ ผมชื่อหลินฟ่าน ผู้บัญชาการหน่วยเฉพาะกิจที่101 และนี่คือผู้ช่วยของผม เหลียงเสวี่ยหลินฟ่านเหยียดมือขวาออกไปเพื่อแนะนำ
“ไอ้หนู เธอพูดอะไรกัน เธอลืมไปแล้วว่าฉันเป็นใครหลังไม่ได้เจอกันแค่ 19 ปี? ฉันเคยอุ้มเธอตอนเกิดนะ”
หน้าของหลินฟ่านมืดลง คุณถามว่าผมลืมคุณไปแล้วหรือเปล่าหลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ามา19 ปี?
ขอร้องล่ะ ผมอายุ 19ปี นะ
งั้นครั้งเดียวที่ผมเห็นคุณ ไม่ใช่ว่าคือตอนที่ผมเพิ่งเกิดเหรอ จะมีมนุษย์คนไหนจำได้กัน?
หลินฟ่านอดไม่ได้ที่จะบ่นอยู่ในใจ สมองของลุงคนนี้ค่อนข้างที่จะ...
“เอาล่ะ ใจเย็นๆ ฉันล้อเล่นน่ะ ฉันชื่อเอ็ด แคมป์เบลล์ ฉันเป็นผู้นำทีมเจรจาในครั้งนี้ พวกเขาทั้งสี่คนเป็นลูกน้องของฉัน อีกอย่าง ที่ฉันเคยอุ้มเธอตอนเธอเกิดนี่เป็นเรื่องจริงนะ”
“เอ่อ...ก็ได้ครับลุงเอ็ด!”
"ตอนนี้เธอเรียกได้ถูกต้องแล้ว!"
เมื่อเห็นว่าหลินฟ่านเรียกชื่อเขาอย่างมีสติ เอ็ดก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“ยังไงก็เถอะครับ ลุงเอ็ด ผมอยากถามอะไรลุงหน่อยว่า เอ็มม่า แคมป์เบลล์แห่วิทยาลัยการทหารระหว่างดวงดาวเป็นครอบครัวเดียวกับลุงหรือเปล่า”
"ครอบครัวอะไร เอ็มม่าคือลูกสาวของฉัน ทำไมเธอถึงรู้จักลูกสาวฉัน!"
“เอ่อ...ครับ พวกเราอยู่ห้องเดียวกันครับ เห็นลุงนามสกุลแคมป์เบลเหมือนกัน ผมเลยสงสัยว่าพวกคุณมาจากครอบครัวเดียวกันหรือเปล่า”
“แค่นั้นแหละ เดี๋ยวก่อนนะ ฉันจำได้ว่าเมื่อสองสามปีก่อน ลูกสาวของฉันดูเหมือนจะบอกว่ามีใคร บางคนในชั้นเรียนที่เอาแต่เล่าเรื่องตลกเห่ยๆให้เธอฟังใช้ไหมนะ?”
“เอ่อ...นั่นไม่ใช่ผมแน่ๆ!”
หลินฟ่านปฏิเสธอย่างไร้ยางอาย เมื่อก่อนตอนหลินฟ่านเพิ่งเข้าสู่วิทยาลัยการทหารระหว่างดวงดาว เขาพบสาวสวยคนหนึ่งชื่อเอ็มม่า
แต่สาวงามคนนี้เย็นชาเหมือนกับภูเขาน้าแข็ง แน่นอนดีกว่าเหลียงเสวี่ยที่ยืนอยู่ข้างหลินฟ่านตอนนี้ ดังนั้นหลินฟ่านที่ไร้ยางอายจึงวิ่งไปหาเธอทั้งวันและเริ่มเล่าเรื่องตลกไร้สาระ ตอนแรกเอ็มม่ารู้สึกรำคาญเมื่อเห็นหลินฟ่าน
แต่พอมีคนมาคุยอยู่ข้างคุณทุกวันตลอดสองปี...
