ตอนที่ 23 ทหารกลายเป็นขุนนาง
จางเหลาอู่เป็นทหารเก่าจากเหลี่ยวเจิ้นเขาสูญเสียขาขวาในการต่อสู้กับคนเถื่อนทางเหนือ จางเหลาอู่ต้องลาออกจากกองทัพ เขามีภรรยาและลูกสามคนที่บ้าน ด้วยสภาพเดินกะเผลก เขาจึงทำงานภาคสนามได้ไม่ดีนัก
ฤดูหนาวในเหลี่ยวเจิ้นนี้มาถึงเร็ว และครอบครัวของเขากำลังดิ้นรนเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ ทุกวันจางเหลาอู่จะนั่งอยู่หน้าประตูบ้านและสูบยาสูบ แต่ไม่นานสหายของเขาก็นำข่าวดีมาให้! ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้แต่งตั้งทหารพิการในเหลี่ยวเจิ้นเป็นเสมียนในมณฑลใกล้เคียง
เมื่อทูตอ่านราชโองการ จางเหลาอู่ก็น้ำตาไหล! พระองค์ทรงเมตตา! ทหารทุกคนในเหลี่ยวเจิ้นต่างแซ่ซ้องสรรเสริญพระกรุณาของพระองค์!
สำหรับทหารธรรมดาเหล่านี้ การเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยนั้นอยู่นอกเหนือความฝันของพวกเขา แม้ว่าสถานะของเสมียนจะต่ำกว่าขุนนางที่มีขั้นมาก แต่ในราชวงศ์ต้าเฉียนในปัจจุบัน ตำแหน่งเสมียนถูกผูกขาดโดยชนชั้นสูงในท้องถิ่น ทหารธรรมดาเหล่านี้ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะเป็นได้
ส่วนทหารที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเมื่อเห็นว่าราชสำนักปฏิบัติต่อทหารที่บาดเจ็บอย่างดีก็มีกำลังใจมากขึ้น จางเหลาอู่เริ่มเดินทางไปสู่มณฑลจิน เขาถูกจัดให้อยู่ในเทศมณฑลเล็กๆ(อำเภอ)ในมณฑลจิน และได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ปกครอง ในเทศมณฑลของราชวงศ์ต้าเฉียน มีเพียงสองคนที่มีสถานะเป็นขุนนางข้าราชการมียศ หนึ่งคือปลัดอำเภอ อีกหนึ่งคือนายอำเภอ
นายอำเภอดูแลทั้งเทศมณฑลและมักเรียกกันว่า " ไป่ลี่กง" นายอำเภอมีหน้าที่รับผิดชอบด้านการศึกษาในท้องถิ่นและดูแลการสอบคัดเลือกในท้องถิ่น ตำแหน่งอื่นเป็นเสมียน หัวหน้าเสมียนทำหน้าที่เป็นปลัดอำเภอ จัดการงานธุรการของสำนักเทศมณฑล
ตำแหน่งนี้มักจะเต็มไปด้วยผู้ช่วยที่เชื่อถือได้ของสำนักปกครอง และมีอำนาจสำคัญในสำนักงานเทศมณฑล ถัดมาคือซือถูประจำเทศมณฑล(ตำรวจที่ดูแลเรื่องของพลเรือน) ซึ่งรับผิดชอบในการรักษาความสงบเรียบร้อยของพลเรือน จับกุมหัวขโมย และสืบสวนอาชญากรรม
ถัดลงมาคือสำนักงานทั้งสี่แห่งของเทศมณฑล ซึ่งสอดคล้องกับกรมทั้งสี่ที่จัดตั้งขึ้นโดยี่ชสำนัก กรมขุนนางมีหน้าที่ประเมินขุนนางของเทศมณฑล กรมการคลังใช้จ่ายและการเก็บภาษีของเทศมณฑล กรมโยธาเป็นผู้บริหารจัดการโครงการก่อสร้างของราชสำนัก กรมยุติธรรมควบคุมเรือนจำประจำเทศมณฑลและรับผิดชอบในการจับกุมและสอบปากคำอาชญากร
หัวหน้าสำนักงานทั้งสี่แห่งนี้ยังเป็นเสมียนและได้รับเงินเดือนจากราชสำนัก ด้วย ผู้ช่วย(จ่าง)ในสำนักงานเหล่านี้ไม่ถือว่าเป็นเสมียน พวกเขาเป็นคนในท้องถิ่นที่ใช้แรงงาน แม้ว่างานเหล่านี้ถือว่ามีกำไรงาม แต่ ผู้ช่วยเหล่านี้จำนวนมากก็มาจากครอบครัวผู้ดีในท้องถิ่นเช่นกัน
ในบรรดาผู้ที่เข้ารับตำแหน่งร่วมกับจางเหลาอู่คือหัวหน้ากรมคลังท้องถิ่น เขาเป็นทหารแก่ที่สูญเสียดวงตา และเขารู้จักจางเหลาอู่ ชายทั้งสองได้รับมอบหมายให้อยู่ในเขตเดียวกัน พวกเขาทั้งสองยินดีที่ได้เป็นร่วมมือกันในความพยายามครั้งใหม่นี้
นายอำเภอให้การต้อนรับพวกเขาเป็นอย่างดีและไม่เลือกปฏิบัติต่อพวกเขาเนื่องจากความพิการ แต่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกลับไม่เป็นมิตรนัก จางเหลาอู่ไม่ได้สนใจ การได้รับการแต่งตั้งให้เป็นปลัดอำเภอถือเป็นพระคุณจากจักรพรรดิ
จางเหลาอู่ซึ่งมาจากภูมิหลังที่ต่ำต้อยเคยต่อสู้กับพวกเถื่อนทางเหนือในสนามรบและไม่สนใจเตระกูลใหญ่และชนชั้นสูงในท้องถิ่น สิ่งที่ทำให้จางเหลาอู่หงุดหงิดมากกว่าคือกลุ่มการค้าต่างๆ ในพื้นที่
มณฑลจินเป็นเขตการค้าขายมาโดยตลอด อย่างไรก็ตามกลุ่มการค้าเหล่านี้แลกเปลี่ยนซื้อขายกับพวกคนเถื่อนทางเหนือ ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับที่ทำให้จางเหลาอู่ต้องสูญเสียขาของเขาในสนามรบ เขาเกลียดชังคนเถื่อนทางเหนือเหล่านี้อย่างสุดซึ้ง!
