บทที่ 184 แม่นม
และอาหารเนื้อจานสุดท้าย หมูเส้นผัดกระเทียมใส่พริกก็ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว ฉินชิงชอบมาก ตั้งแต่เล็กจนโตฉินชิงกินไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว นางชอบรสชาตินี้มาตลอด
อาหารจานนี้เป็นหนึ่งในอาหารที่ขึ้นชื่อเรื่องเหมาะจะกินกับข้าว ทุกครั้งที่ฉินชิงกินอาหารจานนี้ นางจะต้องกินข้าวไปเยอะมาก ความรู้สึกของการกินข้าวผสมกับน้ำปรุงรสนั้นมันยอดเยี่ยมมาก
ตอนฉินชิงยังเป็นเด็ก แม่ยังห้ามฉินชิงทำเช่นนี้ แต่เมื่อฉินชิงเริ่มกินข้าวเองตอนอายุมากขึ้น ฉินชิงก็เป็นอิสระแล้ว ถึงอย่างไรแม่ก็มองไม่เห็นว่าตนกินอย่างไร และเป็นไปไม่ได้ที่จะส่งคนมาจับตามองตนกินข้าวตลอดเวลา
เทน้ำปรุงรสลงในชามแล้วใช้ตะเกียบคนให้เข้ากัน จากนั้นก็วางอาหารลงบนข้าวแล้วกินข้าวไปคำใหญ่ ฉินชิงรู้สึกพอใจมาก
กินข้าวเที่ยงเสร็จดูเวลายังเช้าอยู่ ฉินชิงก็ยังตั้งใจจะพักผ่อนก่อน นอนพักกลางวันสักหน่อย ตื่นแล้วค่อยไปวาดภาพ และสุดท้ายก็ไปเข้าเฝ้าฮองเฮาที่ตำหนักคุนหนิง
ฉินชิงนอนกลางวัน บางครั้งก็นอนเป็นเวลานาน แต่บางครั้งก็ไม่ ไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ วันนี้กินอิ่มไปหน่อย คงเพราะเลือดวิ่งไปที่ท้องกันหมดกระมัง ทำให้ฉินชิงง่วงนอนมาก และช่วงเวลาที่นางนอนอยู่บนเตียง ฉินชิงรู้สึกว่านางผล็อยหลับไป
เมื่อฉินชิงตื่นขึ้นมาแล้วก็รู้สึกว่าวันนี้กระปรี้กระเปร่ามาก เหมือนได้เสริมพลัง
จากนั้นก็เดินไปที่ห้องหนังสือแล้วหยิบม้วนภาพม้วนหนึ่งขึ้นมา ฉินชิงคิดจะเริ่มวาดภาพแล้ว ในตอนแรกฉินชิงยังหาแรงบันดาลใจไม่เจอ แต่หลังจากวาดภาพแล้ว ชิงรู้สึกเหมือนความคุ้นมือของนางเริ่มกลับมาอย่างช้าๆ
ในขณะเดียวกัน ความทรงจำเกี่ยวกับการวาดภาพก่อนหน้านี้ก็ผุดขึ้นมาในใจของฉินชิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉินชิงนึกถึงฉากที่เหลียงอี้สอนนางวาดภาพ และนึกถึงม้วนภาพที่เหลียงอี้ตรวจและให้คำแนะนำที่ขันทีนำกลับมา