ผลที่ได้คือหลังจากผ่านไปมากกว่า 2 ปี หลินฟ่านได้บิดเบือนบุคลิกของเอ็มม่าอย่างมาก แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่สามารถเล่าต่อหน้าเอ็ด แคมป์เบลล์ได้
“ฉันก็คิดแบบนั้น เธอดูไม่เหมือนคนแบบนั้นเลย”
“ใช่ครับลุงเอ็ด!”
สีหน้าของเหลียงเสวี่ยที่ด้านข้างกระตุกเล็กน้อย แต่ไม่มีใครสังเกตสิ่งที่เหลียงเสวี่ยกำลังคิดอยู่มนตอนนี้
เธอคิดว่าคนคนนั้นต้องเป็นหลินฟ่านแน่นอน...
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นแล้วพาฉันไปพบองค์ชายเก้าก่อน ฉันต้องเข้าใจความสำคัญของเขาต่อ จักวรรดิอ็อกซ์ก่อน ฉันจึงจะสามารถกำหนดกลยุทธ์การเจรจาได้”
“ตกลงครับ ลุงเอ็ดตามผมมา!”
หลินฟ่านนำเอ็ดไปที่ห้องขังขณะที่เหลียงเสวี่ยก็เดินตามพวกเขาไป
“ฉันขอบอกเลยนะเสี่ยวหลิน ผู้ช่วยเธอดูเย็นชาเกินไป!”
“ลุงเอ็ดก็คิดเหมือนกันใช่ไหมครับ ผมพยายามดัดนิสัยของเธอแล้วแต่ยังทำไม่สำเร็จ!”
“เพื่อรับมือกับคนประเภทนี้ เธอต้องคุยกับเขาทุกวัน”
“ใช่ครับ ผมเก่งเรื่องนี้ ผมคุยได้เรื่อยๆทุกวันโดยไม่ซ้ำ...”
เดี๋ยวก่อน ดูเหมือนฉันจะโดนหลอก?
แปะ..........
หลินฟ่านรู้สึกได้ทันทีถึงมือที่ตบลงบนไหล่ของเขา
หลังจากหันศีรษะช้าๆ เขาก็พบว่าเอ็ด แคมป์เบลล์กำลังยิ้มให้เขา แต่ทำไมรอยยิ้มนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
“ลุงเอ็ด นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด...”
“ยังไม่ต้องพูดตอนนี้ โฟกัสที่ภารกิจนี้ก่อน พอฉันกลับมา ฉันคิดว่าเราคงต้องจับเข่าคุยกันแล้วล่ะ...”
นอกจากนี้เหลียงเสวี่ยซึ่งฟังอยู่ตลอดเวลาก็กระตุกที่มุมปากของเธอ จะเห็นว่าเธอพยายามอดทนอย่างหนัก
เหลียงเสวี่ยเกือบจะโพล่งออกมาเมื่อได้ยินว่าพวกเขาพูดว่าเธอเย็นซาเกินไปในตอนแรก แต่การบทสนทนาต่อมาก็ทำให้เธอแทบจะควบคุมเสียงหัวเราะของเธอไม่ได้
โชคดีที่ในฐานะภูเขาน้ำแข็ง เธอยังคงมีทักษะพื้นฐานที่ดีในการจัดการความรู้สึก แต่เธอก็ต้อง อดทนกับมันเล็กน้อย
หลินฟ่านมองไปที่เอ็ด แคมป์เบลล์ด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว แน่นอนว่าผู้ที่รับผิดชอบการเจรจาครั้งนี้คือสุนัขจิ้งจอกเฒ่าที่น่าปวดหัวคนนี้ ไม่นานทั้งสามก็มาถึงห้องขัง
“ลุงเอ็ดเรามาถึงแล้ว เปิดประตู!”
"รับทราบ!"
