บทที่ 23 ข้าจะไม่ทำให้ท่านปู่ผิดหวัง
ณ โถงหลัก บรรดาผู้อาวุโสทุกคนของตระกูลหลัว ต่างไม่เห็นดีกับการที่หลัวเฉิงจะเข้าร่วมแข่งขันล่าสัตว์ในครานี้ด้วย
หลินหยานเงยหน้าขึ้นมองแล้วประชดประชัน “หลัวเฉิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าการแข่งขันล่าสัตว์ครั้งนี้หมายถึงอะไร มันเป็นเรื่องที่เจ้าอยากเข้าร่วมเมื่อไรก็ได้หากต้องการงั้นหรือ ถ้าตระกูลเราพ่ายแพ้เพราะเจ้า เจ้ารับผิดชอบได้หรือ”
มิเพียงหลินหยานเท่านั้น แม้แต่หลัวหมิงซานเอ็งก็ยังกล่าวว่า “เฉิงเอ๋อร์ การชุมนุมล่าสัตว์ในครานี้มิใช่เรื่องเล็กๆ เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่”
“ท่านปู่ ข้าจะไม่ทำให้ท่านปู่ผิดหวัง” หลัวเฉิงกล่าวพลางยกมือประสาน
เขาจ้องเข้าไปในดวงตาของหลัวหมิงซาน ด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น
หากข้ากล่าวกับท่านปู่เช่นนี้แล้วยังมิเป็นผล เกรงว่าข้าคงต้องแสดงระดับพลังยุทธ์แท้จริงเท่านั้น
เมื่อเห็นความมุ่งมั่นของหลัวเฉิง หลัวหมิงซานก็เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเปิดปากเอ่ยกับหลัวเฉิง
“เนื่องจากเจ้ามีความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือตระกูล ปู่จะให้โอกาสเจ้า อีกสามวันข้างหน้า เจ้าทั้งสี่คนต้องประลองฝีมือกันเพื่อคัดเลือกผู้เข้าร่วมคนสุดท้าย เจ้าเห็นเป็นอย่างไร”
“ขอบคุณที่ให้โอกาสข้าขอรับท่านปู่!” หลัวเฉิงประสานมือกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เขาถอนใจยาวด้วยความโล่งอก เพราะตนนั้นไม่ต้องแสดงระดับพลังยุทธ์ต่อหน้าผู้อื่นแล้ว
การทะลวงพลังยุทธ์จากขั้นหลอมกายาระดับสี่ เข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับหกในเวลาครึ่งเดือนได้ นั่นก็ทำให้ทุกคนต่างประหลาดใจกันอยู่แล้ว
หากพวกเขาได้รู้ว่า หลัวเฉิงนั้นทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับแปดแล้ว คงเป็นการยากที่จะหาเหตุผลมาอธิบายให้พวกเขาได้เข้าใจ
“เสียเวลาเปล่า!” หลินหยานม้วนริมฝีปากของนางพึมพำด้วยความดูถูก
ตามความเห็นของนางนั้น ความสามารถของหลัวเฉิงเป็นไปไม่ได้ที่จะเก่งกว่าหลัวเฟย และคนอื่นๆ นี่ก็เปรียบเหมือนความปรารถนาที่ไม่มีวันเป็นจริง!
หลังได้ฟังวาจาของผู้นำตระกูลกล่าวเช่นนั้น ก็หาได้มีผู้ใดคัดค้านอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ผู้เข้าแข่งขันในงานประชุมล่าสัตว์ตำแหน่งสุดท้าย ล้วนต้องได้มาจากความสามารถและความแข็งแกร่งของผู้นั้น
แต่ทว่า ผู้อื่นนั้นก็คิดเฉกเช่นเดียวกับหลินหยาน เพราะไม่มีใครเชื่อว่าหลัวเฉิงจะสามารถมีคุณสมบัติเข้าร่วมการแข่งขันชุมนุมล่าสัตว์ได้ภายในสามวัน
เพราะในเวลาเพียงแค่นั้นไม่มีทางที่ระดับพลังยุทธ์ของเขาจะเลื่อนให้สูงขึ้นได้
อีกทั้งการแข่งขันในคราวนี้ หลัวจื่อซิง หลัวชิงหว่าน และหลัวเฟย พวกเขาล้วนมีระดับพลังยุทธ์ต่ำสุดก็คือขั้นหลอมกายาระดับเจ็ด เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะของตระกูลหลัว! แต่กระนั้นแล้วก็ยังมิอาจเทียบได้กับหนุ่มเจ้าสำราญอย่างฉีตง
หลังจากจบการหารือเรื่องผู้เข้าแข่งขันล่าสัตว์ หลัวเฉิงก็ไม่มีสิ่งใดให้กล่าวเพิ่มเติมอีก ดังนั้นเขาจึงขอตัวลาแล้วกลับไปทันที
ครั้นถึงจวน เขาก็เดินตรงไปยังลานฝึกยุทธ์เล็กๆ แล้วเริ่มฝึกฝน
“ฉีถิงและหลินอวิ๋นได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับแปดเมื่อนานแล้ว ตอนนี้พวกเขาคงอยู่ในขั้นหลอมกายาระดับเก้าแล้วกระมัง ตัวข้าเองก็ต้องเร่งทะลวงให้ถึงระดับเก้าโดยเร็วเช่นกัน!”
ในเมื่อ ปัญหาที่ตระกูลหลัวต้องประสบเป็นความผิดเขา ดังนั้นหลัวเฉิงจึงตัดสินใจจะคว้าอันดับหนึ่งในการแข่งขันล่าสัตว์ในครานี้ ทั้งยังถือเป็นการรักษาหน้าของปู่เขาไว้อีกด้วย
หลัวเฉิงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหยิบโอสถหลอมกายาที่เขาซื้อจากศาลาหลิงอวิ๋นออกมา
โอสถหลอมกายานี้ มีขนาดเท่ากับถั่วเหลือง มีสีเหลืองอ่อน และกลิ่นหอมจางๆ ไม่ช้าเขาก็นำมันเข้าปากทันที
หลังจากกลืนโอสถหลอมกายาในอึกเดียว หลัวเฉิงก็รู้สึกถึงพลังแห่งโอสถที่ปะทุขึ้นจากท้องน้อยและแพร่กระจายไปทั่วร่างกายอย่างฉับพลัน
โดยไม่รอช้าให้เสียการหลัวเฉิง รีบตั้งท่าฝึกฝนเพลงหมัดสยบภูผา จากนั้นจึงเริ่มออกหมัดเพื่อขัดเกลาโอสถหลอมกายาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
เวลาก็เหมือนกระแสน้ำที่หลั่งไหลผ่านสายธาร ไม่นานก็ผ่านไปหนึ่งวัน
ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน ณ ลานฝึกยุทธ์เล็กๆ มีเสียงหมัดคำรามอย่างไม่หยุดยั้ง
“สะท้านขุนเขา!”
“คีรีพินาศ!”
หลัวเฉิงชกหมัดของเขาแต่ละครั้งนั้นรวดเร็วประดุจสายฟ้า แต่ยังคงความหนักหน่วงราวกับขุนเขาเคลื่อนไหว
“ย้ายภูผาเคลื่อนมหาสมุทร!”
ทันใดนั้น หลัวเฉิงก็แผดเสียงตะโกนและออกกระบวนท่าของเพลงหมัดสยบภูผา ซึ่งเป็นกระบวนท่าที่สาม ร่างเขาพลันกระโจนสูงจากพื้น แล้วพุ่งหมัดอันหนักหน่วงลงมาราวกับขุนเขาอันหนักอึ้ง ก่อนกระแทกเข้าใส่เสาฝึกซ้อม
ปัง!
เสียงปะทะก้องดังอย่างรุนแรง และเสาฝึกซ้อมนั้นก็ถึงกับสั่นสะท้านดั่งร่างคนสะบั้นหนาว
หลัวเฉิงยืนกำหมัดแน่น ขณะทอดสายตาดูรอยหมัดที่ฝังลึกลงไปบนเสาฝึกซ้อม ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย
“หมัดของข้ารุนแรงกว่าขั้นหลอมกายาระดับแปด! เช่นนั้นคงอีกไม่นาน เพลงหมัดสยบภูผาอาจถึงขั้นสมบูรณ์แบบ”
เมื่อฝึกฝนวรยุทธจนบรรลุขั้นฉลาดล้ำเลิศ พลังที่แท้จริงของมันจะถูกปลดปล่อย ทำให้เห็นถึงความแข็งแกร่งส่วนใหญ่ของวรยุทธนั้นได้
แต่หากฝึกฝนข้ามไปอีกระดับจนบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ จะสามารถเคลื่อนไหวได้ตามต้องการโดยไม่จำเป็นต้องเรียงกระบวนท่า และพลังโจมตีจะยิ่งสูงขึ้นไปอีก!
เพียงแต่ การฝึกฝนวรยุทธให้บรรลุขั้นสมบูรณ์แบบนั้นยากหายใช่น้อย ผู้ฝึกยุทธ์จำต้องมีความเข้าใจในเคล็ดวิชานั้นสูงมากทีเดียว
หลัวเฉิงเพิ่งฝึกฝนจนเข้าใกล้ขอบเขตของขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้นเอง
แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะบรรลุ!
บรรดาศิษย์ของตระกูลหลัว หรือแม้แต่ศิษย์ทั้งหมดที่อยู่ในเมืองฉีซาน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนวรยุทธระดับสามดาวให้บรรลุขั้นฉลาดล้ำเลิศได้ ซึ่งผู้ที่ฝึกฝนวรยุทธจนบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบนั้นกลับน้อยยิ่งกว่า