บทที่ 97 มีชีวิตอยู่ก็คืออยู่ ตายก็คือตาย
บทที่ 97 มีชีวิตอยู่ก็คืออยู่ ตายก็คือตาย
ค่ำคืนมาเยือน
ภายในสาขาฝั่งตะวันตก เฉินเซียนเหอและหลานชายนั่งคุยกันที่โต๊ะน้ำชา
“ท่านอาสิบสาม ทำไมท่านถึงจ้างผู้อาวุโสเว่ยมาเป็นคนงานที่ร้านกระบี่บินหงอินของพวกเราล่ะ?”
ในวันนี้ ผู้ฝึกตนชราชุดดำที่เขาเห็นในสาขาไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นผู้ฝึกตนอิสระที่เฉินเต้าเสวียนพบในตอนที่มาตลาดนัดผู้ฝึกตนอิสระครั้งแรก… เว่ยซื่อไห่
เมื่อได้ยินเช่นนั้น
เฉินเซียนเหอก็ยิ้มอย่างจนใจ “ข้าไม่มีทางเลือก ธุรกิจของสาขาฝั่งตะวันตกคึกคักกว่าฝั่งตะวันออกมาก
ข้าคนเดียวรับมือไม่ไหวจริงๆ จึงเชิญผู้อาวุโสเว่ยมาช่วย ผู้อาวุโสเว่ยมีประสบการณ์ในการขายสินค้ามาก หลังจากเขามา ข้าก็สบายขึ้นเยอะ เงินเดือนปีละสองร้อยหินจิตวิญญาณ ถือว่าคุ้มค่า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินเต้าเสวียนก็พยักหน้า
“เอาล่ะ นี่คือกระบี่และหินจิตวิญญาณที่ข้านำมาจากตระกูลในครั้งนี้”
พูดจบ เฉินเต้าเสวียนก็เอื้อมมือไปที่เอว
เมื่อเห็นถุงเก็บของที่แขวนอยู่เต็มเอวของเฉินเต้าเสวียน เฉินเซียนเหอก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เจ้าพกถุงเก็บของติดตัวมากเกินไป เดินทางข้างนอกแบบนี้ มันจะดูน่าสงสัยนะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินเต้าเสวียนก็ถอนหายใจ “ข้าไม่มีทางเลือก ถุงเก็บของระดับต่ำมีพื้นที่จัดเก็บจำกัด อย่างมากที่สุดก็สามารถใส่หินจิตวิญญาณได้แสนก้อนเท่านั้น หินจิตวิญญาณแสนก้อนที่ข้านำมาจากคลังตระกูลในครั้งนี้ ข้าก็ใช้ถุงเก็บของไปหนึ่งใบแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกระบี่ ที่กินพื้นที่มากขึ้นไปอีก”
“เจ้าหาโอกาสซื้อถุงเก็บของระดับสูงสักใบเถอะ”
คิดไปคิดมา เฉินเต้าเสวียนก็ส่ายหน้า “แม้ว่าถุงเก็บของระดับสูงจะมีพื้นที่จัดเก็บมากกว่าถุงเก็บของระดับต่ำมาก แต่เมื่อเทียบกับราคาแล้ว มันก็ยังสู้การใช้ถุงเก็บของระดับต่ำจำนวนมากไม่ได้”
เฉินเซียนเหารู้ว่า สิ่งที่เฉินเต้าเสวียนพูดนั้นเป็นความจริง เขาจึงไม่เกลี้ยกล่อมอีก
แม้ว่าการคาดถุงเก็บของไว้ที่เอวมากมายจะดูตลกขบขัน แต่ทายาทของตระกูลเกือบทั้งหมดก็ทำแบบนี้ เมื่อพวกเขาต้องขนส่งทรัพยากรบ่มเพาะสำคัญๆ
สินค้าสำคัญบางอย่างเช่น กระบี่สำเร็จรูป หินจิตวิญญาณ โอสถจิตวิญญาณ มักจะขนส่งโดยใช้ถุงเก็บของ
มีเพียงทรัพยากรบ่มเพาะจำนวนมหาศาลจริงๆ อย่างเช่น ข้าวจิตวิญญาณ แร่จิตวิญญาณ อาหารที่ปุถุชนทาน ฯลฯ ถึงจะใช้เรือบรรทุกสินค้าในการขนส่ง
“หินจิตวิญญาณหนึ่งแสนก้อน บวกกับเงินค่าสินค้าของร้านกระบี่บินหงอินในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา หินจิตวิญญาณที่พวกเรานำออกมาได้ในครั้งนี้ มีทั้งหมดประมาณ 310,000 ก้อน”
“สามแสนหนึ่งหมื่นก้อน!”
