บทที่ 33 ปัญหาใหญ่สามประการของฉูซาน
นิกายฉูซาน มีประโยคที่โด่งดังซึ่งวนเวียนอยู่กับปัญหาใหญ่สามประการของฉูซาน ซึ่งทั้งสามปัญหานั้นทุกคนต่างเห็นด้วยโดยทั่วกัน นั่นก็คือ ไพ่นกกระจอก หม้อไฟ และตี้หนิวเฟิ่ง [1]
ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ ไพ่นกกระจอกเป็นวิธีการพักผ่อนหย่อนใจที่มีชื่อเสียงอย่างหนึ่ง และในนิกายฉูซานเองก็ไม่มีข้อยกเว้น
ในอดีต นิกายฉูซานมีชื่อเสียงในหมู่นิกายเซียนอมตะศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าและ สิบกำลังอมตะแห่งโลกในเรื่องความโปรดปรานในไพ่นกกระจอก ในช่วงจุดสูงสุดของนิกายฉูซาน เมื่อพวกเขาอยู่ในระดับแนวหน้าของนิกายอื่นเหล่านิกายเซียนอมตะ มันมีกระทั่งคนที่ตั้งคำถามว่าไพ่นกกระจอกสามารถยกระดับการฝึกฝนบ่มเพาะของคนในฉูซานได้หรือไม่ ซึ่งเป็นความคิดที่ค่อนข้างไร้สาระ
เมื่ออิทธิพลของฉูซานลดลง เหล่าผู้นําของฉูซานก็เริ่มจํากัดกิจกรรมสันทนาการที่มักจะนําไปสู่การละเลยการฝึกฝน แม้จะมีข้อจำกัดเหล่านี้ แต่ผู้คนก็ยังคงติดไพ่นกกระจอกอย่างต่อเนื่อง
แม้ตอนนี้ไพ่นกกระจอกยังคงเป็นหนึ่งในงานอดิเรกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกลุ่มชูซานและมีการควบคุมเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มากเกินไป
ในช่วงการประชุมสุดยอดของฉูซานที่จัดขึ้นทุกๆ สิบปี นอกจากกิจกรรมอย่างเป็นทางการเช่นการแข่งขันระดับสูงสุดแล้ว ยังมีกิจกรรมสันทนาการเช่นการแข่งขันไพ่นกกระจอกฉูซาน การแข่งขันกระบี่บิน ฯลฯ ในการแข่งขันเหล่านี้ การแข่งขันไพ่นกกระจอกเป็นการแข่งขันความบันเทิงที่ได้รับความนิยมอย่างรุนแรงที่สุดเสมอ
สำหรับหม้อไฟเองก็ได้รับความนิยมอย่างมากในภาคตะวันตกเฉียงใต้และนิกายฉูซานก็ไม่มีข้อยกเว้น
แต่เหตุใดหม้อไฟถึงได้กลายเป็นปัญหาล่ะ
ปัญหานี้เกิดขึ้นจากวัตถุดิบของหม้อไฟที่ครอบคลุมในทุกอย่าง กล่าวอีกอย่างได้ว่าหม้อไฟนั้นสามารถใส่วัตถุดิบได้หลากหลายตามแต่ใจผู้ปรุง นิกายฉูซานจึงสรุปประเด็นได้ดังนี้: อะไรก็สามารถปรุงในหม้อไฟได้
เมื่อเวลาผ่านไปหม้อไฟฉูซานก็ได้มีลักษณะเด่นสองประการ: เผ็ดร้อนยิ่งดี และ ยิ่งประหลาดยิ่งดี
ศิษย์ของนิกายฉูซานมีทัศนคติที่คร่าวๆ เกี่ยวกับวัตถุดิบหม้อไฟเช่น นก, สัตว์ร้าย, ปีศาจ, อสูร -- ทั้งหมดล้วนใส่ในหม้อไฟได้ทั้งสิ้น
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เหล่าศิษย์ของฉูซานแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อจับปีศาจหายากเพื่อใส่ลงในหม้อไฟของตน
มันกลายเป็นสถานการณ์ว่า "วันนี้ ตับมังกร พรุ่งนี้ ไขกระดูกอสูร" สิ่งต่างๆ ไม่สามารถควบคุมได้ ด้วยการพัฒนาสูตรหม้อไฟในแต่ละครั้ง ปีศาจจะถูกโยนลงในหม้อไฟมากขึ้น