ยามในห้องขังวิ่งเหยาะๆ มาเปิดประตูให้ทั้งสามคน หลังจากที่ทั้งสามเดินเข้าไป พวกเขาก็เห็นร่างคล้ายมนุษย์ถูกขังอยู่ในห้องเดี่ยว แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์แต่ก็ยังมีความแตกต่างจากมนุษย์มาก พวกเขามีเขาสองอันบนหัว บางคนก็ดูเหมือนกระทิงที่มีผิวสีแดงและบางคนก็ดูเหมือนปีศาจในตำนานของมนุษย์
เอ็ดไม่แปลกใจกับร่างกายดอร์เรน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มนุษย์จับตัวอ็อกซ์ไปเป็นเชลย ลักษณะทางกายภาพนี้ไม่น่าแปลกใจอีกแล้ว
เขาเดินไปและยืนพูดอยู่หน้าประตูห้องขัง
"โอ้ ท่านคือองค์ชายเก้าแห่งจักรวรรดิอ็อกซ์ใช่หรือไม่"
"แกเป็นใคร?"
“ผมงั้นเหรอ ผมชื่อเอ็ด แคมป์เบลล์ อีกสักครู่ผมจะไปเจรจากับฝ่ายของท่าน มีอะไรที่อยากให้ดำเนินการไหม”
“แกต้องการใช้ฉันเป็นเครื่องต่อรองในการเจรจางั้นรึ”
"โอ้ ฉลาดดีนิ!"
อย่าคิดว่าดอร์เรนที่เป็นผู้บัญชาการมือใหม่ระหว่างสงครามนั้นโง่ เพราะเขามีประสบการณ์ด้านการเมืองมาก ท้ายที่สุดเขาได้เข้าร่วมเจรจาหลายครั้งกับอารยธรรมอื่นๆในนามของ
จักรวรรดิอ็อกซ์
นอกจากนี้ดอร์เรนยังยังได้รับความสนใจจากองค์จักพรรดิแห่งจักวรรดิอ็อกซ์ อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้มาตั้งแต่เกิด เขาจะไม่เข้าใจว่าเอ็ดกำลังจะทำอะไรได้อย่างไร?
“อย่าเสียเวลากับฉันเลย ฉันเป็นองค์ชายที่ได้รับความโปรดปรานน้อยที่สุด ไม่งั้นฉันก็คงจะไม่ถูกโยนไปแนวหน้าเพื่อบัญชาการกองยานขนาดเล็กแบบนี้”
"ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ!"
เอ็ดหันศีรษะและพูดอะไรบางอย่างกับหลินฟ่านแล้วเดินออกไป เหลียงเสวี่ยมีเครื่องหมายคำถามมากมาย พวกคุณกำลังทำอะไรกัน?
หลังจากเดินออกจากห้องขัง เอ็ดมองไปที่เหลียงเสวี่ยและพูดกับหลินฟ่าน
“ดูเหมือนผู้ช่วยของเธอจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้นะ! เธอช่วยอธิบายให้เขาฟังหน่อยได้ไหม”
“จริงๆแล้วมันง่ายมากๆ อย่างแรกเลย จากเพียงไม่กี่ประโยคเธอจะเห็นได้ว่าองค์ชายเก้าไม่โง่ ตรงกันข้าม เขาเป็นคนฉลาดมากและเขารู้แผนการทางการเมืองเป็นอย่างดี ดังนั้นการถามคำถามมากกว่านี้ก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไร”
“อย่างที่สอง เราได้ข้อมูลสำคัญมาแล้ว ตอนที่เขาบอกพวกเราว่าอย่าเสียเวลากับเขาเพราะเขาเป็นองค์ชายที่มีได้รับความโปรดปรานน้อยที่สุด ตาของเขาลอยไปทางซ้ายและมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติบางอย่างในมือของเขา ดังนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าเขากำลังโกหกอยู่”
“ไม่เพียงแต่องค์ชายเก้าคนนี้จะเป็นที่โปรดปราน แต่ยังเป็นที่โปรดปรานอย่างยิ่งด้วย เขาอาจจะเป็นองค์ชายคนโปรดของจักรพรรดิแห่งจักวรรดิอ็อกซ์!”
ทำไมนายสามารถบอกอะไรได้เยอะแยะจากคำพูดไม่กี่คำกัน?
พวกคุณสองคนเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า?
ในขณะที่ตกใจ เหลียงเสวี่ยก็ได้แต่คิดอยู่ในใจของเธอ