เมื่อเห็นถุงเก็บของสามใบที่บรรจุหินจิตวิญญาณเต็มวางอยู่บนโต๊ะ เฉินเต้าเสวียนก็อดตื่นเต้นไม่ได้
แม้ว่าทรัพย์สินทั้งหมดในคลังตระกูลเฉินจะมากกว่าตัวเลขสามแสนหนึ่งหมื่นก้อนนี้มาก แต่สมบัติส่วนใหญ่ในคลังตระกูลของพวกเขา ทั้งหมดล้วนเป็นแร่จิตวิญญาณและไข่มุกจิตวิญญาณวารี
แม้ว่าแร่จิตวิญญาณ และไข่มุกจิตวิญญาณวารีจะเป็นสินค้ามีมูลค่าเช่นกัน แต่พวกมันก็ไม่สามารถนำมาซื้อสินค้าได้โดยตรงเหมือนกับหินจิตวิญญาณ
เพราะในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร หินจิตวิญญาณคือสกุลเงิน
สมบัติล้ำค่าอื่นๆ นอกเสียจากจะตกลงแลกเปลี่ยนสินค้ากับอีกฝ่ายล่วงหน้าแล้ว พวกมันก็ไม่สามารถนำมาซื้อสินค้าโดยตรงได้
แร่จิตวิญญาณในคลังตระกูลเฉินยังพอว่า ไม่ว่าจะขายโดยตรงหรือนำไปหลอมสร้างกระบี่แล้วขาย มันก็ยังมีหนทางทำให้มันกลายเป็นเงินได้
แต่ไข่มุกจิตวิญญาณวารีนั้นขายยากมาก
พวกเขาทำได้เพียงเก็บไว้ให้ผู้ฝึกตนตระกูลเฉินใช้เองเท่านั้น…
“หินจิตวิญญาณมากมายขนาดนี้ การประมูลรอบนี้คงสามารถซื้อทรัพยากรบ่มเพาะที่มีประโยชน์มากมายให้กับตระกูล และเพิ่มพูนรากฐานของตระกูลได้อย่างแน่นอน”
เฉินเซียนเหอพูดอย่างตื่นเต้น
ใครจะรู้ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สายตาของเฉินเต้าเสวียนกลับหลบตาเล็กน้อย
แต่เฉินเซียนเหอที่กำลังตื่นเต้นไม่ได้สังเกตเห็นรายละเอียดนี้เลย
เฉินเต้าเสวียนแสร้งทำเป็นเปิดดูใบรายการแนะนำสมบัติต่างๆ ของงานประมูลสุดยิ่งใหญ่ไปพลาง ทำเป็นพูดอย่างไม่ตั้งใจว่า “ท่านอาสิบสาม ครั้งนี้ให้ข้าไปร่วมงานประมูลคนเดียวเถอะ ธุรกิจของร้านค้าอาวุธวิเศษยุ่งมาก ยังไงก็ต้องรบกวนท่านช่วยดูแลดีกว่า”
“หืม?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินเซียนเหอก็รู้สึกตัว แล้วจ้องมองเฉินเต้าเสวียนด้วยสายตาแน่วแน่ “ไม่เป็นไร ธุรกิจของสาขามีผู้อาวุโสเว่ยช่วยดูแล ฝั่งตะวันออกก็มีเต้าชวนอยู่ คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินเต้าเสวียนก็วางใบรายการลง แล้วพูดว่า “ข้ายังไม่ค่อยวางใจผู้อาวุโสเว่ยเท่าไหร่ เพราะยังไงเขาก็ไม่ใช่คนของตระกูลเฉิน”
“เต้าเสวียน!”
ยังไม่ทันที่เฉินเต้าเสวียนจะพูดจบ เฉินเซียนเหอก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าอายุแค่ห้าขวบ เจ้าก็ตามข้ามาบำเพ็ญเพียร หลายปีมานี้ แม้พวกเราจะเป็นอาหลาน แต่ก็เหมือนบุตรบิดากัน เจ้าทำอะไร คิดอะไร ข้าดูออกหมด เจ้าปิดบังข้าไม่ได้หรอก”
เฉินเซียนเหอส่ายหน้า จากนั้นก็จ้องมองเขาด้วยสายตาแน่วแน่ แล้วถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “บอกข้ามาเถอะ เจ้าอยากได้ผลแดงชาดพันปีลูกนั้นใช่ไหม!?”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ นิ้วของเฉินเต้าเสวียนก็สั่นเทาเล็กน้อย
เขาเงยหน้าขึ้น ยิ้มแห้งๆ “ท่านอาสิบสาม ท่านคิดมากไปแล้ว ข้าจะ...”
“เจ้าต้องอยากได้! เจ้าต้องอยากได้มากแน่ๆ !”
เฉินเซียนเหอจ้องมองเขา แล้วพูดต่อ “ปกติเจ้าอาจจะดูเย็นชาและเข้มงวดต่อหน้าคนในตระกูล แต่จริงๆ
แล้ว เจ้าเป็นคนที่มีน้ำใจและซื่อสัตย์ ดังนั้น เจ้าต้องทำแบบนั้นแน่ๆ!!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินเต้าเสวียนก็นิ่งเงียบ
ผ่านไปนาน…
เขาเงยหน้าขึ้น มองไปที่เฉินเซียนเหอ “ท่านอาสิบสาม ผลแดงชาดพันปีมีสรรพคุณช่วยยืดอายุได้สามสิบปี บางทีในอนาคต ข้าอาจจะหาวิธีสร้างรากฐานให้ท่านได้”
“เต้าเสวียน เจ้าช่างโง่เง่านัก!”
