ตอนที่แล้วเจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 13
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 15

เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 14


เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 14

ปีศาจที่ผมเจอในปราสาทจอมมารนั้นวิ่งอาละวาดมาเพื่อที่จะช่วยเหลือผม พวกนั้นดูเหมือนจะรู้ว่าเป็นผมแม้จะร่ายเวทย์ปลอมตัวป้องกันไว้แล้ว

ในขณะที่เอเลริสที่เป็นปีศาจกลับไม่รู้ตัวจริงของผมก่อนที่ผมจะเผยร่างจริง

มันมีเหตุผลอะไรในเรื่องนั้นกันหว่า ? ผมครุ่นคิดขณะที่เอเลริสไม่อยู่ แต่ก็ไม่ได้คำตอบดีๆ

ความสามารถในการควบคุมปีศาจของผมนั้นไม่สมบูรณ์นัก นั่นเป็นการคาดเดาของผม

สิ่งที่เอเลริสทำมาก็คือแซนวิชกับนม เธอขอโทษที่หาของดีๆกว่านี้มาให้ไม่ได้

“ฉันไม่ค่อยได้ทำบ่อยน่ะค่ะ ….ขอโทษด้วยนะคะ ,ฝ่าบาท”

ผมกินด้วยความสุข พลางขยับหัวขณะที่นึกอะไรขึ้นมาได้

“…ไม่ใช่ว่าเธอพึ่งซื้อคัมภีร์ไฟร์บอลไปด้วยเงิน 4 โกลด์เหรอ?”

“อ้า ระเรื่องนั้นคือ ….”

เธอบอกผมว่า มันอันตรายเกินไปที่จะให้เด็กคนหนึ่งถือของแบบนั้นเดินไปเดินมา แล้วก็โยนเงินก้อนใหญ่ให้ผม

“ฉันคิดว่ามันอันตรายน่ะค่ะที่จะปล่อยให้เด็กถือของแบบนั้น…ฉันต้องขอประทานอภัยด้วยค่ะ ,ฝ่าบาท”

สปายอย่างเธอกลับมีความเมตตาและเห็นอกเห็นใจแบบนี้

ถือว่านิสัยดีมากเลยนะในฐานะแวมไพร์น่ะ

นี่เธอถึงกับใช้เงินหมดเลยอย่างนั้นเหรอเนี่ย ?

ผมเอาเงิน 4 โกลด์ที่ได้มาวางไว้บนโต๊ะ

“ผมไม่คิดว่าตัวเองจะได้ใช้เงินมากขนาดนี้แล้วล่ะ เพราะงั้นขอคืนให้เธอนะ”

“อ่า , นั่น , นั่นมัน  ….ขอบพระทัยฝ่าบาทค่ะ”

ถึงยังไงเสียผมเองก็มีผู้ปกครองเป็นแวมไพร์ระดับสูงแล้ว  , เงินพวกนี้ที่มีก็ไร้ความหมายพอควร

เธอเฝ้าดูผมกินด้วยใบหน้าที่แสนเศร้าซึม

อะไรที่ว่าดีก็คือดีนั่นแหละนะ

เพราะนิสัยที่แสนดีของเธอ ผมเองก็มีแวมไพร์เป็นผู้คุ้มครอง ในยามฉุกเฉินเธอก็สามารถช่วยเหลือได้

แล้วก็

ยังคงมีบรรยากาศอึดอัดหลงเหลืออยู่

มันเป็นอารมณ์ที่ไม่แน่ชัดนักที่ปรากฏบนใบหน้าของเอเลริสตอนที่ผมบอกเธอว่า จอมมารตายแล้ว

เห็นได้ชัดเลยว่า ไม่ใช่ความโกรธจากการที่เจ้านายของตัวเองตายจากไปหากแต่เป็นความรู้สึกโล่งใจ

ถึงผมจะยังเคี้ยวกินอยู่แต่ก็หยุดคิดไม่ได้เลย

เอเลริสนั้นดูจะมีความสุขกับการที่จอมมารตายและจุดจบของสงครามโลกปีศาจที่มนุษย์ได้รับชัยชนะ

เป็นไปได้ไหมว่าแวมไพร์คนนี้ เธอเป็นสายรักสงบอยู่แล้วนะหรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอในขณะที่เธอเป็นสปายกันนะ ?