คนที่นี่กำลังค้าขายกับคนเถื่อน! จางเหลาอู่ทนไม่ได้! อย่างไรก็ตามเขารู้ว่าตอนนี้เขาไม่มีอำนาจที่จะเผชิญหน้ากับพ่อค้าเหล่านี้
ในขณะเดียวกันในคณะเสนาบดี เสนาบดีอู่กำลังร้องเรียนต่อราชเลขาหลิน
“ท่านหลิน เราจะปล่อยไปแบบนี้ต่อไปไม่ได้!”
“มีเรื่องอะไรหรือใต้เท้าอู่?”
“ท่านราชเลขา ทหารพิการกว่าหมื่นคนจากเหลี่ยวเจิ้นถูกแต่งตั้งเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยในพื้นที่ใกล้เคียง และกรมคลังก็รับมือไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”
หลินเจี้ยนเฉิงมองเห็นได้ชัดเจน พื้นที่ชายแดนเหล่านี้ไม่สามารถเลี้ยงตัวเองด้วยภาษีของตนเองได้ ไม่ต้องพูดถึงเงินเดือนของเจ้าหน้าที่จำนวนมาก ตำแหน่งงานว่างในระยะยาวในพื้นที่เหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการขาดความคน แต่เป็นเพราะท้องถิ่นไม่สามารถสนับสนุนเจ้าหน้าที่จำนวนมากได้ จึงทำให้ตำแหน่งงานว่างจำนวนมาก
เมื่อมีเจ้าหน้าที่เพิ่มมาจำนวนมากพร้อมกัน หัวหน้าภูมิภาคต่างๆ ต่างก็เรียกร้องเงินจากกรมคลังอย่าง ล้นหลาม นี่คือผลลัพธ์!
หลินเจี้ยนเฉิงจิบชาแล้วพูดว่า "ใต้เท้าอู่ แล้วการจัดเก็บภาษีการค้าล่ะ?"
เสนาบดีอู่ถึงกับผงะ “ภาษีการค้า?”
"พื้นที่ชายแดนหลายแห่งทำการค้าขายกับพวกคนเถื่อน แทนที่จะปล่อยให้พวกเขาเจริญรุ่งเรือง ทำไมไม่เก็บภาษีการค้าจากพวกเขาล่ะ ด้วยเงินจำนวนนี้ เราจะสามารถบรรเทาความกดดันต่อกรมคลังได้”
เสนาบดีอู่คิดอยู่ครู่หนึ่งและตระหนักว่านี่อาจเป็นทางออกเดียว หลินเจี้ยนเฉิงจัดทำจดหมายเหตุทันที: "นี่คือจดหมายเหตุที่ข้าร่างไว้ ท่านเสนาบดีอู่โปรดลงนามด้วย"
สรุปว่าราชเลขาได้วางแผนไว้แล้วและรอเขาอยู่แล้ว! อย่างไรก็ตามเสนาบดีไม่เวลามาเจรจามากนัก เขาลงนามทันที
ในไม่ช้าจดหมายเหตุนี้ก็ถูกส่งไปยังเกาหลิงเฟิง เกาหลิงเฟิงผู้ซึ่งหมกมุ่นอยู่กับจักรพรรดินี ไม่สนใจที่จะดูคำอธิบายประกอบของหลินว่านเอ๋อร์ด้วยซ้ำ ทันทีที่เขาเห็นว่าเป็นจดหมายเหตุของหลินเจี้ยนเฉิงเขาก็อนุมัติทันที
ภายใต้แสงเทียนที่ริบหรี่หลินว่านเอ๋อร์สวมชุดวังสีทองรัดรูปกำลังบดหมึกอย่างละเมียดละไม จิตใจของเกาหลิงเฟิงก็สั่นคลอนตามแสงเทียนไปด้วย
ในช่วงเวลานี้ ท่าทางสูงส่งและสง่างามของจักรพรรดินียิ่งดูชัดเจนมากขึ้น พร้อมกลิ่นอายเสน่ห์ของผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงสง่างามที่ไม่ค่อยยิ้มคนนี้ เกาหลิงเฟิงมักจะล้อนางทำให้นางเขินเกินกว่าจะเงยหน้าขึ้น
เกาหลิงเฟิงอนุมัติจดหมายเหตุอย่างรวดเร็ว และดึงหลินว่านเอ๋อร์ที่โถงด้านหลัง