เฉินเซียนเหอถอนหายใจ “ไม่ต้องพูดถึงว่าในอนาคตเจ้าจะหาวิธีสร้างรากฐานให้ข้าได้หรือไม่? แค่ผลแดงชาดพันปีลูกนั้น เจ้าคิดว่ามันจะประมูลได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ? ต่อให้เจ้าประมูลได้ เจ้ารู้ไหมว่าเบื้องหลังสมบัติยืดอายุชิ้นนี้ มีผู้ฝึกตนขอบเขตสร้างรากฐาน ขอบเขตคฤหาสน์ม่วง หรือแม้แต่ขอบเขตแก่นทองคำกี่คนที่จ้องมองอยู่?”
“สมบัติยืดอายุแค่สามสิบปี จะมีใคร...”
“สามสิบปี?”
เฉินเซียนเหอส่ายหน้า “ข้าถามเจ้า บรรพบุรุษหยางอายุเกือบสองร้อยปี เขาถึงได้ทะลวงขอบเขตคฤหาสน์ม่วง หากก่อนหน้านี้้ เขาขาดอายุขัยอีกแค่สิบปีก็จะทะลวงได้ สมบัติยืดอายุชิ้นนี้จะมีค่ามากแค่ไหนสำหรับเขา?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินเต้าเสวียนก็เข้าใจในทันที
ดูเหมือนว่าผลแดงชาดพันปีจะมีสรรพคุณยืดอายุได้เพียงสามสิบปี แต่จริงๆ แล้ว มันสามารถมอบความหวังในการทะลวงระดับให้กับผู้ฝึกตนที่อายุขัยใกล้หมดลง แต่ขาดอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
คุณค่านี้ ไม่สามารถเทียบได้กับการยืดอายุสามสิบปีเพียงอย่างเดียว
เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเต้าเสวียนก็รู้ว่า แผนการซื้อผลแดงชาดพันปีในครั้งนี้ คงต้องล้มเลิกไปจริงๆ
ถึงแม้ว่าตอนนี้ตระกูลเฉินจะมีเงินอยู่บ้าง แต่พวกเขาย่อมไม่สามารถแข่งขันกับผู้ฝึกตนระดับสูงได้อย่างแน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ฝึกตนระดับสูงที่อายุขัยใกล้หมดลง!
ต่อให้ตระกูลเฉินแย่งชิงมาได้ สุดท้ายก็ต้องถูกผู้ฝึกตนระดับสูงที่อายุขัยใกล้หมดลงแย่งชิงไปอยู่ดี
สำหรับผู้ฝึกตนที่อายุขัยใกล้หมดลงแล้ว อย่าว่าแต่การยับยั้งของนิกายกระบี่เฉียนหยวนเลย ต่อให้เป็นเทพสวรรค์มาเอง พวกเขาก็ไม่เกรงกลัว!
เพราะหากไม่สู้ตาย พวกเขาก็มีแต่ความตายรออยู่…
ผู้ฝึกตนแบบนี้ บ้าคลั่งกว่าคนของตระกูลหมั่วเสียอีก
เมื่อเห็นเฉินเต้าเสวียนมีสีหน้าเศร้าหมอง
เฉินเซียนเหอก็พูดราวกับกำลังบอกตัวเองว่า “พวกเราเป็นผู้ฝึกตน แม้จะแสวงหาวิถีเต๋า แต่ก็ไม่เคยยึดติดกับชีวิต และไม่กลัวความตาย หากต้องเอาความปลอดภัยของตระกูลมาเสี่ยง เพื่อแลกกับการมีชีวิตอยู่ต่ออีกเพียงเล็กน้อยของข้า ข้าก็ไม่เอาด้วย”
พูดจบ เขาก็มองเฉินเต้าเสวียนด้วยสายตาอ่อนโยน แล้วปลอบใจว่า “มีชีวิตอยู่ก็คืออยู่ ตายก็คือตาย เต้าเสวียน เจ้าไม่ต้องเสียใจไปหรอก”
เมื่อพูดถึงตรงนี้
ความคิดของเฉินเซียนเหอ ราวกับว่าได้ย้อนกลับไปยังสนามรบที่ด่านเจิ้นหนานเมื่อห้าสิบปีก่อน
เฉินเซียนโจว ผู้ำตระกูลคนก่อน เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนของอาณาจักรฉู่หยุนที่ดาหน้าเข้ามาเหมือนดังคลื่นยักษ์ เขาก็ได้เอ่ยคำพูดที่องอาจกล้าหาญนี้ออกมา
“มีชีวิตอยู่ก็คืออยู่ ตายก็คือตาย!”