ในปีนั้นมีประโยคหนึ่งเกิดขึ้นมาว่า “ศิษย์ฉูซานกินทุกอย่าง”
เมื่อศิษย์นิกายอื่นเจอกับปีศาจก็จะพิจารณาว่าจะขายหรือฆ่าให้ตาย ขณะที่ศิษย์แห่งฉูซานก็จะพิจารณาว่าจะใช้น้ำมันงาหรือน้ำซุปใสมาปรุงเป็นอาหาร
ในที่สุดเจ้านิกายก็เข้าแทรกแซงและออกกฎเพื่อหยุดยั้งการกระทำที่ผิดจริยธรรมดังกล่าว
สองเรื่องแรกเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานพอสมควร แต่เรื่องที่สาม ตี้หนิวเฟิ่ง เป็นปัญหาที่ค่อนข้างใหม่
เมื่อตี้หนิวเฟิ่งยังเป็นสาวเธอก็เป็นเด็กหัวขบถแห่งฉูซานแล้ว เธอหยิ่งผยอง มักรังแกผู้อื่น น่าเสียดายที่เธอบังเอิญเป็นนักสู้ที่โดดเด่นเช่นกัน ลูกศิษย์หลายคนของฉูซานเคยตกเป็นเหยื่อของการกลั่นแกล้งของเธอ
ต่อมาเมื่อเธอเข้าแย่งชิงตําแหน่งผู้นําสูงสุด เธอไม่ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนวัยเดียวกัน อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่สามารถทําอะไรเธอได้ เพราะความแข็งแกร่งของเธอ
ฉูซานมีผู้เชี่ยวชาญสูงสุด หรือปรมาจารย์ประจำยอดเขาสามสิบหกคน ส่วนใหญ่อยู่ในระดับที่หก คือระดับการตื่นรู้ ศิษย์ที่ได้ถึงระดับเจ็ดระดับบรรลุเต๋ามีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น และในแง่ของกําลังรบเพียงอย่างเดียว ตี้หนิวเฟิ่งนั้นอยู่ในสามอันดับแรกเลยทีเดียว
ในความเป็นจริง ไม่มียอดฝีมือแห่งฉูซานคนใดกล้าพูดว่าพวกเขาสามารถเอาชนะตี้หนิวเฟิ่งได้
โชคดีที่ตั้งแต่ตี้หนิวเฟิ่งได้เป็นผู้เชี่ยวชาญสูงสุด เธอได้แสดงความยับยั้งชั่งใจมากขึ้น ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีรายงานเกี่ยวกับปัญหาของตี้หนิวเฟิ่งน้อยลงมากจนแม้แต่ศิษย์บางคนก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเธอจึงถูกมองว่าเป็นหนึ่งในสามปัญหาใหญ่ของฉูซาน
...
ในวันปกตินี้ ศิษย์หลายคนของนิกายฉูซานกําลังเล่นไพ่นกกระจอก กินหม้อไฟ และพูดคุยเกี่ยวกับตี้หนิวเฟิ่งตามปกติ
"เจ้านาย ท่านคิดที่จะเผชิญหน้ากับเขาโดยตรงจริงหรือ ท่านทําเช่นนั้นมิได้นะ" ลูกสมุนกล่าว
ในกระท่อมบนยอดเขาเมฆาขอบฟ้า อบอวลไปด้วยกลิ่นหม้อไฟรสเผ็ดร้อนหอมเย้ายวนใจ
ลูกสมุนอีกคนตักหม้อไฟอย่างคล่องแคล่วและคีบเนื้อด้วยตะเกียบอย่างชํานาญแล้วถ่ายโอนไปยังชามข้างๆ หม้อไฟ
ชางจื่อเหลียงนั่งตัวตรงขมวดคิ้วลึก ใบหน้าของข้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและความกังวล "เหตุใดจะมิได้เล่า เจ้าไปสํารวจชูเหลียงมาแล้วมิใช่หรือ เขาเป็นเพียงผู้ฝึกฝนระดับเริ่มต้นของการตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณ ส่วนข้ามาถึงจุดสูงสุดของการตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณแล้วและข้ากําลังจะทะลวงไปยังระดับแกนทองคำ หากข้าเผชิญหน้ากับเขา ข้าจะชนะเขาอย่างแน่นอนมิใช่หรือ"
ก่อนหน้านี้ชางจื่อเหลียงได้สังเกตเห็นการปรากฏตัวอย่างใกล้ชิดที่ผิดปกติของซูจื่อซิงและชูเหลียง ความใกล้ชิดนี้ดูเหมือนจะหลอกหลอนเขาและทําให้ความสงสัยของเขารุนแรงขึ้น
เมื่อสมุนของเขาตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วก็พบว่า ทั้งคู่เพิ่งปฏิบัติภารกิจร่วมกันเมื่อเร็วๆ นี้และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างการเดินทาง นั่นทำให้ชางจื่อเหลียงวางแผนที่จะไปเยี่ยมชูเหลียงและเตือนเขาให้อยู่ห่างจากซูจื่อชิง
"นายท่าน..." ลูกสมุนของเขากล่าว "ท่านรู้แค่ตัวตนของชูเหลียงเท่านั้น แต่ท่านควรรู้ไว้ว่าอาจารย์ของเขาคือตี้หนิวเฟิ่ง"
ขณะที่ลูกสมุนอีกคนกำลังง่วนกับการตักแบ่งหม้อไฟ ชางจื่อเหลียงก็ได้โต้กลับว่า “อาจารย์ของเขาคือตี้หนิวเฟิ่งแล้วอย่างไร พ่อของข้าก็เป็นผู้เชี่ยวชาญสูงสุดเช่นกัน เจ้าคิดว่าพ่อของข้าจะกลัวเธอหรือ”
ลูกสมุนเงียบไปสักพัก อย่างไรก็ตาม แววตาของเขาไม่ทิ้งความสงสัยไว้ พ่อของชางจื่อเหลียงอาจกลัวตี้หนิงเฟิ่งจริงๆ ก็เป็นได้
ในบรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับสูง ความสามารถของชางซูเหวินพ่อของชางซูเหลียงไม่ได้โดดเด่นในด้านการต่อสู้ เขามีชื่อเสียงในด้านการเป็นนักวิชาการและความอ่อนโยน ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับตี้หนิวเฟิ่ง..
"หากเป็นเจ้าแห่งยอดเขาอื่นๆ พวกเขาอาจจะเคารพพ่อของท่านและปกป้องท่านจากปัญหาใดๆ แต่ตี้หนิวเฟิ่ง.. เธอไม่เคยเคารพใคร หากท่านทำให้เธอโกรธใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น " ลูกสมุนแนะนำอย่างกังวล
ส่วนลูกสมุนอีกคนก็ยังคงกำลังยุ่งอยู่กับการตักเต้าหู้และปลา
"แล้วเจ้าแนะนําให้พวกเราทําอย่างไร" ชางจื่อเหลียงถาม
"นายท่าน เราควรหลีกเลี่ยงความขัดแย้งโดยตรง หากท่านยังไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะไปหาเขาสั่งให้เขาอยู่ห่างซูจื่อซิง เราก็ควรหลีกเลี่ยงการปะทะกันซึ่งหน้าไว้ก่อน" ลูกสมุนวิเคราะห์อย่างสงบ จากนั้นเขาก็แนะนําว่า “ในความเห็นของข้า การจัดการเรื่องนี้อย่างระมัดระวังจะปลอดภัยกว่า”
ลูกสมุนอีกคนกำลังตักผักชิ้นใหญ่จากหม้อ
"ทําอย่างระมัดระวังหรือ แต่อย่างไรข้าก็ยังต้องเตือนเขา เราจะทําอย่างระมัดระวังได้อย่างไร" ซางจื่อเหลียงขมวดคิ้วครุ่นคิด
ลูกสมุนแนะนำอีกครั้ง "ด้วยแผนการเล็กน้อย เราสามารถทำให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานได้ จากนั้นเราจะส่งข้อความเตือนเขาว่าเขาจะเจ็บปวดมากขึ้นถ้าเขาเข้าใกล้ศิษย์น้องซูจื่อซิงอีกครั้ง.. ด้วยวิธีนี้ตัวตนของเราจะถูกซ่อนไว้ แม้ว่าอาจารย์ของเขาจะตัดสินใจปกป้องเขา แต่เธอก็ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของเรา ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องนี้"
ลูกสมุนอีกคนลุกขึ้นยืนจากที่นั่งตักและเนื้อที่เหลือจากก้นหม้อขึ้นมา
ซางจื่อเหลียงยิ้มแล้วถามว่า "ฟังดูดี แล้วเราจะทําให้เขาทนทุกข์ทรมานได้อย่างไร"
ลูกสมุนยิ้มและกล่าวว่า “เจ้านาย ข้าคิดไว้แล้ว ท่านจําผ้านั่นได้หรือไม่”
ซางจื่อเหลียงมองสีหน้าที่เจ้าเล่ห์ของลูกสมุนและหยุดนิ่งทันที จากนั้นเขาก็ยิ้มในใจและกล่าวชม “เจ้าช่างฉลาดเสียจริง”
ในการสื่อสารสั้นๆ ทั้งสองได้วางแผนของพวกเขาแล้ว ชางจื่อเหลียงอารมณ์ดีขึ้นมาก ความอยากอาหารก็ฟื้นตัว เขาเอื้อมมือไปหยิบตะเกียบ และพร้อมที่จะตักอาหารให้ตัวเอง
แต่ที่ทำให้เขาแปลกใจคือหม้อไฟว่างเปล่า
"หือ อาหารหายไปไหน" เขาถาม
"ใช่! อาหารหายไปไหน" ลูกสมุนที่คุยกับจางจื่อเหลียงเองก็ไม่ได้สังเกต
"ข้า.. ข้าก็ไม่รู้" ลูกสมุนอีกคนดูกระสับกระส่าย "ข้าคิดว่าอาหารหายไปก่อนที่เราจะเริ่มกิน.."
…
ชูเหลียงกลับมาที่กระท่อมของตนเองเพื่อฝึกตนและหมุนเวียนพลังชี่ แม้ว่าเขาจะมีหุ่นกระบอกอยู่ แต่ตราบใดที่มีเวลาว่าง เขาก็จะฝึกฝนด้วยตัวเอง ท้ายที่สุดแล้วการบ่มเพาะอย่างขยันขันแข็งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
หลังจากนั้นประมาณสี่ชั่วโมง เขาก็เอาเหรียญผู้ปราบวิญญาณออกมาเพื่อตรวจสอบว่ามีข่าวใหม่หรือไม่
ดูเหมือนว่าเมื่อคนที่ถูกเรียกว่า อสูร ยังคงนิ่งเงียบ
มันสมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาว่าพวกเขามักจะเคลื่อนไหวในเงามืดและมุ่งเน้นไปที่ปัญหาของชีวิตและความตาย พวกเขาไม่ควรมีเวลาว่างมาสนทนากันมากนัก
เวลานี้ชูเหลียงสังเกตเห็นจดหมายบนโต๊ะหินด้านนอกซึ่งน่าจะส่งมาในขณะที่กําลังฝึกฝน
เขาเอื้อมมือไปหาจดหมาย และเมื่อเปิดดูก็พบว่ามีเพียงข้อความสั้นๆ
ศิษย์พี่ชู ข้าจะรอท่านอยู่ที่ยอดเขาเจดีย์ขุมทรัพย์
ซูจื่อชิง
"หืม" ชูเหลียงมองจดหมายฉบับนี้ด้วยสีหน้าสงสัย
จดหมายฉบับนี้เขียนโดย ซูจื่อชิงงั้นหรือ เขาคิดในใจ
ถ้าศิษย์น้องซูเขียนจดหมายฉบับนี้.. ชูเหลียงครุ่นคิด ลายมือของเธอช่าง.. น่าเกลียดจริงๆ
1.ไพ่นกกระจอก หม้อไฟ และตี้หนิวเฟิ่ง : เป็นมุกตลกที่ต้องแปล จะแปลประมาณว่า ไพ่นกกระจอก หมายถึง “นก” หม้อไฟ หมายถึง “ไฟ” ตี้หนิวเฟิ่งหมายถึงฟีนิกซ์ ที่เป็น “นกไฟ”