บทที่ 31 ค้นศพอย่างมีความสุข
"ชูเหลียง!" ซ่งชิงอี้ตะโกนด้วยความเศร้าโศกและโกรธแค้น
เธอวิ่งมาหาชูเหลียงและคุกเข่าลงที่ร่างของเขา ดวงตาของชูเหลียงสูญเสียความเป็นประกายไปแล้ว
ซงชิงอี้ที่กําลังร้องไห้อยู่ จู่ๆ ก็ตั้งสติขึ้นได้
หือ.. นี่ข้า ขยับได้แล้วหรือ..
ในเวลานี้เธอมองดวงตาที่ตายแล้วของชูเหลียง.. ซึ่งจู่ๆ ก็ฟื้นคืนประกายและกลับมาดูสดใสอีกครั้ง
"เห้อ.." ชูเหลียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกยาว
วินาทีนั้น มันวูบวาบเหมือนฟ้าผ่า เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดในชีวิตของเขาเลยทีเดียว
...
ก่อนหน้านี้
เมื่อเผชิญหน้ากับนักฝึกปีศาจระดับแกนกลางทอง ชูเหลียงไม่มีทางตอบโต้ได้ เขาเกือบจะล้มเหลว
ถ้าชายเสื้อคลุมดําตัดสินใจฆ่าซ่งชิงอี้และชูเหลียงในทันที เขาก็คงไม่สามารถทำอะไรได้ อย่างไรก็ตามชายชุดดำเลือกที่จะดูดวิญญาณของพวกเขาเพื่อให้ได้รับพลังทั้งหมด
แต่โดยปกติแล้ว สถานการณ์มันควรไม่ต่างกัน แต่จู่ๆ ชูเหลียงก็นึกถึงรางวัลที่น่าผิดหวังที่เขาได้รับจากเจดีย์ขาว - คาถาเปลี่ยนวิญญาณ ถ้ามีจะมีสิ่งใดช่วยพลิกสถานการณ์นี้ได้ ก็คงต้องเป็นสิ่งนี้แล้ว
ดังนั้นเขาจึงดิ้นรนอย่างไม่ลดละ อย่างไรก็ตาม การทำอะไรสักอย่างก่อนที่เขาจะตายไม่ใช่ความพยายามสุดท้ายที่ไร้ความหมาย เขากลับบิดตัวหันกลับ เพียงเพื่อจะเอามันออกมาไว้ข้างหลังโดยไม่สะดุดตา เพื่อเอาเครื่องรางหยกที่มีคาถาเปลี่ยนวิญญาณออกมาเจดีย์ขาวโดยไม่ถูกตรวจพบ
และด้วยเหตุผลเดียวกัน เมื่อชายชุดดํามุ่งเป้าไปที่ซ่งชิงอี้ ชูเหลียงก็ยุแยงให้ชายชุดดําโกรธและเปลี่ยนเป้าหมายมาที่เขาแทน
ชายชุดดำตกบ่วงชูเหลียง ขณะที่ชายชุดคลุมดํากําลังจะดูดวิญญาณของชูเหลียง ชูเหลียงได้ใช้งานเครื่องรางหยกขาว
เครื่องรางหยกแตกออกทันที คาถาเปลี่ยนวิญญาณแสดงผล ชูเหลียงกับชายชุดดำได้แลกเปลี่ยนวิญญาณกันชั่วคราว
หลังจากชูเหลียงเข้าไปในร่างของชายชุดดำแล้วเขาก็เกิดหมดสติและควบคุมร่างกายไม่ได้ จากนั้นแม้จะตั้งสติได้แล้วก็ยังขยับตัวไม่ได้
ความรู้สึกนี้เหมือนคนนอนหลับทับแขน ทำให้เกิดอาการชาที่แขน และรู้สึกว่าตนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ความรู้สึกนั้นก็คือความรู้สึกของชูเหลียง เพียงแต่เขามีอยู่ทั่วร่างกาย เขาไม่สามารถขยับตัวได้เลย โชคดีอาการแข็งเกร็งนี้จะหายไปในอีกไม่นาน
ขณะเดียวกันชายชุดดำก็ตื่นตระหนกอย่างมากเมื่อพบว่าวิญญาณของตนเข้าไปอยู่ในร่างของชูเลี่ยงอย่างลึกลับ อย่างไรก็ตาม พลังแห่งความมืดมืดจากคัมภีร์วิญญาณได้ส่องมาที่ร่างของชูเหลียงที่มีวิญญาณของเขาแล้ว
คัมภีร์วิญญาณได้ดูวิญญาณชายชุดดำภายในไม่กี่อึดใจ หรือพูดอีกอย่างก็คือ เขาตายแล้ว
ด้วยการเสียชีวิตของเขา หมุดวิญญาณซึ่งเดิมเกิดจากความสามารถของเขาก็ได้สลายตัวไป นี่ทําให้ซ่งชิงอี้กลับมามีความสามารถในการเคลื่อนไหวอีกครั้ง จากนั้นเธอก็รีบวิ่งมาหาชูเหลียง
หลังจากสามลมหายใจ วิญญาณที่สดใสก็กลับมาสู่ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็วและสิ้นสุดการเดินทางที่น่าตื่นตาของการแลกเปลี่ยนจิตวิญญาณครั้งนี้
เมื่อชายชุดดำสิ้นชีวิตแล้ว คัมภีร์วิญญาณก็ตกลงบนพื้นและเปลวไฟจากเทียนสีดําก็ดับลงอย่างต่อเนื่อง
ชูเหลียงลุกขึ้นไปหยิบคัมภีร์สีดำเล่มนั้น เมื่อเขาสัมผัสมัน เขารู้สึกถึงชี่แห่งความตายที่แข็งแกร่งและความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้พลุ่งพล่านในหัวใจของเขา มันช่างมืดมนและน่าขนลุก
จากนั้นจึงล้วงมือเข้าไปในเสื้อคลุมของชายชุดดำเพื่อค้นหาทรัพย์สินของผู้บ่มเพาะสายมารรายนี้ ชูเหลียงพบเหรียญสีทองสีเข้มที่สลักคําว่า "ปราบวิญญาณ" และขวดดินเผาเล็กๆ หลายขวด ซึ่งข้างในน่าจะบรรจุสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติต่างๆ เอาไว้
น้ำตาของซ่งชิงอี้ยังไม่ทันแห้ง เธอที่เห็นท่าทางของ ชูเหลียงก็ต้องตกใจ
"ท่าน.. กําลังทําอะไร.." เธอถาม
"ก็แค่ค้นศพ" ชูเหลียงอธิบายอย่างใจเย็น
"ข้ารู้ แต่..."
ซ่งชิงอี้รู้ว่าชูเหลียงกําลังค้นศพและเธอรู้ว่านี่ก็เป็นเรื่องปกติหลังจากการฆ่าศัตรู
“แต่ ท่านรู้ได้อย่างไรว่านี่คือศพ”
สัญญาณต่างๆ บ่งชี้ว่าชายชุดดําเสียชีวิตจริง แต่ดูเหมือนว่ามันจะกะทันหันเกินไป ดวงตาของเธอยังคงเต็มไปด้วยน้ําตาและเธอก็ไม่รู้ว่ามันเพิ่งเกิดอะไรขึ้น นอกจากนี้ ชูเหลียงที่เพิ่งรอดจากความเป็นความตายมาได้ เขาจะใจถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ดูแปลกมากสําหรับเธอ ซ่งชิงอี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็คิดสิ่งใดไม่ออกแม้แต่น้อย
สุดท้ายเธอก็ถามเขาว่า "เขาตายอย่างไร"
"เขาอาจจะสูญเสียการควบคุมในขณะที่ใช้ชั่วร้ายหรืออาจจะมีปัญหาอะไรบางอย่างกับพิธีกรรมนอกรีตของเขา" ชูเหลียงตอบอย่างไม่ลังเล
เขาไม่จำเป็นต้องพูดถึงคาถาเปลี่ยนวิญญาณเพราะนั่นอาจทำให้ซ่งชิง อี้เกิดความสงสัย
และเขาก็รู้ดีว่าซ่งชิงอี้ไม่ใช่คนโง่และจะไม่เชื่อเขาแน่นอน อย่างไรก็ตาม ด้วยการให้คําอธิบายแบบนี้กับเธอ ชูเหลียงได้บอกเป็นนัยถึงสิ่งที่เขาไม่อยากเปิดเผย
