บทที่ 188: ข้าสมองตายจึงไปยังอาณาจักรหยาน!
[แฟนเพจBamแปลNiyay:ลงแบบราคาถูกโคตรในmy-novel(ลงช้ากว่าThai-novel100ตอน)กับthai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นนอกจากสองเว็บนี้คือไม่ใช่ผมนะ ถ้าเจอคนอ่านก็อปดันเยอะกว่าก็ท้อเป็นนะครับ]
[ถ้าอ่านฟรีแบบเถื่อนไม่ว่าจะได้มายังไงนั้น ผมไม่ว่าเลยครับ และต่อให้ไม่มีคนอ่าน ผมก็ยังจะแปลต่อจนจบด้วย แต่ถ้าจะจ่ายเงินให้เว็บหรือคนที่copyไปขายอีกที คุณโคตรแย่เลยครับ]
[หลังแปลจบจะมีการแก้คำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น ดังนั้นถ้าคุณอ่านแบบเถื่อน ก็เชิญเลยครับ เพราะมันไม่มีอัพเดทให้หรอก]
บทที่ 188: ข้าสมองตายจึงไปยังอาณาจักรหยาน!
ตัวแทนของราอาณาจักรหยานเมื่อเห็นฉากตรงหน้า เขาก็หัวเราะอย่างสนุกสนาน
เป็นการเดินหมากที่เรียกได้ว่าโหดเหี้ยมยิ่งนัก!
แม่นยำ ตรงจุด! ทะลุทะลวง!
เดิมทีพวกเขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ของอาณาจักรอู๋ แต่พวกเขาได้ย้ายไปอยู่อาณาจักรตรงข้ามเพราะข้าหลวงฉ้อราษฎร์บังหลวง และตอนนี้ พวกเขากำลังมาประชันกับอาณาจักรอู๋ นี่ไม่ใช่เป็นการพิสูจน์ว่าอาณาจักรอู๋ไร้ความสามารถหรอกหรือ?
หากอาณาจักรอู๋ไร้ความสามารถเช่นนี้ เจ้าจะมีคุณสมบัติอะไรที่จะต่อกรกับอาณาจักรหยานของเรา?
ในเวลาเดียวกัน มันยังเป็นการบอกอีกว่าทั่วทั้งอาณาจักรอู๋เต็มไปด้วยข้าหลวงฉ้อราษฎร์บังหลวง?
ทั้งยังเป็นการกระทำที่หยามหน้า ทำให้พวกเขาสูญเสียความมั่นใจและมุ่งมั่นทั้งหมดที่อยู่
ติงเส้าเจี๋ยเผยรอยยิ้มที่พึงพอใจ มองไปยังคนของอาณาจักรอู๋ที่กำลังใจตกต่ำ เขาปรบมือให้กับตนเองกับความคิดสุดบรรเจิดของตน!
ในขณะนี้เอง หลินเป่ยฟานก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับโค้งคำนับและกล่าวว่า “ฝ่าบาท หลังจากได้ยินคำพูดของตัวแทนหอาณาจักรหยาน ติงเส้าเจี๋ย ตัวกระหม่อมก็รู้สึกสัมผัสถึงมันได้อย่างลึกซึ้งและทำให้เกิดอารมณ์นับไม่ถ้วนคุกรุ่นภายในใจ กระหม่อมมีบางอย่างจะกล่าวเช่นกัน ขอพระองค์ทรงพระอนุญาติได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
จักรพรรดินีกระพริบตาด้วยความสับสน ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายต้องการทำอะไรกันแน่
แต่ด้วยความไว้วางใจในตัวหลินเป่ยฟาน นางจึงยิ้มและพูดว่า “เชิญท่านกล่าวออกมาได้เลย!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” หลินเป่ยฟานเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองเสนาบดีพลเรือนและทหาร ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ที่จริงตัวกระหม่อมก็ไม่ได้มาจากอาณาจักรอู๋!”
"อึก!" คำพูดนี้ก่อให้เกิดความโกลาหลทันที
ในฐานะผู้ทำคะแนนสูงสุดในการสอบจอหงวนและเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของสำนักศึกษาหลวง เขาไม่ได้มาจากอาณาจักรอู๋งั้นหรือ?
จักรพรรดินีรู้สึกประหลาดใจพอสมควร แต่เมื่อพิจารณาภูมิหลังของอีกฝ่ายแล้ว นางก็เริ่มเข้าใจ
หลังจากที่หลินเป่ยฟานกลายเป็นผู้ทำคะแนนสูงสุด นางก็ลอบไปตรวจสอบตัวตนและภูมิหลังของเขา
ทว่าการสืบสวนได้แค่ข้อมูลเมื่อสามปีที่แล้วเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นมันก็ว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ ราวกับว่าจู่ ๆ เขาก็ปรากฏตัวออกมาจากอากาศอันว่างเปล่า
ตอนนี้เขากำลังประกาศเรื่องนี้ออกมาอย่างเปิดเผย ซึ่งกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของจักรพรรดินีเช่นกัน
“เช่นนั้นท่านมาจากอาณาจักรใดกัน?” จักรพรรดินีกล่าวถาม
หลินเป่ยฟานส่ายหัวและกล่าวว่า “กระหม่อมเป็นคนที่มาจากเทือกเขาอันทุรกันดาร ไร้ถิ่นฐาน ไร้อาณาจักร! ในเวลานั้น กระหม่อมอาศัยอยู่ในสถานที่ที่อยู่บนพรมแดนระหว่างอาณาจักรอู๋และอาณาจักรหยาน แต่อาจเรียกได้ว่าอยู่ใกล้อาณาจักรหยานมากกว่า! ทว่าเพื่อแสดงความสามารถของกระหม่อมและเพื่อประโยชน์ของราษฎร ตัวกระหม่อมเลือกที่จะมาที่อาณาจักรอู๋!”
องค์ชายสามของอาณาจักรหยานจึงอดไม่ได้ที่จะพูดแทรก “ท่านหลิน ในเมื่อท่านต้องการแสดงความสามารถของท่าน ไฉนเลยไม่มายังอาณาจักรหยาน?”
“อาณาจักรหยานของท่านมีประโยชน์อันใดให้บ้างงั้นหรือ?” หลินเป่ยฟานถามกลับไปอีกครั้ง
องค์ชายสามเปิดใจและตะโกนออกมาว่า “อาณาจักรหยานของเรามีหน่วยงานที่สะอาดไร้มลทิน แสวงหาผู้มีพรสวรรค์อย่างกระตือรือร้นและโอบกอดแม่น้ำทั้งหมู่มวล! บุคคลที่มีความสามารถและเรียนรู้ได้ ทุกคนจะมีคุณค่าสูงยิ่ง! ท่านหลิน ด้วยพรสวรรค์และความรู้ของท่าน หากท่านมาที่หอาณาจักรหยานของเรา ท่านจะได้เลื่อนยศขึ้นเป็นขุนนางในทันที!”
หลินเป่ยฟานหัวเราะเบา ๆ “องค์ชายสาม ท่านคงกำลังล้อเล่นแล้ว!”
“ข้าล้อเล่นงั้นหรือ?” องค์ชายสามถึงกับตกตะลึง
"ใช่แล้ว! ดูผู้มีความสามารถเหล่านี้สิ!“หลินเป่ยฟานชี้ไปที่กลุ่มตัวแทนที่มีความสามารถข้างองค์ชายสามและกล่าวโต้ไปว่า”พวกเขาทั้งหมดมาจากบัณฑิตชุดเดียวกันกับกระหม่อม และตอนนี้มันก็ผ่านมาครึ่งปีแล้ว! ฝั่งหนึ่ง ตัวกระหม่อมเป็นผู้อำนวยการใหญ่ที่สำนักศึกษาหลวงในอาณาจักรอู๋ ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นขุนนางระดับสี่! แล้วพวกเขาเล่า?”
องค์ชายสามหยานซิงเหอถึงกับพูดไม่ออก "เอ่อ คือว่า..."
หลินเป่ยฟานหันศีรษะและมองไปยังติงเส้าเจี๋ย ตะโกนกู่ก้องสุดเสียง “ติงเส้าเจี๋ย ท่านเป็นตัวแทนของอาณาจักรหยาน! ข้าขอถามท่านว่ายามนี้ ท่านอยู่ในอันดับใดและท่านอยู่ในตำแหน่งใดกัน?”
ติงเส้าเจี๋ยพูดจาตะกุกตะกัก “ยามนี้ข้าเป็นขุนนางระดับเจ็ดแห่งสถาบันฮั่นหลิน ทำหน้าที่รวบรวมตรวจสอบเอกสารราชการ!”
“ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ท่านมีส่วนร่วมอะไรกับอาณาจักรหยาน?” หลินเป่ยฟานตั้งคำถามด้วยเสียงอันดังสนั่นอีกครั้ง
ติงเส้าเจี๋ยได้แต่ชักงักไป “อึก…ข้าไม่ได้มีส่วนร่วมสำคัญอะไรเลย!”
ในสถาบันฮั่นหลิน บทบาทของเขาคือการจัดระเบียบหนังสือและร่างเอกสาร คล้ายกับงานทั่วไป
เขาไม่สามารถนึกถึงผลงานใด ๆ ที่สามารถผุดมาได้จากงานดังกล่าวได้เลย
ต่อให้มีหรือไม่มีพวกเขา งานนี้ก็ยังดำเนินต่อไปได้
หลินเป่ยฟานหันหน้าไปหาอีกคน “ถังหยง ท่านเป็นผู้ทำคะแนนสูงสุดของอาณาจักรหยาน! ยามนี้ท่านอยู่ในอันดับใดและท่านอยู่ในตำแหน่งใด?”
ถังหยง ผู้ทำคะแนนสูงสุดรู้สึกละอายใจและกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าเป็นนักวาดเขียนในสถาบันฮั่นหลิน ซึ่งเป็นตำแหน่งขุนนางระดับหก!”
ตำแหน่งนี้มีความคล้ายคลึงกับของติงเส้าเจี๋ย ทั้งคู่ทำงานที่ทั่วไปมาก คล้ายกับผู้ช่วยตรวจสอบธรรมดาทั่วไป
“ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ท่านมีส่วนร่วมอะไรกับอาณาจักรหยาน?” หลินเป่ยฟานทวนถามอีกครั้ง
ถังหยงรู้สึกละอายใจมากยิ่งขึ้น “ข้าไม่ได้มีส่วนร่วมสำคัญอะไรเลย ข้ารู้สึกละอายใจยิ่งนัก!”
หลินเป่ยฟานมองไปยังบุคคลที่สาม “หลิวไห่ ท่านเป็นบัณฑิตอันดับสองของอาณาจักรหยาน…”
หลินเป่ยฟานถามพวกเขาทีละคนเช่นนี้
ทุกคนที่ถูกถามโดยหลินเป่ยฟานต่างรู้สึกอับอายและหวังว่าพวกเขาจะหาที่ซ่อนได้
เพราะพวกเขาทั้งหมดเป็นบัณฑิตที่ร่ำเรียนในปีเดียวกัน แต่หลินเป่ยฟานที่อายุน้อยกว่าพวกเขาได้ไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งสูง ใช้อิทธิพลของตนในราชสำนัก ชี้นำประเทศและสร้างคุณงามความดีชั่วชีวิต!
เขามีความสำเร็จและผลงานมากมาย สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลกทำให้ผู้คนต่างอิจฉาและชื่นชม!
และในทางกลับกัน พวกเขาเป็นขุนนางในสถาบันฮั่นหลิน ทำงานจิปาถะทั่วไปที่เป็นเหมือนฟันเฟื่องไร้ค่า!
พวกเขาไม่มีความสำเร็จทางการเมือง ไม่อาจแสดงความทะเยอทะยานได้!
ช่องว่างมันกว้างเกินไป ยิ่งพวกเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งอับอายมากขึ้นเท่านั้น!
หลินเป่ยฟานเงยหน้าขึ้น “องค์ชายสามแห่งอาณาจักรหยาน นี่คือคำตอบของกระหม่อม!”
“พวกเขาและกระหม่อมเป็นบัณฑิตในปีเดียวกัน แต่หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งปี ตำแหน่งของพวกเขายังไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ความสามารถและความรู้ของพวกเขาไม่อาจได้ใช้งาน จนพวกเขาจวนจะลืมทุกสิ่งไปหมดสิ้นแล้ว!”
“แต่ในอาณาจักรอู๋ ตัวกระหม่อมได้รับการเลื่อนขั้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ขุนนางระดับหกที่ต่ำต้อย ไปจนถึงขุนนางระดับสี่ กลายเป็นผู้อำนวยการใหญ่แห่งสำนักศึกษาหลวง! กระหม่อมยังสามารถเข้าและออกจากราชสำนัก แบ่งเบาภาระของฝ่าบาทและแสวงหาความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ปวงราษฎร!”
“นอกจากนี้ กระหม่อมยังได้รับความโปรดปรานและความมั่งคั่งจากฝ่าบาท เพลิดเพลินกับพวกมันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!”
หลินเป่ยฟานเย้ยหยัน “ด้วยเหตุนี้ ตัวกระหม่อมคงต้องเป็นคนโง่แน่หากคิดไปยังอาณาจักรหยาน!”
"ฮ่าฮ่า! ท่านหลิน สิ่งที่ท่านกล่าวมาเป็นความจริงอย่างยิ่ง!” จักรพรรดินีและเสนาบดีพลเรือนและทหารทั้งหมดต่างระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
องค์ชายสามของอาณาจักรหยานและตัวแทนคนอื่น ๆ พูดไม่ออก หาทางโต้แย้งไม่ได้เลย
พวกเขาต้องการปกป้องตัวเอง แต่พวกเขาก็ตระหนักว่าข้อเท็จจริงนั้นปฏิเสธไม่ได้สักข้อเดียว
สิ่งที่พวกเขาเพิ่งสร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบาก กลับถูกขจัดออกไปอย่างสมบูรณ์!
องค์ชายสามเริ่มโกรธและละอายใจเล็กน้อย “ท่านหลิน ไม่ว่าท่านจะพูดจาคล่องแคล่วเพียงใด ไม่ว่าท่านจะพยายามโต้แย้งยังไง มันก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาณาจักรอู๋ของท่านมีข้าหลวงฉ้อราษฎร์บังหลวงมากมาย! ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ผู้มีพรสวรรค์จะได้รับการยอมรับได้ยังไงกัน? แค่ไม่ถูกข่มเหงก็นับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว!”
“กระหม่อมไม่ปฏิเสธว่ามันมีปัญหาเช่นนี้อยู่ในอาณาจักรอู๋! แต่เพราะปัญหาเหล่านี้ ผู้ที่มีความสามารถและความรู้อย่างเราจึงจำเป็นยิ่งกว่า! เพียงแค่แก้ปัญหาเหล่านี้ได้ เราก็สามารถพิสูจน์ความสามารถของเราได้! มิฉะนั้นแล้ว หากไม่มีปัญหาที่ต้องแก้ไข บัณฑิตเยี่ยงเราจะไปมีประโยชน์อะไร?”
หลินเป่ยฟานชี้ไปที่ตัวแทนผู้เป็นบัณฑิตของอาณาจักรหยานอย่างเยาะเย้ยและพูดเย้ยหยันไปว่า “พวกท่านต้องการเป็นเหมือนพวกเขา มีเพียงความรู้ที่สูญเปล่า ใช้เวลาทั้งชีวิตท่องบทกวี ดื่มด่ำกับสิ่งไร้ค่างั้นหรือ?”
องค์ชายสามและคนอื่น ๆ รู้สึกอับอายยิ่งนัก
"ฮ่า ๆ !" เสนาบดีพลเรือนและทหารต่างก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง
หลังจากฟังแล้ว จักรพรรดินีก็อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะและหัวเราะออกมาเช่นกัน
วาจาคมคายของบุรุษผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป!
แม้ว่ามันจะซับซ้อน แต่ทุกประโยคกลับสมเหตุสมผล!
ในกรณีที่มีปัญหา มันย่อมจำเป็นต้องพึ่งพาบัณฑิต!
การแก้ปัญหาได้ ก็การพิสูจน์ความสามารถของบัณฑิต!
หากไม่มีปัญหา บัณฑิตจะมีประโยชน์อะไร?
พวกเขามีไว้เพื่อดื่มด่ำกับสิ่งไร้ค่าและท่องบทกวีเท่านั้นหรือ?
หลินเป่ยฟานได้แย้งคำพูดขององค์ชายสามแห่งอาณาจักรหยานอย่างสมบูรณ์!
“ดังนั้นแล้ว ขอกระหม่อมให้คำแนะนำแก่ท่านเถิด มันไม่มีอนาคตในอาณาจักรหยาน เป็นการดีกว่าที่จะมายังอาณาจักรอู๋!” หลินเป่ยฟานยิ้มและเอ่ยคำเชิญชวน “มีเพียงที่นี่เท่านั้นที่เป็นเวทีที่ยิ่งใหญ่ในการแสดงความรู้ของพวกท่าน! จักรพรรดินีของเรากระหายผู้มีพรสวรรค์ มีเพียงผู้มีพรสวรรค์เท่านั้นที่ได้รับเลือก! ตราบใดที่ท่านมีความสามารถ ท่านจะได้รับการยอมรับ! อย่าถูกหลอกว่าที่นี่เป็นเพียงที่ซุกซ่อนของเหล่าข้าหลวงฉ้อราษฎร์บังหลวง ที่นี่ตราบใดที่ท่านมีความสามารถ ท่านก็สามารถแทนที่พวกเขาได้!”
หลินเป่ยฟานส่ายหัว “ไม่เหมือนในอาณาจักรหยานที่มีผู้มีพรสวรรค์มากมาย! แม้ว่าท่านจะมีความสามารถ แต่ท่านต้องปีนขึ้นไปทีละก้าว รอการเลื่อนตำแหน่งซึ่งดูเหมือนจะยาวนานจนไม่มีที่สิ้นสุด! เมื่อถึงเวลาที่ท่านอายุมากแล้ว ท่านอาจจะเป็นเพียงเจ้าหน้าที่เล็ก ๆ ระดับห้าหรือหกเท่านั้น! เพื่อไปให้ถึงตำแหน่งที่ข้าอยู่ตอนนี้ ใครจะรู้กันเล่าว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน บางทีอาจจะต้องรอไปทั้งชีวิต!”
“แน่นอนว่าถ้าท่านกลัวความตาย จงอย่ามาเสียดีกว่า! สิ่งที่เรายินดีต้อนรับที่นี่คือบัณฑิตผู้ความรู้และความกล้าหาญ ไม่ใช่บัณฑิตขลาดเขลา ซ่อนตัวอยู่ในอาณาเขตของตน ใช้เวลาทั้งชีวิตเล่นกับคำพูดและหมึก เพียงแค่ใช้ความรู้ที่มีเพียงผิวเผิน!”
“เฮ้!” บุคคลที่มีความสามารถจากอาณาจักรหยานเริ่มมีความขุ่นเคืองอย่างยิ่ง
ประโยคนี้มันเหมือนการพูดจาเหมารวมนัก!
แต่เมื่อไตร่ตรองแล้ว มันก็ไม่ได้ไร้เหตุผลเสียทีเดียว!
พวกเขามีความรู้มหาศาล แต่พวกเขาไม่ได้มีค่าในอาณาจักรหยาน
เหตุผลหลักก็คือ มันมีบุคคลที่มีความสามารถมากเกินไปที่นั่น
คนที่มีทั้งความรู้และเส้นสายมีอยู่มากมาย ทำให้ต้องเลื่อนลำดับขึ้นไปตามระดับความอาวุโส
ทั้งที่พวกเขามีความทะเยอทะยานอยู่มากมาย แต่ไฉนต้องรอนานเช่นนี้?
พวกเขาเหลือเวลาอีกกี่ปีในชีวิตนี้กัน?
พวกเขาจะสามารถสิ้นเปลืองเสียมันไปทั้งหมดได้งั้นเหรอ?
ทำไมไม่ลองไปที่อาณาจักรอู๋ดูเล่า?
ในอาณาจักรอู๋มีปัญหามากมาย ที่นั่นคือที่ที่พวกเขามีโอกาสแสดงความสามารถออกมา!
ดูหลินเป่ยฟานสิ ทั้งที่มาจากรุ่นเดียวกัน แต่กลับถูกเห็นค่าโดยจักรพรรดินี ยามนี้ดำรงตำแหน่งขุนนางระดับสี่ในราชสำนัก!
หากบอกว่าพวกเขาไม่ได้อิจฉาเขาเลย มันคงจะเป็นเรื่องโกหก!
ความรู้ของพวกเขาเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา ไฉนพวกเขาถึงไม่ลองดูสักหน่อยกันล่ะ?
บางทีพวกเขาอาจประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่เช่นกัน!
องค์ชายสามเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็ได้แต่สบถในใจ ฟันของเขากัดกันแน่นขนัด!
เขาจ้องไปที่หลินเป่ยฟาน ไอ้สารเลวนั่นช่างน่ารังเกียจจริง ๆ !
มันกำลังคัดสรรกลุ่มคนของข้าไปเข้าพวกมัน!
สิ่งที่อันตรายที่สุดคือ คนของข้ากลับคิดว่าคำพูดพวกนี้สมเหตุสมผลและกำลังถูกล่อลวงไป!
ในขณะนี้เอง จักรพรรดินีก็หัวเราะและกล่าวว่า “แม้ว่าคำพูดของท่านหลินอาจจะรุนแรงไปหน่อย แต่คำพูดนี้ก็ไม่ได้ไร้เหตุผลเสียทีเดียว! เฉพาะในอาณาจักรอู๋เท่านั้นที่บัณฑิตสามารถแสดงความสามารถของพวกเขาได้ มีเพียงในอาณาจักรอู๋เท่านั้นที่พวกเขาสามารถมั่งคั่งได้อย่างรวดเร็ว! ข้าต้องการผู้มีความสามารถเป็นอย่างมาก ตราบใดที่พวกท่านมีความสามารถและเต็มใจที่จะรับใช้ราชสำนัก ข้าจะเห็นคุณค่าและตอบแทนพวกท่านอย่างแน่นอน โดยไม่คำนึงถึงสัญชาติของพวกท่านเลย!”
"ท่านน่ะ!" จักรพรรดินีหันศีรษะไปหาผู้เข้าร่วมจากอาณาจักรอู๋ นางกล่าวให้กำลังใจพวกเขา “จงแสดงความสามารถของท่านให้ข้าดู! หากท่านมีความสามารถ ข้าพร้อมให้รางวัลอย่างยิ่งใหญ่! ตำแหน่งของท่านอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมนักหรอก!”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!” เด็กหนุ่มที่มีความสามารถจากอาณาจักรอู๋ดูมีความสุขมาก
ด้วยความมั่นใจที่สูงของพวกเขา พวกเขาอยากที่จะแสดงความสามารถของตนออกมาแล้ว!
ด้วยวิธีนี้ ขวัญกำลังใจในอาณาจักรอู๋จึงเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม!
เมื่อเทียบกันแล้ว ขวัญกำลังใจในอาณาจักรหยานกลับอ่อนแอลงไปมาก
ทุกคนกำลังพิจารณาสิ่งที่หลินเป่ยฟานพูด บางคนถึงขั้นสูญเสียความปรารถนาที่จะแข่งขันไปเสียแล้ว
องค์ชายสามหยานซิงเหอตื่นตระหนก “ฝ่าบาทแห่งอาณาจักรอู๋ ตอนนี้เริ่มสายแล้ว เราสามารถเริ่มการแข่งขันได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“กล่าวได้ตรงประเด็น!” จักรพรรดินีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม นางรู้สึกพึงพอใจพอสมควร
ก่อนหน้านี้ อาณาจักรหยานพยายามทำลายกำลังใจของอาณาจักรอู๋ โดยอ้างเรื่องข้าหลวง ข่มเหงบุคคลที่มีความสามารถและไม่อาจรักษาผู้มีพรสวรรค์ไว้ได้
แต่หลินเป่ยฟานพลิกผันสถานการณ์ โดยใช้ตัวอย่างของ อาณาจักรอู๋เป็นสถานที่ที่บุคคลที่มีความสามารถควรจะอยู่ ที่ซึ่งพวกเขาจะได้รับการประเมินค่า จนสามารถดับความเย่อหยิ่งของอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์ เขายังเพิ่มแรงผลักดันให้กับคนของอาณาจักรอู๋อีก!
สมกับเป็นคนที่ข้าเชื่อมั่นมากที่สุดแล้ว!
ข้าชักหลงรักเจ้าตัวน้อยคนนี้เสียแล้วสิ!
"เช่นนั้นก็ดี! ดำเนินการแข่งขันต่อไป!” จักรพรรดินีกล่าวอย่างร่าเริง