บทที่ 65 ย้ายไผ่หยกเขียว จือเวยปิดตัวหลอมอาวุธ
"พวกเรารีบเร่งเวลาเถอะ พยายามขนไผ่วิเศษกลุ่มนี้ให้เสร็จก่อนค่ำ"
ลู่ฉางเฟิงในฐานะหัวหน้าทีม หันไปพูดกับเช่อชิงชิง
"เช่อชิงชิง เป้าหมายที่เรามาครั้งนี้ ก็คือการนำไผ่หยกเขียวกลุ่มนี้กลับไปย้ายปลูกที่นิกายให้ครบ เจ้าถือว่าเป็นครึ่งหนึ่งของผู้เพาะปลูกพืชวิญญาณ รู้วิธีขุดไผ่หยกเขียวพวกนี้"
"เจ้าลองสำรวจดูก่อน มีเรื่องอะไรที่ต้องระวังก็บอกพวกเรา แล้วพวกเราจะได้ช่วยเจ้าขุดได้ถูก"
ผู้เพาะปลูกพืชวิญญาณ อาชีพนี้เป็นหนึ่งในร้อยศาสตร์แห่งเซียน เชี่ยวชาญในการดูแล ย้ายถิ่น และบ่มเพาะพืชวิญญาณต่างๆโดยเฉพาะ
อย่างเช่นต้นท้อวิเศษ จริงๆแล้วก็อยู่ในความชำนาญของผู้เพาะปลูกพืชวิญญาณ แต่ต้นท้อวิเศษจากระบบเพาะปลูกได้ง่าย ปล่อยให้เช่อชิงชิงดูแลก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ผู้เพาะปลูกพืชวิญญาณลงมือ
ผู้เพาะปลูกพืชวิญญาณที่เก่งกาจ แม้แต่การหลอมยาก็เข้าใจมากพอสมควร จะนำการหลอมยาไปพัฒนาเป็นอาชีพรองด้วย
ในทางกลับกัน ผู้หลอมยาก็รู้เรื่องพืชวิญญาณไม่น้อย ย่อมก้าวก่ายเข้าไปในวงการนี้บ้าง
ผู้หลอมยากับผู้เพาะปลูกพืชวิญญาณ สองอาชีพนี้ ในยุคโบราณจริงๆแล้วมาจากสายเดียวกัน ต่อมาผ่านการพัฒนาเปลี่ยนแปลงนับล้านปี ก็ค่อยๆแยกย่อยออกเป็นสองอาชีพนี้
เช่อชิงชิงรู้วิธีเพาะปลูกพืชสมุนไพรวิญญาณส่วนใหญ่ในชั้นที่ 1-2 ให้นางย้ายไผ่หยกเขียวยังพอทำได้ แต่การหลอมยานั่นสิ...ยังขาดความชำนาญไปหน่อย
บางที ในอนาคตเมื่อเรียนรู้จนชำนาญแล้ว พอถึงตอนที่ลู่ผิงออกจากการปิดตัวฝึกตน เช่อชิงชิงอาจจะลองหลอมยาได้แล้วก็ได้
อย่างไรก็ต้องมีกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาอยู่แล้ว
"อืม ท่านอาวุโสวางใจได้ ข้าจะดูสภาพการเติบโตของไผ่หยกเขียวพวกนี้ให้ดีก่อน"
เช่อชิงชิงพยักหน้า แล้วก็รีบไปตรวจสอบสภาพการเติบโตของไผ่หยกเขียวทันที
โดยทั่วไปแล้ว การเติบโตของพืชวิญญาณมักจะมาพร้อมกับการเกิดแมลงวิญญาณ ยากจะหลีกเลี่ยงการถูกแมลงรบกวนได้
ปริมาณปราณและความชื้นแห้งของดิน รวมถึงปัจจัยด้านสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม ก็จะส่งผลต่อการเติบโตของพืชวิญญาณด้วย
