บทที่ 25 ข้าจะไปบ่อนพนันหยกเขียว
“พลังรุนแรงมาก!”
เมื่อรับรู้ถึงพลังที่ปะทุอยู่ในกาย หลัวเฉิงก็ไม่คิดรอช้าอีกต่อไป เขารีบยกแผ่นศิลาข้างๆ แล้วเหวี่ยงมันด้วยกำลังทั้งหมดที่มีทันที
เขาฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสองชั่วยาม ก่อนที่พลังของโอสถจะค่อยๆ จางหายไป
ขณะนี้ ทั่วร่างของหลัวเฉิงเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ และเขาก็ล้มลงกับพื้นพร้อมกับหอบอย่างหนักด้วยความเหน็ดเหนื่อย
เขาไม่คิดเลยว่า โอสถเม็ดสีแดงจะทรงพลังมากถึงขนาดนี้ จนทำให้รู้สึกราวกับร่างกำลังจะระเบิดออกมา!
อย่างไรก็ตาม แม้นจะเหน็ดเหนื่อยไปมาก แต่สิ่งที่ได้มาก็คุ้มค่า!
ในเวลาเพียงสองชั่วยาม หลัวเฉิงก็รู้สึกว่าร่างกายเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หากเทียบกับการฝึกฝนหนักหลายวันที่ผ่านมา!
“ผลของโอสถสีแดงนี้ไม่ได้ต่างไปจากโอสถหยกเย็นหลอมกายาเลยแม้แต่น้อย!”
ด้วยผลลัพธ์ที่ได้มานี้ ทำให้หลัวเฉิงรู้สึกตื่นเต้นมาก
โอสถหยกเย็นหลอมกายาเป็นโอสถระดับสามดาว ในขณะที่ผลผลึกทับทิมเป็นเพียงโอสถระดับสองดาวเท่านั้น
แต่ทว่า หลังผลผลึกทับทิมกลายเป็นโอสถสีแดง ผลลัพธ์ในการฝึกฝนของมันนั้นช่างน่าทึ่ง ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าสัญลักษณ์เกร็ดเก้าสีบนฝ่ามือเขา ไม่เพียงหลอมโอสถได้เท่านั้น แต่ยังเพิ่มคุณภาพให้กับโอสถอีกด้วย!
ตอนนี้ยังเหลือโอสถสีแดงอีกสามเม็ด ซึ่งนับว่าเพียงพอที่จะใช้มันทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับเก้า!
หลังจากตื่นเต้นได้ไม่นาน ความรู้สึกเหนื่อยล้าก็โถมเข้าใส่ทั่วร่าง ไม่ช้า หลัวเฉิงล้มตัวลงนอนในลานฝึกยุทธ์ก่อนผล็อยหลับไปในที่สุด
วันนี้ร่างกายของเขาอ่อนเพลียจากการฝึกฝนหนักอย่างบ้าคลั่ง
ทำให้หลัวเฉิงหลับลึกตลอดทั้งคืน ซึ่งกว่าจะตื่นอีกทีก็เที่ยงวันของวันรุ่งขึ้น
หลังตื่นขึ้นมา เขาก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย แล้วหลัวเฉิงก็ออกจากจวนไป
เขาตั้งใจจะไปเยี่ยมหลัวหมิงซานปู่ของเขาในวันนี้ อีกทั้งนี่ยังเป็นวันคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันล่าสัตว์อีกด้วย!
ระหว่างทางไปโถงหลักประจำตระกูล หลัวเฉิงก็สังเกตเห็นยามประจำตระกูลต่างมีทีท่าร้อนรน ราวกับว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
ระหว่างที่หลัวเฉิงกำลังสงสัยอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นทางด้านข้างของเขา
“พี่หลัวเฉิง!”
เสียงนั้นเป็นของหลัวอวิ๋นที่กำลังเดินมาจากทางด้านข้างอย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้น?” หลัวเฉิงถามทันทีที่หลัวอวิ๋นบรรลุถึง
“ท่านไม่รู้งั้นหรือ”
ดวงตาของหลัวอวิ๋นเบิกกว้างด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ก่อนกล่าวอย่างรวดเร็ว “หลัวฉีมีปัญหาแล้ว!”
“หลัวฉีงั้นหรือ” หลัวเฉิงรีบถามด้วยความสงสัย
หลัวอวิ๋นพยักหน้าแล้วกล่าวต่อ “หลังจากที่หลัวฉีพ่ายแพ้ต่อท่าน เขาก็ไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้ จึงออกไปเถลไถลอยู่ข้างนอกกับคนของตระกูลหลินมาสองวันแล้ว ข้าไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่”
“วันนี้ เขาได้พบกับหลินเซียวนายน้อยตระกูลหลิน และถูกชักชวนไปยังบ่อนพนันหยกเขียว ทำให้เขาติดหนี้หลายแสนตำลึงจากการเล่นพนัน”
หลังได้ฟังเรื่องราวเช่นนั้น หลัวเฉิงก็พลันนึกถึงฉากของหลัวฉีและหลินเซียว ที่อยู่ด้วยกันก่อนหน้านั้นแล้วสบถ “เจ้าคนเขลานี่!”
บ่อนพนันหยกเขียวเป็นทรัพย์สินของตระกูลฉี ไม่ต้องคิดให้ปวดหัวก็รู้ได้ว่า หลัวฉีต้องถูกหลอกโดยหลินเซียว ที่สมคบคิดกับตระกูลฉีเป็นแน่!
“แล้วตระกูลฉีว่าอย่างไรบ้าง” หลัวเฉิงถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“หากไม่นำเงินมาจ่ายให้ครบ เขาจะให้หลัวฉีจ่ายด้วยแขนหนึ่งข้าง!” หลัวอวิ๋นกำหมัดแน่น
จากนั้นทอดถอนใจกล่าวว่า "ข้าเกรงว่าเรื่องนี้ไม่จบด้วยดีแน่ ข้าได้ยินมาจากท่านพ่อ ช่วงนี้ตระกูลหลินและตระกูลฉีรวมหัวกันกลั่นแกล้งตระกูลเรา ทำให้รายได้จากกิจการตระกูลลดลงอย่างมาก มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีเงินหลายแสนตำลึงไปมอบให้พวกเขา”
“ตอนนี้ผู้นำตระกูลได้เรียกบรรดาผู้อาวุโสเข้าไปหารือด่วน เพื่อหาแนวทางการรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ข้าเกรงว่าตระกูลฉีอาจใช้โอกาสนี้ทำการใหญ่เป็นแน่!”
หลัวเฉิงขมวดคิ้ว แล้วขบคิดไตร่ตรองอยู่ครู่จากนั้นกล่าวว่า “ข้าจะไปบ่อนพนันหยกเขียว”
กล่าวจบเขาก็หันหลังไปในทันที
“ท่านจะไปคนเดียวงั้นหรือพี่หลัวเฉิง” หลัวอวิ๋นยืนนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง
จากนั้นรีบวิ่งตามไปแล้วเกลี้ยกล่อมว่า “พี่หลัวเฉิงโปรดเย็นไว้ก่อน รอจนกว่าผู้นำตระกูลและบรรดาผู้อาวุโสจะสั่งการแนวทางต่อไปดีกว่า!”
หลัวเฉิงแย้มยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้าเพียงจะไปดูเฉยๆ ไยเจ้าต้องกังวลมากถึงเพียงนี้”
ต่อให้เขาจะมีความขัดแย้งกับหลัวฉียังไงก็ตาม แต่หลัวฉีก็ยังคงเป็นหนึ่งในคนของตระกูลหลัว แล้วจะให้เขาทนนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร
ตระกูลหลัวไม่มีทางยอมให้ผู้อื่นมารังแกง่ายๆ!
หลัวเฉิงเป็นนายน้อยของตระกูล ดังนั้นแล้วเขาจะไม่ยอมทนเพิกเฉยกับเหตุการณ์เช่นนี้เป็นอันขาด
“พี่หลัวเฉิง รอข้าด้วย!”
หลัวอวิ๋นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วรีบตามไปทันที