บทที่ 11 อันตรายมาเยือน
หลังจากที่ซือหม่าจืออี้ออกไปจากห้องของหลงเฉิน เขาก็นั่งอย่างโดดเดี่ยวและกำลังครุ่นคิด แต่ตอนนี้เขาไม่ได้คิดถึงหลงเสวียอิงหรือสาวอื่นแต่อย่างใด กลับกัน เขากำลังนึกเรื่องของตัวเองและการฝึกฝนบ่มเพาะพลังของเขา
“แม้ว่าข้าจะแข็งแกร่งกว่าคนรุ่นเดียวกันหลายคนในตระกูล แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่ยังสามารถบดขยี้ข้าเหมือนมดได้ทุกเมื่อตามที่พวกมันต้องการ” หลงเฉินครุ่นคิด เขากำลังจมอยู่ในความคิด
แม้หลงเฉินจะมาที่โลกใบนี้ได้แค่หนึ่งวัน แต่ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าเขาอ่อนแอแค่ไหน และสังเกตเห็นจุดอ่อนของตัวเอง
ในสนามฝึกซ้อม เขาเห็นหลายคนฝึกฝนอยู่ที่นั่น และมีหลายคนทะลวงผ่านระดับก่อจิตวิญญาณ พวกเขาแข็งแกร่งกว่าเขามาก ซึ่งเขามั่นใจว่าตอนนี้คงเป็นเรื่องยากที่จะเอาชนะพวกเขาได้ นอกจากนี้เขายังไม่เห็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งของตระกูลหลงอย่างบุตรชายของผู้อาวุโสสูงสุด ที่มีอายุแค่ 12 ปีเท่านั้น แต่ทะลวงผ่านระดับก่อจิตวิญญาณขั้น 3 แล้ว
“แค่หลงอันก็สามารถทุบตีข้าได้แล้ว ถ้าคนที่แข็งแกร่งกว่ามันคงไม่ต้องพูดถึง และข้าคงทนได้ไม่นานถ้าต้องต่อสู้กับคนอย่างหลงเสวียอิงในตอนที่นางเอาจริง ถึงแม้ว่านางจะอายุเยอะกว่าข้า แต่มีเพียงแค่ความแข็งแกร่งเท่านั้นที่สำคัญที่สุดในโลกใบนี้” หลงเฉินคิด
“ข้าควรเริ่มฝึกฝนบ่มเพาะพลังและทะลวงผ่านระดับก่อจิตวิญญาณก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นค่อยหาอะไรมาป้องกันตัวในกรณีฉุกเฉิน” หลงเฉินพูดพึมพัมกับตัวเอง
แม้ว่าเขาจะไม่เคยฝึกฝนบ่มเพาะพลังมาก่อน แต่หากอิงตามความทรงจำและประสบการณ์ทั้งหมดของหลงเทียนแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่เขาจะฝึกฝนบ่มเพาะพลัง และมั่นใจว่าสามารถทำได้
เขานั่งขัดสมาธิและเริ่มดูดซับพลังปราณจากในอากาศเข้าสู่ร่างกาย
ในโลกใบนี้มีระดับพลังหลายระดับ เริ่มจาก ระดับหลอมกายา ระดับก่อจิตวิญญาณ ระดับแก่นทอง ระดับปฐพี ระดับนภา ระดับสวรรค์ และระดับที่สูงกว่านั้น ระดับหลอมกายานั้นจะมุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแกร่งและมีความยืดหยุ่น
ระดับหลอมกายาจะมุ่งเน้นไปที่การดูดซับพลังปราณในอากาศและใช้มันขัดเกลาร่างกาย เพื่อทำให้ร่างกายแข็งแกร่งเทียบเท่าอาวุธ
ส่วนระดับก่อจิตวิญญาณจะมุ่งเน้นไปที่การดูดซับพลังปราณในอากาศผ่านเส้นลมปราณและก่อจิตยุทธภายในร่างกายของพวกเขา
จิตยุทธสามารถช่วยควบคุมพลังปราณในอากาศเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้ามได้ และยังสามารถใช้พลังปราณของพวกเขาโจมตีใส่ศัตรูที่อยู่ในระยะไกลได้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ผู้ที่มีจิตยุทธแข็งแกร่งสามารถป้องกันการโจมตีทางจิตวิญญาณได้ในระดับหนึ่ง
เพื่อทะลวงผ่านระดับก่อจิตวิญญาณ ก่อนอื่นหลงเฉินต้องสร้างเมล็ดจิตวิญญาณขึ้นมาในร่างกายก่อน โดยใช้พลังปราณจากในอากาศและจิตวิญญาณของเขาส่วนหนึ่ง หลังจากที่สร้างเมล็ดจิตวิญญาณได้แล้ว จะต้องใช้พลังปราณหล่อเลี้ยงมันเพื่อให้มันเติบโต และกลายเป็นจิตยุทธ หลังจากที่หลงเฉินนั่งบ่มเพาะพลังอยู่หลายชั่วโมง เขาก็ตัดสินใจหยุด
“มันไม่ง่ายอย่างที่ข้าคิด แต่ก็ไม่ได้ยากอะไรขนาดนั้น บางทีข้าอาจทะลวงผ่านระดับก่อจิตวิญญาณได้ในอีก 2 เดือนข้างหน้า” หลงเฉินพูดกับตัวเองด้วยรอยยิ้ม
ขณะที่เขาเหน็ดเหนื่อยหลังจากฝึกฝนบ่มเพาะพลังเสร็จ เขาก็เข้านอนทันที และหลับสนิทตลอดทั้งคืน
เช้าวันต่อมา หลงเฉินตื่นแต่เช้าตรู่ และเตรียมพร้อมที่จะออกไปข้างนอกอีกครั้ง
“ครั้งก่อน ข้ายังเดินสำรวจทั้งคฤหาสน์ตระกูลหลงได้ไม่หมด เพราะถูกหลงเสวียอิงขัดขวางเสียก่อน แต่วันนี้ข้าจะทำให้สำเร็จ” หลงเฉินคิดขณะเปิดประตูและเดินออกไป และได้รับการต้อนรับจากกลิ่นหอมหวานอันสดชื่นจากสวนดอกไม้ในสวนของเขาอีกครั้ง และเขาก็เดินอย่างมีความสุข
แต่ในขณะที่เขาเดินผ่านห้องแม่ของเขา เขาก็สังเกตเห็นว่าวันนี้นางไม่ออกมาข้างนอก
‘บางทีตอนนี้นางอาจฝึกฝนบ่มเพาะพลังอยู่ก็เป็นได้’ เขาคิดขณะเดินผ่าน
หลังจากเดินไปได้สักพัก เขาก็เดินมาถึงจุดหมายปลายทางที่วันก่อนเขาถูกขัดจังหวะไว้ นั่นคือ หอสมบัติ จากนั้นเขาก็เดินหน้าต่อ และเห็นสิ่งก่อสร้างที่ดูสวยงามแห่งหนึ่ง แม้จะดูไม่หรูหราเท่าหอทักษะหรือหอสมบัติ แต่มันก็ค่อนข้างน่าทึ่งมากทีเดียว
นี่คือหอตำราของตระกูลหลง มันมีหนังสือ ตำรา มากมาย ซึ่งหลงเทียนได้อ่านพวกมันเกือบหมดแล้ว จากในความทรงจำของหลงเทียน เขามักจะมาที่นี่อยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นหลงเฉินเลยตัดสินใจเข้าไปข้างในและเดินเตร่ไปรอบๆ
ขณะที่เขาเดินเข้าไปข้างใน หลงเฉินก็สังเกตเห็นชั้นวางหนังสือเรียงเป็นแถวยาว
“มันจะต้องมีหนังสือหลายร้อยเล่มเป็นแน่” หลงเฉินคิดขณะจ้องมองไปที่หนังสือพวกนั้น
แม้ว่าผู้อาวุโสที่ดูแลหอตำราของตระกูลจะสังเกตเห็นเขา แต่ก็ตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อเขา
4 ปีที่ผ่านมา ผู้อาวุโสคนนี้เคยประจบหลงเทียนทุกครั้งที่เขามาอ่านหนังสือที่นี่ แต่ตอนนี้อัจฉริยะผู้นั้นได้ตกต่ำลงแล้ว เขาเลยตัดสินว่าหลงเทียนไม่มีค่าพอที่จะให้เขาสนใจอีกต่อไป
ผู้อาวุโสสูดลมหายใจเข้า และอ่านหนังสือที่อยู่ในมือต่อ และหลังจากที่เดินเตร่ๆอยู่ข้างในได้สักพัก หลงเฉินก็เดินออกมาจากที่นั่น ถึงกระนั้นผู้อาวุโสก็ไม่แม้แต่จะชายตามองเขาเลยแม้แต่น้อย
หลงเฉินยังคงเดินหน้าต่อ แต่หลังจากที่เขาเดินต่อไปได้สักพัก เขาก็ถูกใครบางคนหยุดเอาไว้
“น้องชายเทียน เจ้าจะเดินไปไหนคนเดียวอย่างนั้นหรือ?” ใครบางคนถาม เขาดูเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 18-19 ปี
หลงเฉินจำชายคนนี้ได้ เขาคือ หลงชู บุตรชายของผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลหลง ซึ่งทำให้หลงเฉินรู้สึกสงสัยว่าทำไมเขาถึงถูกอีกฝ่ายหยุด และเริ่มพูดคุยกับเขา
เท่าที่เขาจำความได้ หลงซูไม่เคยพูดคุยกับเขามาก่อน หลงเทียนไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับเขา และหลงซูก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ไม่เคยกลั้นแกล้งเขา นี่ทำให้หลงเฉินสงสัยมากว่าทำไมเขาถึงถูกอีกฝ่ายหยุดเอาไว้
“มากับข้า น้องชายเทียน วันนี้พี่ชายของเจ้าอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ในที่สุดข้าก็ฝึกฝนทักษะต่อสู้สำเร็จหลังจากที่ล้มเหลวอยู่หลายครั้ง ข้าเลยอยากแบ่งบันความสุขนี้ให้กับคนอื่น และข้าก็มาเห็นเจ้าพอดี พวกเราไปที่ตำหนักของข้ากันเถอะ” หลงซูกล่าวด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น แม้ว่าหลงเฉินจะคิดว่าอีกฝ่ายค่อนข้างแปลกก็ตาม แต่เขาก็ตามไปโดยที่ไม่ได้คิดอะไร
หลงซูพาหลงเฉินไปที่ตำหนักของเขา และเขาได้ให้ผู้ติดตามของเขาจัดการเส้นทางที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไป เพราะเขาไม่ต้องการให้ใครเห็นว่าหลงเฉินกำลังเดินอยู่กับเขา ในขณะเดียวกันหลงชูก็แอบหัวเราะอยู่ในใจ แต่ก็ยังแสดงรอยยิ้มอย่างไร้เดียงสาบนใบหน้า