หรือเป็นไปได้ว่าเธออาจได้รับอิทธิพลจากมนุษย์ตอนที่เธออยู่กาเดียมมานาน ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แวมไพร์สาวคนนี้็ใจดีเกินไปจนไม่สามารถปล่อยให้เด็กหนุ่มอย่างผมถือคัมภีร์เวทย์ไฟบอลเดินไปเดินมาได้ ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นใคร

แถมสีหน้าที่เธอแสดงออกมาตอนที่ผมพูดถึงเจ้าหญิงก็ดูจะสงสารและเห็นใจจริงๆ

เธอพูดว่า เจ้าหญิงคงต้องผ่านเรื่องหนักๆทั้งที่ยังเด็กอยู่แท้ๆ

แวมไพร์คนนี้เกลียดสงครามและรู้สึกดีใจด้วยซ้ำที่มันจบลง

ผมยังคงไม่รู้แน่ชัดว่า เธอดีใจเพราะสงครามจบหรือเพราะฝ่ายมนุษย์นั้นชนะกันแน่

ถึงเธอจะดูแลผมตอนนี้ดีแต่เห็นได้ชัดว่าความภักดีที่มีต่อจอมมารนั้นหมดไปนานมากแล้ว

แล้วกับเจ้าชายปีศาจที่มีชีวิตอยู่หลังสงครามล่ะ ?

ไม่ใช่ว่าการมีอยู่ของเขาจะกลายเป็นเชื้อไฟในสงครามครั้งใหม่หรอกเหรอ ?

เห็นได้ชัดเลยว่า ตัวเลือกที่ดีที่สุดที่เธออยากจะได้ก็คือ การหลีกเลี่ยงสงครามครั้งใหม่

ผมเข้าใจแล้วล่ะ

ภายใต้ชุดคลุมของเธอนั้น ปลายนิ้วของเอเลริสสั่นระรัวอย่างหนัก

บางทีเธออาจอ่อนแอมากเพราะไปโดนแสงอาทิตย์ แม้เธอก็ตัดสินใจจะทำอะไรบางอย่างแล้ว แต่ก็ยังกลัวที่จะออกไปทำมันสินะ ?

ความกลัวเรื่องที่โลกปีศาจ บ้านเกิดของเธอ จะต้องจบลงด้วยมือเธอ

ความ รังเกียจที่มีต่อตัวเธอเองที่พยายามฆ่าเด็กๆ และไม่สามารถช่วยผมได้ รวมถึงอยากจะป้องกันไม่ให้เกิดสงครามขึ้นมาอีก

ผมแอบสงสัยเหมือนกันว่า เธอคิดเหมือนอย่างที่ผมคิดจริงๆไหม หรือเป็นแค่จินตนาการไปเองของผมคนเดียว

“ฝ่าบาท”

“อือฮึ ….อืม”

“ท่านน่ะ ได้เสีย….ความทรงจำของท่าน ไปหมดเลยหรือคะ ?”

เอเลริสถามผมด้วยเสียงสั่นเครือ ทำให้ผมมั่นใจแล้ว ว่าเธอตั้งใจจะทำอะไร

“ใช่ , ผมจำอะไรไม่ได้สักอย่างเลยนอกจากเรื่องที่ว่า ผมเป็นใคร

ผมไม่รู้แม้กระทั่งว่ามันเกิดแบบนี้ขึ้นได้ยังไงและผมเชื่อว่ามันไม่ใช่การที่ผมโดนคำสาปหรือถูกอะไรสิงหรอก ”

“อ่าค่ะ , ไม่ใช่ว่าการตามหาความทรงจำเจอแล้ว จะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้หรือคะ?”