ฉินชิงนึกย้อนกลับไปพลางวาดภาพไปด้วย ไม่รู้สึกว่าเวลาที่ค่อยๆ ผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหยินผิงเตือนจึงพบว่าควรไปหาฮองเฮาที่ตำหนักคุนหนิงได้แล้ว
ฉินชิงไม่รู้ว่ามีความคืบหน้าอะไรบ้าง แต่เมื่อมองไปที่ท่าทีของหลานเย่ ฉินชิงก็รู้สึกว่าฮองเฮาอาจจะสืบเจออะไรบางอย่างจึงเรียกตนมาที่นี่
ไม่รู้ว่าสิ่งที่เจอนี้จะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน และสามารถทำให้เรื่องนี้คืบหน้าได้เท่าไร
ฉินชิงนั่งเกี้ยวมาถึงตำหนักคุนหนิงอย่างรวดเร็ว ฉินชิงเห็นฮองเฮามารอแล้ว แต่สนมเยว่กลับยังไม่มา
ฉินชิงอยากจะใช้เวลาเล็กน้อยตรวจพระวรกายให้ฮองเฮา
ฮองเฮาให้ความร่วมมืออย่างกระตือรือร้น นางพับแขนเสื้อขึ้นแล้วให้ฉินชิงตรวจ
“ชูเจาอี๋ ช่วงนี้ข้ารู้สึกดีมาก ไอก็ไอน้อยมาก ไม่ปวดหัวเท่าไรแล้ว ร่างกายก็รู้สึกสบายมาก ลำบากเจ้าแล้ว”
เมื่อฉินชิงได้ยินฮองเฮาตรัสเช่นนั้น ก็ไม่ได้ตอบสนองอะไรมากนัก แต่ยิ้มเบาๆ และพูดว่า
“เป็นสิ่งที่หม่อมฉันควรทำเพคะ”
เมื่อฉินชิงตรวจชีพจรเสร็จแล้วก็คิดจะตรวจจุดต่อไป แต่สนมเยว่ก็มาพอดี
“ถวายพระพรฮองเฮา หม่อมฉันมาช้า ช่างน่าอายจริงๆ ต้องอ้อมมาอีกทางหนึ่ง จึงใช้เวลามากขึ้นเพคะ”
ฮองเฮาย่อมไม่สนใจการมาสายของสนมเยว่ เพราะมาเช้าหลายครั้งแล้ว แต่ฉินชิงรู้ว่าเวลาของตนเหลือไม่มาก แต่สนมเยว่กลับไม่รู้เรื่องนี้
จึงโบกมือให้สนมเยว่จากนั้นก็พูดว่า
“ไม่เป็นอะไร ชูเจาอี๋ก็เพิ่งมาถึงเลยใช้เวลานี้เข้ามาจับชีพจรให้ข้าพอดี จะไม่ได้เสียเวลาเปล่า ต่อให้เจ้ามาเร็วเจ้าก็ต้องรออยู่ดี”
ฮองเฮาไม่ได้เคร่งครัดกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากนัก ไม่เคยถือว่าการมาสายเป็นเรื่องร้ายแรง มักจะปล่อยผ่านไปเสมอ ไม่เคยเจ้าคิดเจ้าแค้นหาโอกาสทำลายคนที่ไม่ให้ความเคารพตน
“ขอบพระทัยฮองเฮาที่เข้าใจ หม่อมฉันซาบซึ้งยิ่งนัก” หลังจากสนมเยว่โค้งคำนับแสดงความเคารพ ก็พูดว่า
“ฮองเฮาเรียกหม่อมฉันมาที่ตำหนักคุนหนิง เรื่องนี้มีอะไรจะบอกหม่อมฉันแล้วหรือเพคะ?”
“แน่นอน ในเมื่อพวกเจ้าสองคนมากันแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพูดตรงๆ เลยแล้วกัน ข้าเจอบ้านของแม่นมคนนั้นแล้ว แล้วก็พบว่าใครเป็นคนให้เงินแม่นมคนนั้นเมื่อสามปีที่แล้ว และข้าก็ส่งคนไปช่วยน้องชายของแม่นมคนนั้นแล้ว”
“เป็นเงินที่สนมโหลวให้แม่นมผู้นั้นหรือเพคะ?” ฉินชิงถาม ถึงอย่างไรเรื่องนี้คนที่จะเป็นไปได้มากที่สุดก็คือสนมโหลว
“ใช่” ฮองเฮาตอบ
“แต่ว่าหม่อมฉันก็ยังคงไม่เข้าใจ เหตุใดสนมโหลวถึงต้องให้เงินก้อนหนึ่งตอนไล่นางออกจากตำหนักด้วยล่ะ? หรือว่ามีความผูกพันลึกซึ้งกับแม่นมคนนี้หรือ?” ฉินชิงยังคงสงสัยมาก
“เรื่องนี้ข้าเกรงว่าคงต้องถามนางเท่านั้น สนมเยว่ เจ้าพานางมาด้วยหรือไม่?” ฮองเฮามองสนมเยว่
“หม่อมฉันพยายามทำเรื่องที่ฮองเฮาสั่งอย่างสุดความสามารถ ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นเรื่องเล็กน้อย หม่อมฉันพาแม่นมคนนั้นมาที่โถงด้านข้างตำหนักคุนหนิงรอรับสั่งจากท่านอยู่เพคะ”
หลังจากได้ยินสนมเยว่กล่าวเช่นนั้น ฮองเฮาจึงมองไปที่ฉินชิงแล้วพูดว่า
“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะโน้มน้าวแม่นมคนนั้นได้?”
ฉินชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดกับฮองเฮาว่า
“เรื่องนี้หม่อมฉันเองก็ไม่ทราบเพคะ หม่อมฉันทำได้แค่พยายามให้ดีที่สุด ถ้าสำเร็จก็ดี แต่ถ้าไม่สำเร็จ ก็เกรงว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องหาพยานคนอื่นเพคะ”
“ประมาณเอาก็ได้? ไม่จำเป็นต้องละเอียดมาก กว้างๆ ก็พอ”
“จริงๆ แล้ว ฮองเฮาเหนียงเหนียง หม่อมฉันยังไม่เคยเจอแม่นมคนนี้เลย และยังไม่เข้าใจว่านางเป็นคนอย่างไร ดังนั้นถ้าหากจะให้หม่อมฉันประมาณการ หม่อมฉันทำไม่ได้จริงๆ แต่อย่างไรเสียหม่อมฉันก็จะพยายามให้ดีที่สุด จะได้ไม่เสียใจทีหลังเพคะ”
“ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนั้น สนมเยว่ เจ้าไปพานางมาเถอะ”
“เพคะ ฮองเฮา หม่อมฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
ฉินชิงเห็นว่าแม่นมที่สนมเยว่พามานั้นซูบผอมมาก หลังค่อม หน้าเหลืองและผมขาว
ดูไม่เหมือนหน้าตาในวัยของนางเลย ดูเหมือนว่าแม่นมคนนี้ต้องทนทุกข์ทรมานมาไม่น้อยกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้
“บ่าวถวายพระพรฮองเฮา ชูเจาอี๋เหนียงเหนียง” พอแม่นมคนนั้นเข้ามา แม้ว่าสภาพภายนอกของนางจะดูไม่เท่าไร แต่ฟังจากน้ำเสียงของนางแล้วค่อนข้างเบา ดูเหมือนว่านางน่าจะได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย
"ช่างเถอะ ไม่ต้องมากพิธี ตามสบาย" ฮองเฮามองแม่นมคนนั้นพลางกล่าว
ฉินชิงมองแม่นมคนนั้น ก็ไม่อยากอ้อมค้อม จึงพูดไปตรงๆ ถึงอย่างไร การพูดกับคนระดับนี้ หากพูดมีชั้นเชิงเกินไป นางอาจจะไม่เข้าใจ
ดูจากสถานการณ์ของครอบครัวนาง น่าจะไม่ได้รับการศึกษาที่ดี ยากจนเช่นนี้ กลัวว่าแม้แต่หนังสือก็ซื้อไม่ได้
“เจ้ายินดีจะเป็นพยานให้ฮองเฮาและสนมเยว่หรือไม่? เจ้าไม่ต้องรีบตอบก็ได้ แค่ฟังข้าให้จบก่อน”