บทที่ 7 พบสาวงาม
“หือ?... แล้วทำไมข้าต้องรับเจ้าเป็นทาสด้วยล่ะ? มันจะไม่ดีกว่าหรอถ้าข้าจะสังหารเจ้าตอนนี้?” หลงเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า คำพูดของเขาทำให้หลงมังเทียนหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น
“ได้โปรด...ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย นายน้อยเทียน... ข้าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว” หลงมังเทียนกล่าว แต่คราวนี้เขาพูดด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“ได้โปรดอย่าทำอะไรข้าเลย นายน้อยเทียน...มัน...มัน...มันขัดต่อกฎของตระกูล หากทำร้ายคนในตระกูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสังหารคนในตระกูลเดียวกัน แม้ว่าตัวข้าจะมาจากตระกูลสาขาก็ตาม แต่ท่านก็ยังคงถูกลงโทษอยู่ดีถ้าทำแบบนั้น” หลงมังเทียนยังคงพูดด้วยน้ำตา
“ถ้างั้นตอบคำถามข้ามาสองข้า ข้อแรก คนอื่นจะรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นคนสังหารเจ้า? ตอนนี้พวกเราอยู่กันตามลำพัง ข้อสอง ในสายตาของคนในตระกูลข้าเป็นแค่ขยะไร้ค่า คนอื่นคงจะไม่คิดด้วยซ้ำว่าข้าจะสามารถสังหารเจ้าได้” หลงเฉินกล่าว เขาหยุดพูดครู่หนึ่งและพูดต่อ
“และเรื่องที่สำคัญที่สุดคือ เจ้าเองก็รู้ว่าตอนนี้ข้าไม่ได้อยู่ในสายตาของคนในตระกูล แต่ข้าก็ยังคงเป็นหลานชายของผู้นำตระกูลอยู่ดี ด้วยสถานะของข้า แม้ข้าจะสังหารเจ้าตอนนี้ เจ้าคิดหรือว่าข้าจะถูกฆ่า? หรือข้าจะได้รับบทลงโทษสถานหนัก?” หลงเฉินยิ้มขณะที่พูดแบบนั้นออกมา
‘ถึงจะพูดแบบนั้นออกไป แต่มันก็เป็นความจริงอยู่ดี ถ้าหากเขาสังหารหลงมังเทียน มันจะดึงดูดความสนใจที่ไม่จำเป็นไม่น้อย นั่นจะเป็นอุปสรรคต่อแผนการของข้า’ หลงเฉินคิด
หลงมังเทียนรู้สึกหวาดกลัวแทบจะเป็นหมดสติ เมื่อหลงเฉินบีบคอของเขาแน่นขึ้น หลังจากนั้นเขาก็ดึงหลงมังเทียนเข้ามาใกล้ ริมฝีปากของเขาไปอยู่ข้างหูของหลงมังเทียนและเขาก็พูดว่า
“ถ้าใครรู้ว่าตอนนี้อาการของข้าดีขึ้นแล้ว และข้าเป็นคนที่ทุบตีเจ้า ข้าไม่คิดว่าข้าจะต้องอธิบายให้เจ้าฟังหรอกนะ แม้ว่าตระกูลหลงอาจจะช่วยเหลือเจ้าได้ แต่ใช่ว่าจะช่วยได้ตลอดไป” หลงเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสาที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา
ทันทีที่หลงมังเทียนเห็นรอยยิ้มนี้ เขารู้ทันทีว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในเงื้อมมือของปีศาจ และให้คำมั่นสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก ถ้าวันนี้เขามีชีวิตรอดกลับไป
