ตอนที่แล้วเจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 14
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่  16

เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 15


เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 15

นี่ก็แปลว่า เจ้าพวกนั้นขายหมากฝรั่งให้กับคนที่เดินผ่านไปผ่านมา ข้างแม่น้ำฮัน เอ้ย แม่น้ำไอรีนสินะ ผมไม่คิดเลยว่า ชื่อเล่นนั้นจะตรงเผ็งขนาดนี้มาก่อน

ริมฝีปากเอเลริสกำลังสั่นดูเหมือนแค่คิดถึงก็รับรู้ได้ถึงความไร้สาระแล้ว

“พวกเขาเป็นไลแคนโทรป(Lycanthrope)ค่ะ”

“……ถ้าผมจำไม่ผิดนี่ เป็นพวกที่บางเวลากลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดหมาป่าสินะ ?”

“ใช่ค่ะ ถูกแล้วค่ะ”

ว่ากันตามตรงนะ ไม่ใช่แค่เอเลริสอย่างเดียวที่เป็นแวมไพร์ระดับสูงแต่ที่ไม่ค่อยเหมาะกับการเป็นสปาย

เนื่องจากเธอไม่สามารถเดินใต้แสงอาทิตย์ได้ ผมค่อนข้างแน่ใจเลยว่า เธอคงมีช่วงเวลาที่แสนลำบากแน่ๆ ถึงอย่างนั้นเอเลริสเองก็ยังอดทนต่อแสงแดดได้บ้าง

ส่วนไลแคนโทรปนี่ ที่จะเสียสติกลายร่างเป็นมอนสเตอร์ตอนที่พระจันทร์เต็มดวงอยู่บนท้องฟ้าแบบนั้น ดันกลายมาเป็นสปายใจกลางเมืองกาเดียมเนี่ยนะ ?

อยู่มาป่านนี้โดยไม่โดนจับได้ ได้ยังกันเนี่ย ?

ซาร์เคการ์เป็นคนเดียวที่เหมาะกับหน้าที่สปายโดยแท้!

“…ว่าแต่แบบนั้นไม่ลำบากแย่ในฐานะสปายหรอกเหรอ ?”

“ก็ลำบากค่ะ ….แต่เนื่องจากเรามีทุนรอนไม่มากนัก…. แถมยังมีแต่ภารกิจเสี่ยงตายที่ไม่มีใครอยากอาสา , แล้วๆ …..พวกเราก็ต้องแข่งกับเวลาด้วยก็เลย…… เป็นแบบนั้นแหละค่ะ”

หรือเจ้าพวกนั้นเป็นพวกที่ภักดีแน่แน่วแต่หัวช้าหรือเปล่า?

เห็นๆกันอยู่แล้วว่า ภารกิจในการสอดแนมอยู่ใจกลางดินแดนศัตรูแบบนี้ ย่อมไม่มีทางที่ปีศาจคนไหนจะเสนอตัวอยู่แล้ว แต่กลับกลายเป็นพวกไลแคนโทรปกลับขันอาสาเอง

“แล้วพอเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง พวกเขาก็จะซ่อนตัวอยู่ในท่อระบายน้ำข้างสะพานบรอนซ์เกทค่ะ”

สะพานบรอนซ์เกทงั้นเหรอ

เอ่อ

ถ้าให้เทียบกับสถานที่ที่มีอยู่จริงในกรุงโซล

ถ้าผมจำไม่ผิดนี่ สะพานบรอนซ์เกทมันก็ควรที่จะเป็นสะพานบันโพ(Banpo Bridge)

พอใกล้ถึงช่วงเวลาที่ต้องกลายร่างแล้วพวกเขาก็ไปซ่อนในท่อระบายน้ำใต้สะพานบันโพสินะ

“การใช้ชีวิตอยู่ใกล้ๆกับสะพานบรอนซ์เกทน่ะค่อนข้างสะดวก , ดังนั้นพวกเขาเลยไม่ค่อยอยู่ห่างจากที่นั่น ….ประกอบกับรูปลักษณ์พวกเขาที่เอ่อ ค่อนข้างจะ  …ไม่ค่อยระวังตัว… ก็เลยมีคนที่เดินผ่านไปมาเข้าใจผิดคิดว่า เขาเป็นขอทานแล้วก็ให้เงินกับพวกเขา ….”

“เอ้ะ มันไม่ใช่จุดหมายเดิมที่จะเป็นขอทานแต่แรกหรอกเรอะ ?”

“ค่ะ ไม่ใช่ค่ะ , พวกเขาเองก็คิดว่า ทำแบบนี้มันก็ไม่เป้นอะไร ก็เลยนั่งขอทานอยู่ตรงนั้นแหละค่ะ”

“หาาา ….”

เจ้าพวกนั้นมันมีไม่ศักดิ์ศรีกันเลยรึไงกันเนี่ย ?

หรือเพราะจักรพรรดิกันนะก็เลยทำให้ที่นี่มีแต่คนใจดีสุดๆ

เจ้าพวกไลแคนโทรปนี่เป็นคนแปลกจนผมตัดสินไม่ได้เลยว่าเป็นพวกชิลๆหลั่นล้าสบายๆหรือเป็นคนชอบอะไรเสี่ยงๆกันแน่

เอเลริสเองก็ยังลังเลอยู่ก็จริงแต่เธอเลือกที่จะเล่าต่อ

“ผลก็คือ เกิดการทะเลาะแย่งชิงกันค่ะ แต่เนื่องจากพวกเขาเกิดมาเป็นไลแคนโทรป เลยมีความสามารถโดดเด่นเรื่องการทะเลาะวิวาท เลยกลายเป็นว่าไม่มีใครสามารถสู้กับพวกเขาได้ด้วยมือเปล่า

…. ถึงอย่างนั้น เนื่องจากมีขอทานอยู่มาก… หลังจากสู้กันเสร็จก็มักจะมีคนมานั่งดื่มเป็นเพื่อน

แล้ว … พวกนั้นก็เลยไปเที่ยวกันแล้วยิ่งสนิทกัน … พอมีจำนวนคนมากๆเข้าก็เลย….”

ฮ่าฮ่า

เจ้าพวกนั้นนั่งขอทานริมสะพานบันโพ แล้วทะเลาะกันแย่งที่ เอาชนะเจ้าถิ่นเดิมได้ แล้ววันต่อมา เจ้าคนที่ทะเลาะด้วยก็กลับมาดวดเหล้าแข่งกัน จะบอกว่าเป็นอะไรประมาณว่า

“เออ ใช่ ใช่  เมื่อวานนี่ความผิดข้าเองว่ะ  , โทษทีๆ ”

แล้วก็กลายเป็นฉากซ้ำวนไป เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกจนมีเพื่อนร่วมดื่มแก้วสองแก้ว จากนั้นก็กลายเป็นแก๊งใหญ่ขึ้นมา

แล้วพอจำนวนคนขยายตัวมากขึ้นก็ไม่สามารถควบคุมจำนวนได้ ก็กลายเป็นองค์กรไปแทน

“…ผมไม่ค่อยจะรู้จักกับพวกเขาหรอก   แต่เดาว่าพวกเขาเนี่ยน่าจะ นิสัยดีพอควรเลยล่ะสิ?”

“…ใช่ค่ะ ….เราได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขามากเหลือเกิน ….”

เอเลริสที่ไม่มีทักษะเรื่องการค้าขายเลย ส่วนซาร์เคการ์ก็ต้องการเงินจำนวนมากเพื่อใช้ชีวิตในฐานะชนชั้นสูง

พวกเขาไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากหมาจรจัดแห่งไอรีน

“อืม ….แต่จะว่าไปชื่อหมาจรจัดแห่งไอรีนนี่ … ก็เป็นชื่อที่เหมาะอยู่นะ”

เพราะเจ้าพวกนั้นก็แปลงร่างเป็นหมาได้จริงๆ

“อันที่จริงพวกเขาอยากถูกเรียกว่าเป็นหมาป่าแห่งไอรีนมากกว่าค่ะ แต่ฉันก็พอเข้าใจนะคะว่าทำไมถึงไม่มีใครเรียกพวกเขาว่าอย่างนั้นเลย”

น่าเศร้าใจเหมือนกันแฮะ แต่ถึงยังไงก็เป็นเรื่องดีอยู่ดีตรงที่ผมไม่สามารถให้ซาร์เกการ์รู้ได้ว่า ผมยอมแพ้เรื่องฟื้นฟูดินแดนปีศาจไปแล้ว ส่วนหมาจรจัดไอรีนเองก็เป็นพวกเพี้ยนสุดๆ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาต่างก็สนิทสนมกันดี ขนาดที่ยอมช่วยสปายอีกสองคน

ในตอนนี้เอเลริสนั้นก็ไม่คิดจะทำร้ายผม

“นอนเถอะค่ะ ฝ่าบาท  ฉันได้จัดสถานที่ให้ท่านได้พบกับพวกเขาในเร็ววันนี้แล้วล่ะค่ะ”

“อือ … แล้วเธอไม่นอนเหรอ ?”

เพราะนั่นเป็นเตียงนอนของเอเลริส

เธอนอนข้างๆผม แล้วก็บอกว่าเดี๋ยวเธอก็จะนอนด้วยเช่นกัน

ไม่สิๆ มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ กับการที่แวมไพร์มานอนหลับกันตอนกลางคืนเนี่ย …?

“ท่านเป็นอะไรไหมคะ ? หากไม่สะดวกใจ ฉันไปนอนที่พื้นก็ได้”

“.……อ่า , อืม ไม่เป็นไรๆ นอนนี่เถอะ”

มันไม่เป็นไร และก็เป็นไร ไปพร้อมๆกันนั่นแหละ

ผลลัพธ์ก็ออกมาไม่แย่ แต่ก็ไม่ดีสินะ  ?

ไม่สำคัญแล้วว่าผมจะโดนหาว่า เป็นคนขี้โกงหรือไม่ อย่างน้อยๆตอนนี้ผมก็มีความสุขดี

ชีวิตมันก็แบบนี้นั่นแหละ

‘ไอ้ขี้โกง ไสหัวออกไปซะ ไม่มีใครต้องการแกทั้งนั้นแหละ’

แล้วเช้าวันใหม่ก็มาถึง

-เฮือกกกกกก !

ผมตื่นขึ้นมาเพราะมีเสียงแวมไพร์กรีดร้องตอนที่โดนแสงอาทิตย์แผดเผาแทนที่จะเป็นเสียงนาฬิกาปลุก

หลังจากตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ ผมก็ลุกขึ้นแล้วเห็นเอเลริสผมเผ้ายุ่งเหยิง

“……นี่เธอไม่มีม่านกั้นกันแสงหรืออะไรพวกนั้นเลยเหรอ ?”

“ฉัน….ฉันนอนเยอะน่ะค่ะ ….ถ้าฉันทำแบบนั้นฉันจะไม่ยอมตื่น ….”

เธออธิบายเรื่องนั้นด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งและกระเถิบตัวหนีจากแสงแดด

ผมก็พอรู้แหละว่า เอเลริสเป็นแวมไพร์ไม่ปกติเท่าไหร่ แต่การใช้แสงแดดแทนนาฬิกาปลุกนี่ มันเกินจินตนาการไปจริงๆ

นี่ถ้าเธอลุกช้ากว่านี้ เธอไม่ตายไปแล้วหรอกเรอะ ?

แวมไพร์คนหนึ่งที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ที่แดดส่องถึงแถมยังอากาศถ่ายเทสะดวกด้วย

ถึงจะรู้ว่า เธอเป็นแวมไพร์ระดับสูงที่ทนกับมันได้แต่ก็น่าเศร้าใจจริงๆนะ

“แล้วเธอไม่ไปขอให้เค้าท์พอนทีอุสยกห้องว่างๆในบ้านไหนสักแห่งให้อยู่เหรอ ?”

“การที่สปายทำงานในพื้นที่ด้วยกันมันไม่มีประสิทธิภาพค่ะถ้าคนหนึ่งโดนจับได้อีกคนก็จะติดหลังแหตามด้วยจริงไหมล่ะคะ ?”

เอเลริสถอนใจขณะที่เปลี่ยนเสื้อผ้าตัวเอง

……อย่าน้อยๆก็อย่างมาเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าผมได้ไหม ถึงยังไงผมก็เป็นเด็กหนุ่มอายุ 17 ปีนะเออ !

“คือ เธอไม่เคยรู้สึกว่ามันไม่แฟร์เลยเหรอที่ มีเพียงคนเดียวได้อยู่อย่างชนชั้นสูงน่ะ ?”

“ก็ , ฉันไม่ค่อยชอบตกเป็นเป้าสายตาของคนเท่าไหร่น่ะค่ะ อีกทั้ง ฉันเองก็ยังคิดว่า ซาร์เคการ์นั้นมีชีวิตที่ยากลำบากกว่าฉันมาก”

อ่า หากจะมองในมุมนั้นซาร์เคการ์เองก็ไม่มีเวลาให้ผ่อนคลายเลยแม้ชั่วขณะเดียวแบบนั้นสินะ ? ในขณะที่เอเลริสมีศัตรูเพียงแค่อย่างเดียวคือ ดวงอาทิตย์

“ถ้าหากท่านไม่สะดวกสบายในการอยู่ที่นี่น ฉันคิดว่า ท่านอยู่ที่พักของซาร์เคการ์จะสะดวกกว่าค่ะ

ที่นี่มีอะไรไม่ค่อยเพียบพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตดีๆน่ะค่ะ”

ผมก็ไม่อยากจะพูดแบบนั้นนะแต่ว่า ….

“แต่ , แต่ผมก็ยังอยากอยู่ที่นี่ต่อไปนะ …?”

ผมไม่คิดว่า จะมีวันที่ผมแสดงท่าทางเหมือนเด็กๆแบบนี้เลย

ไม่สิ ผมออกจะมั่นใจด้วยซ้ำซาร์เคการ์ต้องยินดีที่จะช่วยเหลือผมเปล่าๆแน่ๆ't trying to mooch off of him.

แต่เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญเพียงอย่างเดียว

อ่าาา

พวกแมลงน่ะจะมีระบบการเลี้ยงดูผู้ใหญ่กับพวกตัวอ่อนต่างกันออกไป

ตัวอย่างก็เช่น พวกลูกน้ำยุงน่ะจะอาศัยอยู่ในแล้ว ส่วนพวกที่โตเต็มวัยก็จะบินไป  ไม่เพียงแต่มีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างออกไปเท่านั้น หรือก็คือ แมลงโตเต็มวัยกับตัวอ่อนนั้นมีเหยื่อละคนชนิด ก็เลยไม่ต้องมานั่งแย่งเหยื่อกัน

ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแมลง

นั่นก็เพราะเอเลริส คอยเฝ้าดูผมกินอาหารเช้าด้วยสีหน้าไร้ซึ่งความอยากอาหาร ผมเลยคิดว่า เธอน่าจะเพลิดเพลินกับการที่เฝ้าดูผมกิน

ผมคิดเรื่องไร้สาระขึ้นมาเสียได้

“ผมสงสัยนะ เธอดื่มเลือดถี่หรือเปล่า ?”

“อ่าก็…. , สัปดาห์ละครั้งก็พอแล้วล่ะค่ะ”

“จำเป็นต้องเป็นเลือดมนุษย์ไหม ?”

“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดนั้นมีมานาไหลเวียนอยู่ในเลือด ดังนั้นจะใช้หมูหรือไก่ก็ได้เหมือนกันค่ะ

แต่ถึงอย่างนั้นฉันเองก็อยากให้เป็นเลือดที่มีคุณภาพสูง เลือดจากสิ่งมีชีวิตระดับล่างๆนั้นให้ปริมาณมานาที่น้อย ”

เลือดก็คือเลือด แต่ก็ยังมีการแบ่งเลือดที่มีมานามากน้อยอยู่ดี

และเลือดที่มีมานาเข้มข้นนั่นก็คือพวกเลือดของสิ่งมีชีวิตแบบเดียวกับมนุษย์

แค่เพียงหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ เรื่องการไม่มีเรี่ยวมีแรงนั้นไม่ใช่เรื่องตลกเลย

พวกเขานั้นเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงเมื่อเทียบกับมนุษย์ หากเทียบไปในมุมมองของมนุษย์ก็แปลว่า หลังดื่มเลือดวัวไปหนึ่งชามแล้วก็ไม่ต้องกินอะไรเลยไปอีกหนึ่งสะปดาห์ ดังนั้นคุณภาพเลือดจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก

“แล้วอย่างนั้น คนที่ถูกแวมไพร์กัดไม่กลายเป็นแวมไพร์ไปเหรอ ?”

“ก็มีกรณีแวมไพร์เร่ร่อนอยู่นะคะ กรณีนั้นเกิดขึ้นจากการที่พวกเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่ฉันไม่อยากจะเป็นแบบนั้น จะว่าไปการเป็นพวกระดับสูงก็อาจไม่แย่เสียทีเดียว”

“ถ้าอย่างนั้น …. คนที่โดนเธอดูดเลือดจะตายหรือเปล่า ?”

“ท่านพอรู้ไหมคะว่า การมีกองศพมากมายไม่ใช่เรื่องที่เรื่องที่ดีเลยค่ะ ?

ฉันเองก็ดื่มแค่พอที่จะทำให้พวกเขาไม่ตาย แถมฉันเองก็ศึกษาอะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับแวมไพร์ด้วย นอกจากนี้ฉันเองก็ใช้เวทย์มนตร์เก่งนะคะ

ก็เลยสามารถคุมเงื่อนไขเพื่อให้ไม่กระทบกับชีวิตของอีกฝ่ายได้ ”

อย่างที่คิดจริงๆเอเลริสนั้นเป็นแวมไพร์ผู้รักสันติ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีปีศาจดีๆแบบนี้อยู่ด้วย

“แล้วปกติเธอดูดเลือดตอนกลางคืนเหรอ …?”

“ไม่จำเป็นต้องเป็นตอนกลางคืนเสมอไปค่ะ โดยมากแล้วฉันมักจะดูดเลือดจากลูกค้า ก็นะ บางทีก็เหมือนเป็นการลงโทษพวกเขาหน่อยๆแหละที่ล้ำเส้น …”

เอเลริสยิ้มร่า

พอมีลูกค้าแวะมาหา เธอก็จะใช้เวทย์สร้างภาพหลอนแล้วก็ดูดเลือดจากพวกเขาสินะ

……ตอนนี้พอนึกภาพตามก็ชักเสียวๆขึ้นมาละ

“มิสเตอร์ สวินตั้น จากร้านที่อยู่ข้างๆชอบมาก่อกวนน่ะค่ะ พอมาก่อกวนทีไรฉันก็ได้กินอิ่มทุกที

ต้องขอบคุณเขาเหมือนกันนะคะ แต่แน่ล่ะฉันไม่ทำในสิ่งที่เขาอยากให้ฉันทำหรอกค่ะ เขาน่ะแต่งงานมีครอบครัววแล้วด้วย รู้ไหมคะ ?”

“อ่า ….ผม นั่นสินะ ?”

“ฉันไม่ชอบผู้ชายนอกใจค่ะ”

หมอนั่น ขอแค่เป็นมนุษย์สวยๆหน่อยก็ได้หมดเลยสินะ ?

ดูเหมือนว่าพ่อค้ารอบๆนี่จะโดนเอเลริสดูดเลือดโดยไม่รู้ตัวสินะ

แถมเจ้าพวกนั้นยังเดินตรงเข้ามาหาแวมไพร์ด้วยตัวเองอีก

ถึงเธอจะเป็นคนดีแต่ก็มีด้านน่ากลัวๆอยู่เหมือนกันแฮะ

“พอคุยกับท่านแล้ว ไม่เหมือนว่าท่านเสียความทรงจำอย่างเดียวเลยค่ะ เหมือนท่านเสียความรู้ทั้งหมดไปพร้อมกับความทรงจำ”

“อ่าเหรอ…. เป็นแบบนั้นสินะ ?”

“ค่ะ ฉันเคยได้ยินเรื่องของคนเสียความทรงจำบ่อยนะคะแต่กรณีของฝ่าบาทนี่ ….”

เอเลริสเอียงหัวสงสัย เธอรู้ดีว่าผมความจำเสื่อม แต่เธอก็ยังแปลกๆกับมันอยู่ดี เพราะผมถึงกับไม่มีสามัญสำนึกที่ปีศาจสมควรจะมี

“มันเหมือนท่านกลายเป็นคนอีกคนไปเลย ……ฉันรู้สึกแบบนั้นนะคะ”

เอ๋ ขนาดเธอยังรู้เลยเหรอเนี่ย ?

พอมาคิดๆดูแล้วก็สมควรแล้วมั้ง

ในเรื่องแนวที่มาสิงสู่ร่างกายตัวละครหลักเนี่ย โดยมากแล้วไม่เคยมีการเปิดเผยเลยว่า ตัวเอกใหม่มาสิงร่างตัวละคร

แล้วผมจะเฉลยไปทำไมกันล่ะ ? ทำไมผมต้องบอกความจริงด้วยว่าผมไม่ใช่เขา ? ใช่ว่าผมตั้งใจจะให้คนอื่นรู้เสียเมื่อไหร่แต่ถึงอย่างนั้น เอเลริสกลับบอกผมตรงๆว่า เธอรู้สึกเหมือนผมกลายเป็นคนอื่นไปโดยสิ้นเชิง

แต่ถึงอย่างนั้น มันออกจะเป็นการเดิมพันที่เสี่ยงสักหน่อย เพื่อให้ได้ความไว้เนื้อเชื่อใจจากเธอ

“แล้วผมเป็นคนยังไงกันล่ะ ?”

ผมถามคำโดยไม่บอกคำตอบเธอตรงๆ ผมน่ะปรมาจารย์แห่งการแถอ้างและตอแหล พ่นเรื่องไร้สาระตัวพ่อเลยนะ

ถ้าหากอยู่ๆมีคนเข้ามาถามผมว่า ผมส่งต้นฉบับไปตอนไหนแล้ว ผมก็จะตอบกลับไปว่า :

“ไอ้หมอนั่นทำไมมันมาชวนผมไปดื่มเมื่อวานกันวะเนี่ย ?  นี่ถ้าไม่ใช่ไอ้หมอนั่นนะ ป่านนี้ผมส่งไปให้นานแล้วล่ะ ฟู่วววแค่คิดก็ของขึ้นขึ้นมาเลยแฮะ”

แล้วผมก็พ่นเรื่องไร้สาระแถๆอ้างๆมามากมาย

เอเลริสพอถูกผมถามกลับอย่างนั้นเธอก็กอดอก

“อืมม …”

ท่าทางแบบนั้นแหละ ท่าทางของคนเป็นกังวลเลยล่ะ!

เหมือนผมรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นได้แล้ว

ไอ้ระบบเกมบ้าๆนั่น ….

“ทะ, ท่านน่ะเหรอคะ …. ท่านน่ะ  … เป็นเจ้าชายที่ยอดเยี่ยมคนนึงน่ะค่ะ ใช่แล้วค่ะ ยอดเยี่ยม!

แล้วฉัน , ฉันก็มองว่า ท่านน่ะเป็นต้นแบบ …… ท่านเป็นแรงบันดาลใจให้กับปีศาจทั้งหลายเลยนะคะ … ใช่ค่ะ !”

แล้วทำไมอยู่ๆถึงต้องมาตอแหลกันตอนนี้ด้วยล่ะเนี่ย … ?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด