บทที่ 219 น่าเสียดาย ที่พวกเจ้าจะไม่มีโอกาสนั้น!
ทั้งคู่ระเบิดหัวเราะเสียงดัง ก่อนหลินเทาจะเอ่ยถามเฉิงหลงถึงเรื่องการแข่งขันระดับสำนักครั้งนี้
“พี่เฉิง เช่นนั้น การแข่งขันระดับสำนักคราวนี้ ท่านคงชนะเป็นอันดับหนึ่งในอาณาจักรเสินไห่ และผ่านการประเมินของสำนักเทียนโต้วได้สำเร็จแน่นอน”
เฉิงหลงยิ้มอมภูมิ “เป็นอันดับหนึ่ง ข้าไม่แน่ใจนัก แต่หากติดสามอันดับแรกประจำอาณาจักรเสินไห่ ข้ามั่นใจเสียยิ่งกว่าอะไร”
กล่าวจบ เขาก็ปลดปล่อยปราณทั้งหมดออกมาปกคลุมรอบกาย แสดงให้ลูกพี่ลูกน้องตนได้ประจักษ์เห็นถึงความก้าวหน้าอันน่าทึ่ง
ว่าเพลานี้ เขาได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นราชันยุทธ์ระดับสี่ขั้นปลาย ประจวบเหมาะอย่างน่าประทับใจ
หลินเทาสะดุ้งตกใจ เพราะตามข่าวลือจากคนภายนอก เฉิงหลงอยู่ในขั้นราชันยุทธ์ระดับสามขั้นปลายมิใช่หรือ
โดยไม่คาดคิด ความแข็งแกร่งแท้จริงของเฉิงหลงกลับอยู่ในขั้นราชันยุทธ์ระดับสี่ขั้นปลาย ซึ่งแตกต่างจากระดับความแข็งแกร่งของเขาขณะนี้มาก
“ข้าไม่คิดเลยว่า พี่เฉิงจะทะลวงเข้าสู่ขั้นราชันยุทธ์ระดับสี่ขั้นปลายแล้ว!” หลินเทาอุทาน
“ด้วยความแข็งแกร่งของท่านเพลานี้ สำมะหาอะไรกับสามอันดับแรกเล่า ข้าว่าคงได้ครองอันดับหนึ่งประจำอาณาจักรเสินไห่ครานี้แน่นอน!”
ครู่ที่หลินเทาบอกว่าเฉิงหลง จะสามารถชนะเป็นอันดับหนึ่งประจำอาณาจักรเสินไห่ มันเป็นเพียงวาจาที่สุภาพ แต่ตอนนี้ หลินเทากล้ากล่าวออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจแล้ว
เฉิงหลงเผยยิ้มพร้อมกล่าวอย่างถ่อมตน “ข้าหมายจะปกปิดความแข็งแกร่งตนไว้ เพื่อจับตาดูผู้อื่นที่อาจเผยความแข็งแกร่งระหว่างแข่งขัน เพราะตราบใด ข้าก็สามารถติดหนึ่งในสามอันดับแรกของอาณาจักรเซินไห่ครานี้ได้อยู่แล้ว”
ทั้งสองนั่งดื่มและอยู่สนทนากันไปสักพัก ก่อนเฉิงหลงจะกล่าวอำลาพร้อมขอตัวจากไป
แต่ก่อนขอตัวไปพัก เฉิงหลงยังกล่าวรับรองกับหลินเทา ว่าสามารถอยู่ภายในจวนเขาได้โดยไม่ต้องกังวลสิ่งใด เพราะจวนเขาปลอดภัยมีการรักษาอย่างแน่นหนา จนไม่จำเป็นต้องหวั่นกลัวอันตรายอื่นๆ
หลังเฉิงหลงจากไปแล้ว ผู้อาวุโสสำนักถัวหลัวก็ปรี่เข้ามากล่าวกับหลินเทาถึงเรื่องวันนี้ “ท่านรองเจ้าสำนัก คราวนี้หยางเสี่ยวเทียนสังหารคนของเราไปมาก เราต้องไม่ปล่อยมันไป”
ดวงตาหลินเทาแดงก่ำ เปี่ยมด้วยเจตนาฆ่า “แน่นอน ข้าไม่ลืมเรื่องวันนี้แน่ ถึงเราจะสังหารหยางเสี่ยวเทียนไม่ได้ แต่เราจัดการกับบิดามารดาเขา เพื่อล้างแค้นให้แก่เหล่าวิญญาจารย์ที่ตายไปได้!”
“ใช่ขอรับ”
“แต่น่าเสียดาย ที่เจ้าไม่มีโอกาสนั้น…” จู่ๆ สุ้มเสียงเย็นเฉียบจากทิศไหนมิทราบได้ พลันดังแทรกความมุ่งหวังของทั้งสองขึ้น
สุ้มเสียงแห่งความตาย แว่วดังฉับพลันจนทำให้หลินเทาและผู้อาวุโสสำนักถัวหลัวตกใจหันซ้ายหันขวาหาเจ้าของเสียง
“ผู้ใดกัน!”
ทั้งสองหันมองหน้ากัน ก่อนหันหาต้นเสียงที่คล้ายมีคนเดินสักไม้เท้าอยู่ในมุมมืดหนึ่ง หลินเทาและผู้อาวุโสสำนักถัวหลัวเบิกตาค้าง ครั้นปรากฏเห็นอูฉีย่างกรายออกมาพร้อมกับไม้เท้าพยุงร่างขนาดใหญ่ในมือ
“เป็นเจ้า!” ชายทั้งสองอุทานลั่น ด้วยจดจำอูฉีได้ขึ้นใจ
ฟึบ!
หลินเทาพร้อมผู้อาวุโสเตรียมชักกระบี่ แต่กลับถูกแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว ทุ่มกดทับลงมาตั้งแต่เหนือศีรษะ กระทั่งพวกเขาขยับเขยื้อนเคลื่อนตัวไม่ได้
ภายใต้แรงกดดันอันน่าพรั่นพรึงนี้ พวกเขารู้สึกเหมือนถูกภูเขาทั้งลูก กดทับทั้งตัวจนเริ่มหายใจไม่ออก และแม้แต่การเคลื่อนไหวก็พานช้าลง
“จักรพรรดิยุทธ์!” ชายทั้งสองพยายามเงยหน้าขึ้นมองอูฉีด้วยความหวาดกลัว
ซึ่งชายชราตรงหน้าพวกตน ต้องไม่ใช่แค่วิญญาจารย์ขั้นจักรพรรดิยุทธ์ธรรมดาแน่นอน
แม้พวกเขาจะเคยประสบพบเจอกับวิญญาจารย์ขั้นจักรพรรดิยุทธ์มาหลายคน แต่วิญญาจารย์ขั้นจักรพรรดิยุทธ์ที่สามารถทำให้พวกเขาเป็นเช่นนี้ได้ ไม่น่ามีสักคน
เว้นแต่เขาจะอยู่ในขั้นจักรพรรดิยุทธ์ระดับสูงสุด
“ข้าบอกว่าเจ้า จะไม่มีโอกาสเหล่านั้น” ดวงตาอูฉีนิ่งเย็น แม้นเขาไม่ได้ปลดปล่อยวงแหวนวิญญาณออกมาให้ทั้งคู่หวาดกลัวไปมากกว่านี้ แต่เพลานี้ พวกเขาก็ยำเกรงจนสติแทบหลุดลอยไปแล้ว
ครั้นอูฉีโบกไม้เท้าในมือ ทันใดนั้น แสงสีเขียวเข้มก็พุ่งออกมา
หลินเทากับผู้อาวุโสสำนักถัวหลัวเห็นดังนั้น ทั้งคู่ก็เร่งโคจรปราณแท้และปลดปล่อยวิญญายุทธ์อย่างบ้าคลั่ง เพื่อระเบิดแรงกดทับออกด้วยกำลังทั้งหมดที่พวกตนมี
แต่อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่พวกเขากำลังพยายามจวนสุดกำลังตนอยู่นั้น แสงสีเขียวเข้มก็สาดเข้าหาทั้งสอง กลืนกินทั้งร่างพวกเขา รู้สึกราวกับจมดิ่งลงใต้น้ำลึกด้วยหายใจไม่ออก
หลินเทากับผู้อาวุโสสำนักถัวหลัว ถูกแช่แข็งขณะเบิกตาค้างด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
พวกเขาได้เพียงยืนแข็งทื่อ เฝ้าดูร่างกายของตนถูกกัดกร่อนจากอากาศเย็นเฉียบอันน่าสะพรึงกลัว กระทั่งสีสันสดใสของโลกภายนอก ถูกสีเขียวเข้มบดบังดวงตาทั้งคู่จนมิด
อูฉีเหลือบมองหลินเทาและผู้อาวุโสสำนักถัวหลัว ที่ถูกแช่แข็งกลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็ง ด้วยคลื่นแสงจากไม้เท้าในมือเขา ก่อนพริบตา อูฉีจะใช้ไม้เท้าในมือแทงทั้งสองจนแตกเป็นก้อนน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วน กระจัดกระจายไปทั่วพื้นดิน
เมื่ออูฉีสังหารคนทั้งสองสิ้น เขาก็อันตรธานหายไปจากจุดนั้น ขณะเดินโงกเงกประหนึ่งผู้เฒ่าใกล้ตาย
รุ่งขึ้น เฉิงหลงก็ออกมายังเรือนพักหลินเทาแต่เช้าตรู่ หลังมีคนวิ่งหน้าตั้งไปตาม เขายืนมองดูศพหลินเทาและคนจากสำนักถัวหลัวที่เหลือเพียงเศษชิ้นส่วนเล็กๆ อย่างน่าสยดสยอง ขณะใบหน้ามืดมนระคนพรั่นพรึง
“หยางเสี่ยวเทียน เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!” เฉิงหลงขบกรามแน่น
ไม่จำเป็นต้องคาดเดาว่าการตายของหลินเทาและคนสำนักถัวหลัว เป็นฝีมือของผู้ใด เพราะคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหยางเสี่ยวเทียน
หยางเสี่ยวเทียน เจ้ากล้าสังหารคนในจวนข้า!
ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ ว่าผลของการทำให้ข้าขุ่นเคืองจะลงเอยเช่นไร! เฉิงหลงกำหมัดแน่น เขาแทบทนรอบดขยี้หยางเสี่ยวเทียนจนเป็นชิ้นๆ ไม่ไหว