ไม่น่าแปลกใจที่ซ่งชิงอี้จะไม่ได้ติดตามเรื่องนี้ต่อไป อย่างไรก็ตาม การหลีกเลี่ยงของชูเหลียงก็ทําให้เธอยืนยันการคาดเดาของเธอได้แล้ว นั่นก็คือ คนที่ฆ่าชายเสื้อคลุมดําคือชูเหลียงจริงๆ
ถึงแม้ว่าชูเหลียงจะเป็นเพียงผู้ฝึกตนในระดับการตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณ แต่เขาก็สามารถฆ่าผู้ฝึกตนที่ไปถึงระดับแกนทองคำได้อย่างเงียบๆ ... ความเข้าใจนี้ทําให้ซ่งชิงอี้รู้สึกตกใจอย่างไม่อาจบรรยายได้
ชูเหลียงถอดเสื้อคลุมของชายชุดดําออก เผยให้เห็นใบหน้าของชายวัยกลางคนอายุประมาณ 30-40 ปีหน้าตาธรรมดา
เมื่อมองแวบแรก ชายคนนี้ก็สมเป็นผู้บ่มเพาะทางสายมารที่ไม่สนใจชีวิตมนุษย์ ก็ไม่น่าเชื่อว่านี่คือใบหน้าที่อยู่เบื้องหลังเสียงแหบแห้งและแก่ชรานั้น
เหตุผลเบื้องหลังความแปลกนี้ก็คือผู้บ่มเพาะในทางสายมารมักใช้ทักษะลับเพื่อปกปิดรูปลักษณ์และเปลี่ยนเสียง ดังนั้น เราสามารถรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาหลังจากพวกเขาตายเท่านั้น
ชูเหลียงนำศพมาค้นอย่างละเอียด ก่อนนำศพกลับไปไว้ที่เดิมและถอดรองเท้าของศพออก
หลังจากนั้น ชูเหลียงก็พูดว่า "มาแบ่งของครึ่งหนึ่งกันเถอะ"
"เอ่อ มิจําเป็น..." ซ่งชิงอี้ตอบพลางรีบโบกมือ "ข้าซาบซึ้งใจมากที่ท่านเดินทางมาไกลเพื่อช่วยข้า ไม่ว่าท่านจะได้อะไรก็เก็บไว้เถิด"
"ข้าทําเช่นนั้นมิได้" ชูเหลียงยิ้มเล็กน้อย
ซ่งชิงอี้มองชายหนุ่มที่ยิ้มตรงหน้าเธอ ทันใดนั้นก็เหม่อลอยเล็กน้อย
ชูเหลียงเป็นสุภาพบุรุษที่สุภาพเรียบร้อย แต่เขาก็ปากร้ายได้อย่างมากเลยทีเดียว และตอนนี้สุภาพบุรุษที่ปากร้าย กำลังค้นศพอย่างมีความสุข ... ซ่งชิงอี้รู้สึกว่าเขาคาดเดาได้ยากมาก
ชูเหลียงเอื้อมมือเข้าไปในรองเท้าของชายชุดดําและพบเงินปึกหนึ่ง เขาไม่ลังเลที่จะดึงพวกมันออกมาและยัดลงในกระเป๋าของเขา
เขาถึงกับพึมพํากับตัวเองว่า “ต้องรีบแล้ว เหลือเวลาไม่มากแล้ว”
"หือ" ซ่งชิงอี้เมื่อได้ยินแบบนั้นเริ่มเครียดอีกครั้ง "จะมีศัตรูมาอีกงั้นหรือ"
"เปล่า..." ชูเหลียงส่ายหัว "อีกไม่นาน อาจารย์ของข้ากำลัง.."
ก่อนที่ชูเหลียงจะพูดจบประโยคนี้ นกตัวหนึ่งก็ส่งเสียงร้องแหลมดังสนั่นฟ้า
มันเหมือนนกฟีนิกซ์ที่บินอยู่เหนือสวรรค์ และเสียงของมันดังก้องอยู่ในทะเลทั้งสี่ทิศ แม้จะห่างออกไปหลายร้อยลี้ มันก็ส่งพลังกดดันออกมาอย่างมหาศาล ด้วยความกลัวตามสัญชาตญาณที่แพร่กระจายเข้าไปถึงกระดูกดำ บรรดาผู้ที่กำลังบินได้ตกลงมายังแผ่นดินโดยไม่ได้ตั้งใจ และบรรดาผู้ที่อยู่บนแผ่นดินก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองท้องฟ้าเพื่อเคารพต่อสิ่งทรงพลังนั้น
ตูม!
ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ดังสนั่นก้องไปทั่วเมืองหยานเจียว มีควันเมฆดอกเห็ดผุดขึ้นมาจากแม่น้ำพร้อมกับกลุ่มละอองฝุ่นหนาทึบ สวรรค์สั่นและแผ่นดินสะเทือน
หลังจากเวลาผ่านไปนานในที่สุดพื้นที่ก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม กระท่อมหญ้าริมฝั่งแม่น้ำหายไปหมดแล้ว มันเหลือเพียงหลุมขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม ยังมีจุดเล็ก ๆ ในปล่องหลุมขนาดใหญ่ที่ไม่เคยขยับ ซ่งชิงอี้เห็นเงารางๆ อยู่ด้านในและเบิกตากว้างอย่างสงสัย
ชูเหลียงลุกขึ้นยืนทันที
ตรงกลางหลุม ท่ามกลางฝุ่นและควัน มีรูปร่างมนุษย์ที่ถูกเปลวไฟกลืนกินตั้งตระหง่านอยู่ ด้านหลังของร่างนั้นถูกตกแต่งด้วยปีกขนาดใหญ่คู่หนึ่ง ทําจากเปลวไฟที่ร้อนแรง
สิ้นเสียงกระพือ ปีกก็หายไปพร้อมกับสายลมที่พัดเอาฝุ่นออก เผยให้เห็นตี้หนิวเฟิ่งพร้อมด้วยสายตาเย็นชาของเธอ เธอสวมเสื้อคลุมสีดำที่มีปกสีแดงรูปร่างสูงสง่าอย่างไม่น่าเชื่อ เธอดูร้อนแรงเหมือนนรก แต่เธอก็เหมือนภูเขาน้ำแข็งในเวลาเดียวกัน
มือขวาของตี้หนิวเฟิ่งจับปกเสื้อของหลินเป่ย เธอหิ้วเขามาเหมือนจับคอไก่ ดวงตาของหลินเป่ยเหลือกไปข้างหลังและใบหน้ากลายเป็นสีม่วงแดง ความเร็วในการบินของตี้หนิวเฟิ่งดูเหมือนจะเร็วเกินกว่าที่เขาจะสามารถรับมือได้
สายตาเย็นยะเยือกของตี้หนิวเฟิ่งมองไปรอบๆ และโยนหลินเป่ยลงกับพื้น
"ศัตรูอยู่ที่ไหน" เธอเอ่ยถาม
"ท่านอาจารย์.." ชูเหลียงกล่าว "ศัตรูตายแล้ว"
"โอ้ เขาตายแล้วหรือ"
ตี้หนิวเฟิ่งผ่อนคลายทันที เธอส่ายหัวและกลับมาอยู่ในลักษณะเกียจคร้านตามเดิม เธอยกน้ำเต้าขึ้นมาจิบไปสองสามอึกจากนั้นจิตสังหารของเธอก็หายไปอย่างสมบูรณ์
ความกดดันที่หนักหน่วงรอบตัวเธอก็ลดลงอย่างกะทันหัน ในเวลานี้ ไหล่ที่ตึงของชูเหลียงก็คลายลงในที่สุด ในเวลานี้ ซ่งชิงอี้ที่ไม่กล้าหายใจในที่สุดก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แรงกดดันที่น่ากลัวก่อนหน้านี้และการดํารงอยู่ที่สามารถทําลายโลกเป็นเพียงผลสืบเนื่องของการลงจอดของตี้หนิวเฟิ่งเท่านั้น ปราณของเธอทรงพลังมาก ชูเหลียงสัมผัสได้นานแล้วว่านี่คืออาจารย์ของเขาที่กำลังมาช่วย เขาจึงกลั้นหายใจเอาไว้
พลังต่อสู้ของผู้บ่มเพาะที่ไปถึงระดับบรรลุเต๋าช่างน่ากลัวจริงๆ ตราบเท่าที่เธอปล่อยพลังระดับนั้นออกมาก็มิสามารถมีใครหายใจออกได้เลย
ตี้หนิวเฟิ่งเดินก้าวใหญ่เข้ามา ต้นขาสีขาวโพลนของเธอมองเห็นได้รางๆ จากด้านข้างเนื่องจากไม่ได้ถูกคลุมด้วยเสื้อคลุมยาวเว้าข้าง
เธอเดินไปหาชายชุดดำและเตะเขาสองครั้ง
"เขาตายแล้วจริงๆ ข้าคิดว่าจะมีการต่อสู้กันเสียอีก" เธอกล่าวอย่างค่อนข้างผิดหวัง จากนั้นเธอก็มองไปที่ชูเหลียง "แล้วเจ้าสองคนฆ่าผู้บ่มเพาะมารระดับแกนกลางทองคําหรือ"
ชูเหลียงไม่มีเจตนาเปิดเผยความลับของเจดีย์ให้ใครฟังจนกว่าจะเข้าใจได้จนถ่องแท้ แม้เขาเชื่อใจอาจารย์ของเขาในระดับหนึ่ง แต่เขาไม่คิดว่าจําเป็นต้องแบ่งปันความลับนี้กับเธอในตอนนี้
ดังนั้นเขาจึงตอบไปว่า “สถานการณ์การตายของชายคนนี้แปลกมาก ข้าคิดว่าเขาโดนวางยา [1] ..”
1. วางยา ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการเอายาพิษให้กินโดยตรง แต่หมายถึงว่าโดนเล่นอุบายบางอย่าง เช่นการวางคาถาไว้กับสิ่งๆ หนึ่ง แล้วหากใช้สิ่งนั้นก็จะโดนสาป หรือไม่ก็โดนหลอกล่อให้ทำอย่างหนึ่งจนถึงอันตรายแก่ชีวิต