“ถึงแม้ว่าตอนนี้ข้าจะไม่ต้องการทาสรับใช้ แต่เจ้าก็พูดถูกว่าอาจทำตัวเป็นประโยชน์กับข้า ข้าเองก็คิดแบบนั้น แต่ตอนนี้มันยังไม่จำเป็น ข้าจะไปหาเจ้าเองในวันที่ข้าต้องการ จนถึงตอนนั้นก็ทำตัวให้ปกติเหมือนที่เจ้าทำประจำ แต่อย่าได้เข้ามาหาเรื่องข้าอีก” หลงเฉินกล่าวกับเขา
ในที่สุดหลงมานเทียนก็รู้สึกโล่งอก เขารู้แล้วว่าวันนี้ยังไม่ถึงวันตายของเขา
“ข...ข้าสัญญา!” หลงมังเทียนกล่าวพร้อมน้ำตาในดวงตา หลังจากนั้นไม่นาน หลงเฉินก็ปล่อยตัวเขาลง
“ไส้หัวไปได้แล้ว ถ้ามีใครถามว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บได้ยังไง ข้าหวังว่าเจ้าจะหาข้อแก้ตัวได้ดี อย่างเช่น...เจ้าสดุดล้มขณะเดิน” หลงเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าของเขา
นี่เป็นข้อแก้ตัวเดียวกับที่พวกเขาใช้กับหลงเทียนตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บขณะโดนกลั่นแกล้ง
หลังจากพูดจบ หลงเฉินก็เดินไปที่อื่นต่อ เขาวางแผนว่าจะเดินไปทุกที่ในคฤหาสน์ของตระกูลหลง
ขณะที่หลงเฉินเดินจากไป สายตาของหลงมังเทียนก็ยังไม่ละสายตาออกห่างจากเขาจนกระทั่งเขาจากไป ในที่สุดเขาก็สามารถถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาก้มลงไปมองช่วงล่างและสังเกตเห็นว่ากางเกงของเขาเปียกเล็กน้อย...แล้วเขาก็รีบวิ่งกลับไปที่ห้องของตัวเองทันที
ขณะที่หลงเฉินกำลังเดินสำรวจรอบๆคฤหาสน์ เขาก็เห็นสิ่งน่าทึ่งมากมาย สถานที่แห่งนี้มันใหญ่โตมาก และมีสถานที่สำคัญหลายแห่ง
มันมีหอเก็บทักษะของตระกูลหลงที่เก็บรวมรวบทักษะต่อสู้เอาไว้มากมาย เมื่อหลงเทียนยังเด็ก เขาเคยไปที่นั่นและได้เห็นทักษะมากมาย ซึ่งมีทักษะระดับทั่วไปหลายร้อยทักษะ แต่ทักษะระดับจิตวิญญาณกลับมีน้อย แม้แต่หลงเทียนเองก็ไม่มีโอกาสได้เห็นทักษะเหล่านั้น
หอทักษะนั้นมีสีทอง และครอบคลุมพื้นที่หลายร้อยตารางเมตร ประตูของมันกว้างประมาณสามเมตรและสูงประมาณห้าเมตร นอกจากนี้ยังมีสัญลักษณ์มังกรประดับอยู่ตรงประตู ราวกับว่ามันเป็นสถานที่สำคัญที่สุดของตระกูลหลง
ชั้น 1 จะมีแต่ทักษะทั่วไป ซึ่งทักษะจะมีตั้งแต่ทักษะระดับทั่วไปขั้นต่ำจนถึงทักษะระดับทั่วไปขั้นสูงหลายร้อยทักษะ ส่วนชั้น 2 จะมีแต่ทักษะระดับจิตวิญญาณเท่านั้น หากใครทะลวงผ่านระดับก่อจิตวิญญาณ พวกเขาก็จะได้รับอนุญาตให้เลือกทักษะต่อสู้จากชั้นนี้
ถ้าหลงเทียนไม่ถูกลอบสังหาร เขาคงเป็นรุ่นเยาว์ที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ขึ้นไปชั้น 2 และเลือกทักษะระดับจิตวิญญาณ หลังจากที่เขาทะลวงผ่านระดับก่อจิตวิญญาณ แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น
ส่วนชั้น 3 เชื่อกันว่ามีทักษะระดับแก่นทองอยู่ และชั้น 4 ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปนอกจากผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสระดับสูงไม่กี่คนที่ได้รับอนุญาต แต่ว่ากันว่ามันมีทักษะระดับปฐพีถูกเก็บรักษาเอาไว้ ซึ่งหลงเฉินเองก็คิดเช่นนั้น นี่อาจเป็นคำอธิบายเดียวที่สมเหตุสมผลสำหรับเขาว่ามีอะไรอยู่ในชั้น 4
“มันยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่ข้าจะเข้าไปข้างใน แม้ว่าพวกเขาจะอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างในก็ตาม ข้าเองก็มีทักษะระดับทั่วไปติดตัวอยู่แล้ว และคงไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปชั้นที่ 2 เพราะข้ายังไม่ทะลวงผ่านระดับก่อจิตวิญญาณ” หลงเฉินพูดพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะตัดสินใจเดินผ่านไป
หลังจากที่เขาเดินไปได้ไม่กี่นาที เขาก็เห็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน
สถานที่ต่อไปที่ทำให้เขาประหลาดใจเป็นหอขนาดใหญ่ มันมีความสูงแค่ 3 ชั้นเท่านั้น แต่มันกว้างขวางกว่าหอเก็บทักษะมาก ซึ่งที่แห่งนี้คือหอสมบัติ มันมีสมบัติมากมายอยู่ข้างใน โดยเฉพาะอาวุธ นอกจากจะมีอาวุธระดับทั่วไปแล้วยังมีอาวุธระดับจิตวิญญาณด้วย
หลงเฉินไม่รู้ว่ามันมีอาวุธระดับปฐพีถูกเก็บรักษาเอาไว้ด้วยหรือไม่ เพราะเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แต่เขามั่นใจว่าในตระกูลหลงจะต้องมีสมบัติระดับปฐพีอยู่ที่ไหนสักแห่งเป็นแน่ เมื่อพิจารณาจากความแข็งแกร่งของตระกูลs]’
สมาชิกตระกูลทุกคนสามารถเลือกสมบัติระดับทั่วไปได้ หลังจากที่พวกเขาบรรลุระดับหลอมกายาขั้น 7 และสามารถเลือกอาวุธระดับจิตวิญญาณได้หลังจากที่บรรลุระดับก่อจิตวิญญาณขั้น 5
ส่วนพวกเขาจะได้รับสมบัติระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง และระดับสูงสุดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับตัวพวกเขาเอง สมบัติระดับใดที่พวกเขาจะได้รับจะถูกกำหนดโดยบททดสอบเฉพาะของหอสมบัติ
ในตอนที่หลงเทียนผ่านการทดสอบนี้ครั้งแรก เขาอายุเพียงแค่ 7 ปีเท่านั้น และอยู่ในระดับหลอมกายาขั้น 7 หลังจากที่ผ่านบททดสอบ เขาก็ได้รับดาบระดับทั่วไปขั้นสูงสุด ที่มีชื่อว่า “ดาบทำลายภูเขา” แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ชอบพกมันติดตัวเมื่อออกไปข้างนอก ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่มีอาวุธติดตัว เมื่อเผชิญหน้ากับชายสวมหน้ากากที่ลอบสังหารเขา
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตอนนั้นเขาจะพกมันติดตัวไปด้วย หลงเฉินก็รู้ว่ามันคงจะช่วยอะไรได้ไม่มากนัก เพราะคู่ต่อสู้ของเขานั้นมีระดับบ่มเพาะพลังสูงกว่าเขา 2 ระดับ ทั้งยังมีอาวุธระดับจิตวิญญาณขั้นต่ำ
ขณะที่หลงเฉินกำลังจะเดินผ่านหอสมบัติ ทันใดนั้นเองก็มีหญิงสาวแสนสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างใน