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าคำพูดนี้จะทำให้เธอวางใจได้ไหมนะ

“ถึงจะเจอมันแค่วันเดียวก็เถอะ แต่สงครามนี่มันแย่จริงๆ”

พอได้ยินคำพูดแบบนั้นเข้าก็ปรากฏความยินดียากจะพรรณาบนใบหน้าของเอเลริส

“และถ้า อย่างนั้น โอ้ ไม่สิคะ !

ท่านน่ะเป็นนายแห่งดินแดนปีศาจและความหวังของปีศาจทั้งผอง !

ท่านจะต้องเข้มแข็งแล้วสร้างดินแดนปีศาจให้รุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้ง …!”

เธอพยายามอย่างมากที่จะพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่อิน หรือไม่คิดจะยืนกรานเรื่องนั้นด้วยซ้ำ

“ดินแดนปีศาจน่ะล่มสลายไปแล้ว”

“ผมน่ะไม่คิดจะเป็นราชาของประเทศที่ไม่มีอยู่จริงหรอกนะ”

กลับบ้านเราเถอะ

“แล้วเธอเองก็ไม่ควรเอาเรื่องประเทศไม่มีอยู่จริงมาใส่ใจอีก”

พอได้ยินคำพูดนั้นเข้า ก็มีหยดน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของแวมไพร์สาว

เธอพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองด้วยการร้องไห

สมัยเป็นเด็ก ผมก็เคยร้องไห้เพราะอินในนิยาย

แต่กับแวมไพร์ในโลกใบนี้เองก็ร้องไห้ได้ด้วยเหมือนกันสินะ ?

หลังจากนั้นเธอก็ขอโทษกับพฤติกรรมของตัวเธอ เอเลริสนั้นลงไปยังชั้นหนึ่งแล้วไม่ขึ้นมาอีกสักพัก

สิ่งที่ผมพูดไม่น่าจะมีผลทางลบกับเธอเท่าไหร่นัก

ในคืนนั้นเอง

ผมนอนที่เตียง ส่วนเอเลริสนั้นก็บอกว่า เธอจะคอยดูแลผมเอง เธอนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงผม แล้วเฝ้ามองแสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา

สมแล้วที่บอกว่า แวมไพร์นั้นเป็นชนชั้นสูงแห่งยามราตรี

เธอดูงดงามมากจริงๆ

ผมจับตามองเอเลริสที่เผยผิวขาวสว่างใต้แสงจันทร์

“ฝ่าบาทคะ”

“อย่าเรียกผมแบบนั้น”

“.…… ขอประทานอภัยด้วยค่ะ แต่ฉันไม่สามารถเรียกท่านด้วยชื่ออื่น”

เอเลริสยังคงพูดต่อไปโดยไม่หันมามองผม

“ท่านไม่ควรบอกใครเรื่องที่คุยกับฉันวันนี้นะคะ”

“ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องทำอย่างนั้นอยู่แล้ว ก็ถ้าผมบอกแบบนั้นก็เป็นการเผยว่าผมเป็นปีศาจน่ะสิ”

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากจะบอกค่ะ”

ไม่รู้ทำไม แต่เอเลริสพูดเข้ม

“นอกจากฉันแล้ว ก็ยังมีอีกสองคนที่แฝงตัวอยู่ในเมืองกาเดียมค่ะ”

ใช่แล้วล่ะ

เป็นสิ่งที่ผมคิดไว้แล้ว เพราะเธอบอกกับผมว่า เธอเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่สอดแนมเข้ามา

“ท่านจะต้องเจอสองคนนั้นอย่างไม่มีทางเลี่ยงได้ค่ะสำหรับพวกเขาแล้วคงไม่ยอมแน่ๆที่จะให้ฝ่าบาทยังคงหลีกเร้นจากโลกต่อไป”

“พวกนั้นที่ว่าน่ะเป็นใครบ้าง ?”