ไผ่หยกเขียวที่อยู่ตรงหน้านี้เติบโตได้ดีทีเดียว นับแล้วมีทั้งหมด 132 ต้น
เช่อชิงชิงนับดูอย่างคร่าวๆ สังเกตเห็นว่าไผ่หยกเขียวที่ถูกแมลงกัดกินมีประมาณ 5 ต้น
พอสำรวจเสร็จ เช่อชิงชิงก็เอ่ยขึ้น "มีไผ่วิเศษ 5 ต้นที่โดนแมลงกัดกิน อาจจะย้ายกลับไปที่นิกายแล้วรอดได้ยาก แต่ไผ่หยกเขียวที่เหลือเติบโตได้ดีมาก ไม่มีปัญหาอะไร สามารถย้ายปลูกได้สำเร็จ"
พูดจบ เช่อชิงชิงก็สอนทุกคนว่าจะขุดไผ่หยกเขียวอย่างไร
"ตอนที่ทุกคนขุดไผ่หยกเขียว สามารถตัดกิ่งใบออกจากรากไผ่ได้ประมาณครึ่งหนึ่ง"
"ส่วนหัวราก ไม่เพียงต้องรักษาให้สมบูรณ์ แต่บริเวณหัวรากก็ต้องเก็บดินติดมาด้วย รักษาความชุ่มชื้นเอาไว้"
"อ้อ ใช่ จุดสำคัญที่สุดอีกอย่าง รากหัวของไผ่หยกเขียวอยู่ลึกลงไปในดินประมาณครึ่งจั้ง ตอนที่ทุกคนดึงไผ่ออกมาจากดิน ต้องดึงออกมาช้าๆนะ อย่าทำให้รากหัวบาดเจ็บตอนดึงออกมา"
"ส่วนรากของไผ่หยกเขียวนั้นเปราะบางมาก ห้ามใช้แรงดึงออกมาเด็ดขาด พวกเจ้าลองทำตามข้าแบบนี้นะ..."
เช่อชิงชิงสาธิตด้วยตัวเอง เลือกไผ่หยกเขียวใกล้ๆต้นหนึ่งมาขุดให้ดู โชว์วิธีการและท่าทางทีละขั้นตอนให้ทุกคนเรียนรู้
มีนางเป็นตัวอย่าง ถึงขั้นตอนการขุดไผ่หยกเขียวขึ้นมาทั้งต้น ทุกคนก็เข้าใจแล้ว ต่างพากันลองทำตาม
ทั้งสี่คนลงมือกันทันที ทุกคนทำอย่างตั้งใจ หากประมาทเผลอไผลทำให้ไผ่หยกเขียวต้นหนึ่งเสียหาย นั่นก็เท่ากับเสียหินวิญญาณไปเปล่าๆ
กระบวนการขุดก็ค่อนข้างราบรื่น มีเพียงลู่ฉางเฟิงคนเดียวที่เพราะนิสัยใจร้อน ตอนดึงต้นไผ่ออกมาก็เร่งรีบเกินไป เลยทำให้รากหัวของไผ่หยกเขียวต้นหนึ่งเสีย
นอกจากต้นที่ขุดพังไปนั้น ไผ่หยกเขียวที่เหลือ 131 ต้น รวมทั้งหน่อไผ่อีกกว่าสิบต้น ก็ขุดออกมาอย่างปลอดภัยหมด
เนื่องจากไผ่หยกเขียวสูงเกินไป เก็บลงถุงวิญญาณไม่พอ ทุกคนจึงจำต้องนำไผ่หยกเขียวกลุ่มนี้ไปบรรทุกไว้บนรถม้าแทน
ครั้งนี้ออกเดินทางมา ทำภารกิจสำเร็จอย่างสมบูรณ์
จริงๆแล้ว ลู่ฉางเฟิงมีบทบาทเป็นผู้นำในการบุกตะลุย สู้กับหมาป่าลายม่วงเป็นหลัก
เขาทำหน้าที่ผู้นำบุกตะลุยได้สำเร็จมาก
...