“เค้าท์ อาร์กอน พอนทีอุส(Count Argon Pontheus)  กับอีกคนหนึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ หมาจรจัดแห่งไอรีน (Irene's Wild Dog)”

“หนึ่งในนั้นเป็นชนชั้นสูงหรือ ?”

ชนชั้นสูงแบบนั้นก็เกินฐานะสายลับไปไกลมากเลยนี่ ?

“ค่ะ เขาเป็นหนึ่งในคนที่ลงมือลักพาตัวเจ้าหญิงกับจักรพรรดินีค่ะ”

ตอนที่ผมได้ยินว่า เขาเป็นคนที่ลักพาตัวเจ้าหญิงเองนี่ผมถึงกับชะงักไป

ถึงจะแน่นอนอยู่แล้วว่า พวกปีศาจนี่แหละที่เป็นคนทำการลักพาตัวทั้งคู่ไป

แต่มันก็ชวนให้ผมรู้สึกประหลาดที่ได้รู้ว่า หนึ่งในคนลักพาตัวนั้นเป็นชนชั้นสูงในดินแดนปีศาจ

ผมได้เผชิญหน้ากับความจริงอันน่าอึดอัดที่ว่า ผมไม่ต่างอะไรจากผู้ให้การสนับสนุนศัตรูของชาร์ล็อตเลย

“เค้าท์ พอนเทอุสนั้น ชื่อจริงชื่อ ซาเคการ์(Sarkegaar) เขาเป็นเผ่า เดร็ดเฟียนค่ะ(Dreadfiend)”

พวกเฟียนนั้นเป็นเผ่าหนึ่งของเผ่าปีศาจ โดยเป็นเผ่าย่อย แต่ผมไม่รู้ว่า เดร็ดเฟียนนั้นเป็นพวกไหน

ทำไมผมถึงโดนส่งตัวเข้ามาในนิยายที่ผมแทบไม่รู้อะไรในเรื่องเลยเนี่ย ?”

“เธอช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหม ?”

“เดร็ดเฟียนเป็นปีศาจที่เชี่ยวชาญเรื่องเวทย์มนตร์แปลงกายค่ะ รวมถึงการต่อต้านเวทย์มนตร์ด้วย

นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงสามารถหลอกสายตาพวกมนุษย์แล้วลักลอบเข้าไปอยู่ในสังคมชนชั้นสูงใจกลางจักรวรรดิการ์เดียสได้ได้

ที่เขาไม่ถูกตรวจพบก็เพราะระดับของการแปลงกายของเขาเพียงอย่างเดียวหากแต่เป็นเพราะเขานั้นเปลี่ยนเผ่าพันธุ์ตัวเองด้วย

ท่านจะมองว่า เผ่านี้สามารถใช้อบิลิตี้ที่คล้ายๆกับการเปลี่ยนแปลงรูปร่างตัวเองอย่างโพลีมอฟ(Polymorph) ที่เป็นเวทย์ระดับสูงสุดได้ตั้งแต่เกิดก็ได้ค่ะ”

มีเวทย์แปลงกายอยู่หลายชนิด

มีทั้งปลอมตัวที่เป็นเวทย์ระดับล่างสุดที่ผมเคยใช้

แล้วก็ยังมีวิธีการที่สร้างภาพลวงหลอกตา ด้วยเวทย์ลวงตาสร้างภาพหลอน และวิธีแปลงกายในระยะสั้นๆ

ส่วนโพลีมอฟนั้นเป็นเวทย์ระดับสูงที่สุดที่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างของคนๆหนึ่งได้

เวทย์แบบนั้นไม่มีทางลบล้างหรือแก้ออกได้ด้วยเวทย์ตรวจจับ(Detection) หรือดีสเปล (Dispel)

พวกเดร็ดเฟียนนั้น(Dreadfiends)สามารถใช้อบิลิตี้ดังกล่าวได้ตั้งแต่เกิดมา เรื่องทั้งหมดจะง่ายมากหากผมกลายเป็นปีศาจแบบนั้นบ้าง

“เขาน่ะจงรักภักดีอย่างถึงที่สุดกับจอมมาร

ไม่เพียงแต่เขาอยากไปเข้าร่วมสงครามเท่านั้น เขายังปรารถนาที่จะเสียสละดวงวิญญาณด้วยหากมันหมายถึงการที่เขาสามารถฟื้นคืนดินแดนปีศาจกลับคืนมาใหม่ได้ ”

ตามปกติแล้ว พวกเฟียนนี่ต้องอยู่ในฐานะที่ไปขโมยวิญญาณชาวบ้านไม่ใช่เรอะ ? นี่เขาจงรักภักดีระดับไหนเนี่ย ?

“แล้วถ้าเขารู้ว่า ผมไม่สนใจเรื่องการรื้อฟื้นดินแดนปีศาจขึ้นมา… อาจจะพาปัญหาใหญ่มาสินะ ?”

“ฉันไม่คิดว่าจะเป็นระดับนั้นน่ะค่ะ แต่เขาก็จะพยายามทำให้ฝ่าบาทนั้นอยากรื้อฟื้นขึ้นมาเอง”

“เขาไม่ฆ่าผมเหรอ ?”

“ท่านเป็นอาร์คเดม่อน(Arcdemon)คนสุดท้ายค่ะ

หากไม่มีท่านแล้ว ดินแดนปีศาจก็ไม่มีทางกอบกู้คืนมาได้ค่ะ ดังนั้นเขาอาจจะใช้วิธีการเปลี่ยนใจท่านวิธีไหนสักวิธี ”

นี่แปลว่า เผ่าอาร์คเดม่อนเนี่ยเป็นเผ่าที่สำคัญมากระดับนั้นเลยสินะ ?

แต่ตอนนี้ผมก็แค่เด็กที่ทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้เลย

“แล้วถ้าผมยังไม่เปลี่ยนใจล่ะ แล้วยังไงต่อ ?”

เอเลริสนั้นมองมาที่ผมแล้วยิ้มให้จากนั้นก็วางมือบนหัวผม อุณหภูมิในร่างกายของเธอต่ำก็จริงแต่ก็รู้สึกดีในแบบของมัน

“แม้แต่ทำลายทุกสิ่งที่ท่านเรา เขาก็พร้อมจะทำค่ะ”

ผมที่พึ่งมาสู่โลกนี้ แต่ซาร์เคการ์กลับพยายามทำทุกอย่างยกเว้นก็แต่ฆ่าผมเพื่อดันให้ผมเป็นจอมมารคนต่อไป

“จากนี้ไป ,สนิทกับเขานะคะ ยังไม่ช้าเกินไปที่คุณจะแข็งแกร่งพอที่จะเหนือกว่า ซาร์คาการ์ได้”

“.… ใช่ , เอาล่ะ เรามาทำแบบนั้นกันเถอะ”

“เขาน่ะเป็นคนมีความสามารถมาก

เขาจะช่วยฝ่าบาทได้มาก มากกว่าที่ฉันสามารถทำได้ ”

ซาร์เคการ์ ,ตัวเขานั้นเป็นทั้งสปายและยังเป็นชนชั้นสูงอีกด้วย  แถมยังเป็นผู้จงรักภักดีดังนั้นเขาไม่มีทางที่จะทำสิ่งที่อันตรายต่อตัวผมอย่างแน่นอน

แต่อันที่จริง คนที่อันตรายที่สุดสำหรับผมคือ เอเลริส ตอนก่อนที่ผมจะบอกเธอว่า ผมไม่สนใจในสงคราม

ทีแรกดูเหมือนเอเลริสพยายามจะฆ่าผม แต่ดูเหมือนตอนนี้เธอคงไม่อยากที่จะทำแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว

“เดี๋ยวก่อน , แค่ถามเพราะอยากรู้นะ แล้วถ้าผมกลายเป็นจอมมารจริงๆตามที่เขาอยากให้เป็น แล้วเธอยังทำยังไง ?”