กลับถึงนิกายแบบไม่หยุดพัก เช่อชิงชิงก็ไม่มีเวลาพักผ่อน รีบขนไผ่หยกเขียวลงไปปลูกในสวนสมุนไพรทันที
หลังจากขุดไผ่หยกเขียวขึ้นมา พอออกจากดินเมื่อไร มีแค่ดินติดรากหัวนิดหน่อย ก็เก็บไว้ได้ไม่นานหรอก
หลังจากเดินทางมาครึ่งวัน พอกลับถึงนิกายเมื่อไร ก็ต้องรีบนำไผ่วิเศษกลุ่มนี้ไปปลูกโดยเร็ว
เรื่องการย้ายปลูก เป็นเช่อชิงชิงที่ทำด้วยตัวเอง
หลี่เหวยเซียวอย่างมากก็ได้แค่ช่วยอะไรเล็กๆน้อยๆ
ศิษย์น้องคนอื่นไม่รู้วิธีย้ายปลูก ยิ่งไม่รู้เรื่องการเพาะสมุนไพร ได้แต่ยืนดูเฉยๆ
หลังจากยุ่งวุ่นวายอยู่สองสามชั่วยาม ในที่สุดก็ย้ายปลูกเสร็จแล้ว
คล้ายตอนที่ปลูกต้นท้อวิเศษ หลังจากปลูกลงดินแล้ว ก็ต้องรดน้ำจากบ่อวิญญาณให้ชุ่ม เติมปราณและบำรุงหัวราก
แถมเพิ่งย้ายปลูกเสร็จใหม่ๆ รากไผ่หยกเขียวจะหยั่งรากลงในดินและเจริญเติบโตอย่างมั่นคง ก็ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนขึ้นไป
เพื่อป้องกันไม่ให้โดนลมแรงในช่วงนี้ เช่อชิงชิงยังสร้างโรงไม้กันลมล้อมรอบไผ่วิเศษเอาไว้ด้วย
กระบวนการย้ายปลูกไผ่หยกเขียวกลุ่มนี้ ด้วยอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆ การย้ายปลูกให้สำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์คงเป็นไปได้ยาก หลีกเลี่ยงการสูญเสียไปสักหนึ่งสองต้นไม่ได้
แต่จากไผ่หยกเขียวรวมกัน 132 ต้น หลังจากย้ายปลูกมา เสียไปเพียงสามต้นเท่านั้น อัตราการรอดตายขนาดนี้ถือว่าดีมากแล้ว
ต่อจากนี้ไป การเติบโตของมันสามารถดูดซับปราณจากฟ้าดินเลี้ยงตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องดูดซับปราณในดินของสวนสมุนไพรอีก
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ปลูกไผ่หยกเขียวได้ ทั้งที่ปราณในสวนสมุนไพรมีจำกัด
ลู่หยวนซานทราบว่าไผ่หยกเขียวเกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์รอดตาย ก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก
ส่วนอีกสามต้นที่ย้ายปลูกไม่สำเร็จ ก็นำไปเป็นวัตถุดิบหลอมอาวุธ ส่งให้ลู่จือเวยนำไปหลอมเป็นกระบี่ไผ่เขียวพอดี
หน่อไผ่ที่นำมานั้น มีทั้งหมด 16 หน่อ
เว้นไว้สิบหน่อสำหรับปลูก ที่เหลืออีกหกหน่อก็นำไปที่ครัววิเศษในอีกสองวัน ทำเป็นอาหารให้ศิษย์น้องรับประทาน
อ้อ ใช่สิ ยังมีเนื้อหมาป่าปีศาจอีก ก็เตรียมการเสร็จแล้ว ส่งเข้าครัววิเศษไป พอดีเอามาผัดกับหน่อไผ่ ทำเมนูหมูผัดหน่อไผ่ให้ได้
อีกสองวันต่อมา หมูผัดหน่อไผ่ก็ไปอยู่ในจานของศิษย์น้อง กลายเป็นกระแสความนิยมในการกินไปทั่วนิกาย
หน่อไผ่กับเนื้อสัตว์ปีศาจ รสชาติอร่อย ได้ผลดีมาก ทำให้ศิษย์น้องส่งเสียงชื่นชมกันยกใหญ่
ส่วนฟันและกรงเล็บของหมาป่าลายม่วง รวมถึงกระดูกและหนังหมาป่า ก็ส่งต่อให้ลู่จือเวยหมด ดูว่านางจะสามารถหลอมเป็นอาวุธวิญญาณได้สักสองสามชิ้นไหม
ครั้งนี้ ปริมาณงานของลู่จือเวยค่อนข้างมากทีเดียว
ในวันที่เข้าไปในห้องหลอมอาวุธ นางไม่ได้เริ่มหลอมอาวุธในทันที
แต่ศึกษาวัตถุดิบหลอมอาวุธก่อน เริ่มครุ่นคิดว่าจะจับคู่หลอมขึ้นมายังไงจึงจะเหมาะที่สุด หลอมเป็นอาวุธวิญญาณแบบไหนจึงจะดี
-----------------------------------------------------
PS: พบกันพรุ่งนี้ครับ ขอให้สนุกนะครับ