“..… ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”

เอเลริสถอนใจด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น

“เมื่อเวลานั้นมาถึง ท่านก็จะต้องเลือกระหว่างฉันกับซาร์เคการ์ค่ะ”

บางทีการฆ่าผมตอนนี้ อาจเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการยุติรากเหล้าแห่งสงคราม แต่เลเลริสดูเหมือนจะไม่อยากทำอย่างนั้น

“ขอให้ท่านโตมาดีๆนะคะ , ฝ่าบาท”

“…ผมจะพยายามนะ”

ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากแวมไพร์

“แล้วเรื่องหมาจรจัดไอรีนล่ะ ?”

ทำไมถึงได้มีชื่อเล่นน่ารังเกียจแบบนั้นกันนะ ?

หมาจรจัดแห่งไอรีนงั้นเหรอ ? คือพยายามทำให้เท่แล้วใช่ไหม ? เธอเกาแก้มตัวเองเบาๆ

“พวกเขา …..เป็นแก๊งนอกกฏหมายที่อยู่เบื้องหลังการก่ออาชญากรรมหลายที่ในเมืองกาเดียมค่ะ ……

แล้วก็ ……หมาจรจัดไอรีนก็เป็นหัวหน้ากลุ่มนั้น ”

“……พวกปีศาจส่งสปายมาเป็นหัวหน้าแก๊งนักเลงเนี่ยนะ ?”

คราวนี้ถือว่าเป็นหมาแบบไหนกันอีกล่ะเนี่ย ?

เอเลริสนั้นยิ้มเคอะเขินออกมา

“ถ้าพูดให้ชัดก็ เป็นยิ่งกว่าแก๊งแหละค่ะ … พวกนั้นรวมคนเข้าไว้ด้วยกัน ก็เลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการปะทะกันบ่อยครั้ง”

“.…มันก็แก๊งนักเลงไม่ใช่เหรอ ?”

“เอ่อ ถ้าจะให้ฉันเรียกมันก็ ….”

เอเลริสดูจะลังเลมากกว่าตอนที่พูดถึงซาร์เคการ์เสียอีก

“นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เป็นได้น่ะค่ะ ถ้าคนๆหนึ่งเก่งแต่การต่อสู้”

ถึงยังไงก็เถอะเจ้านี่ก็น่าจะช่วยผมในฐานะหัวหน้าองค์กรใหญ่สินะ แล้วจะมีอันตรายอะไรขึ้นมาล่ะ ? เอเลริสถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดเปิดอก

“พวกเขา … เป็นขอทานค่ะ”

“..…อะไรนะ  ?”

“สมาชิกแก๊งโดยมากก็ขายลูกกวาดลูกอม หรืออะไรสักอย่างให้กับคนที่เดินผ่านไปผ่านมาที่แม่น้ำไอรีนค่ะ ….อันที่จริงแล้ว นั่นก็เป็นวิธีที่พวกเราระดมเงินมาใช้ในกิจการของพวกเรานี่แหละค่ะ ….”

…แบบนี้มันไม่ถือเป็นการเรี่ยไรเงินหรอกเหรอ ?

แล้วคนที่พวกปีศาจส่งไปเป็นหัวหน้าองค์กรในกาเดียม

แล้วยังต้องมาหาเงินทุนด้วยตัวเองอีกเนี่ยนะ ?

เจ้าหมอนี่มันเป็น สปายแบบใดกันเนี่ย?

นี่มันประมาณพรรคกระยาจกในยุคกลางงั้นเหรอ ?

อ่า หมาจรจัดแห่งไอรีน

มันไม่ใช่ชื่อสุดจูนิเบียวแต่อย่างใด แต่เป็นชื่อที่ระบุชัดเจน

ว่าพวกนั้นเป็นหมาจรจัดที่หาได้ตามแม่น้ำฮัน นี่เอง !

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด