บทที่ 55 โรคร้ายประชิดตัว อายุขัยถูกทำลายอย่างหนัก
การฝึกวิชาของผู้ฝึกตน ล้วนจำเป็นต้องเลือกวิชาที่เหมาะสมกับธาตุหลักของรากวิญญาณตนเองที่สุด สอดคล้องกับสถานการณ์รากวิญญาณของตน
เปรียบเสมือนคนที่มีพรสวรรค์ด้านวิชาเขียนพู่กันจะไปเรียนวิชาเขียนพู่กัน ก็เป็นหลักการเดียวกัน
ในอนาคต รีบหาวิชาฝึกตนธาตุน้ำแข็งขั้นใช้ได้สักวิชามาให้หลี่เหว่ยเหมี่ยวโดยเร็วเถิด
ส่วนพรสวรรค์ของพี่น้องหลี่เหว่ยเซียวทั้งสอง ลู่ผิงก็ปิดเป็นความลับไปก่อน
เมื่อทั้งสองก้าวสู่เส้นทางการฝึกตน ลู่หยวนซานก็จะสามารถสังเกตและคาดเดาระดับสูงต่ำของรากวิญญาณทั้งสองได้คร่าวๆ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ผ่านไปกว่าหนึ่งเดือน เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว
นิกายได้รับช่วงเวลาอันสงบสุขอย่างยิ่ง ข้าววิญญาณในไร่ปลูกพืชวิญญาณเติบโตสูงถึงครึ่งตัวคนแล้ว จากสีเขียวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
ในสวนสมุนไพร พืชสมุนไพรวิเศษได้รับการดูแลเอาใจใส่จากเช่อชิงชิง จึงไม่เกิดปัญหาอะไรเลย เจริญงอกงามอย่างมาก
ส่วนหนูน้อยหลี่เหว่ยเซียว จากที่แรกเริ่มยังไม่คุ้นเคย แยกแยะพืชสมุนไพรวิเศษไม่ออก เรียกชื่อไม่ถูก แต่ตอนนี้ผ่านการเรียนรู้มากว่าหนึ่งเดือน ก็พอจะแยกชนิดของพืชสมุนไพรวิเศษได้แล้ว รู้ด้วยว่าเวลาไหนควรรดน้ำ เวลาไหนควรถอนหญ้า กำจัดแมลง
ภายใต้การชี้นำของเช่อชิงชิง หลี่เหว่ยเซียวก็เริ่มเรียนวิชาเรียกสายฝนเก็บกลั่นปราณแล้ว
วิชานี้เข้าใจง่ายในช่วงเริ่มต้น ไม่มีความเสี่ยงในการฝึกฝน ทำให้หลี่เหว่ยเซียวใส่ใจอย่างจริงจัง ขยันขันแข็งมาก
เมื่อเห็นนิกายพัฒนาไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเช่นนี้ ในใจลู่ผิงก็ปลาบปลื้มอย่างยิ่ง
วันหนึ่ง เขาเรียกลู่ฉางเฟิงมา แล้วมอบเกราะแสงทองและผอบกระบี่เพลิงร้อนให้บุตรชายคนที่สองผู้นี้
จากการต่อสู้กับเว่ยอู๋เหิงผู้ฝึกตนฝ่ายมารที่ตำบลฉาวอิ๋น ทำให้ลู่ผิงเห็นข้อบกพร่อง และความไม่พอเพียงในอุปกรณ์ของลู่ฉางเฟิง
ในมือลู่ฉางเฟิง มีเพียงกระบี่ขั้นกลางที่ 1 ชิงเฟิงเล่มเดียว เมื่อใช้สู้รบก็ไม่ได้ให้พลังอานุภาพมากมายนัก แค่ใช้เป็นกระบี่บินโจมตีศัตรูเท่านั้นก็เหนื่อยแล้ว
นอกเหนือจากนี้ ก็ไม่มีอาวุธวิญญาณอื่นพกติดตัวเลย ถ้ามีก็เป็นแค่ผลึกอาคมขั้นต่ำบ้าง ยกตัวอย่างเช่นหนังสือเดินทางแห่งเทพในตอนก่อน
"ผอบกระบี่เพลิงร้อนนี้ เป็นอาวุธวิญญาณขั้นที่ 1 รุ่นดีเลิศ สามารถปลดปล่อยกระบี่เพลิงหกเล่มออกมาต่อสู้ได้เมื่อเผชิญหน้าศัตรู สามารถสกัดกั้นผู้ฝึกตนที่ใช้ฝึกรากวิญญาณทองคำเป็นหลัก และอาวุธวิญญาณธาตุทองได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
"รากวิญญาณหลักของเจ้าคือไฟ วิชาที่ฝึกฝนก็คือคัมภีร์กระบี่จิ้งจอกไล่ลม ซึ่งเป็นวิชาธาตุไฟ เครื่องมือชุดผอบกระบี่เพลิงร้อนนี้ เข้ากันเป็นอย่างดีทั้งกับธาตุรากวิญญาณหลัก และวิชาที่ฝึกฝน ช่วยเสริมศักยภาพให้เจ้าได้มากพอสมควรเมื่อต่อสู้"
ลู่ผิงแนะนำเครื่องมือสองชิ้นอย่างคร่าวๆ
"ส่วนเกราะแสงทองนี้ เป็นอุปกรณ์ป้องกันขั้นที่ 1 รุ่นดีเลิศ สามารถต้านทานการโจมตีเต็มกำลังของผู้ฝึกตนขั้นฝึกปราณชั้น 9 ได้หนึ่งครั้ง"
"ตอนนี้มีมันแล้ว พลังต่อสู้ของเจ้าจะเพิ่มขึ้นไม่น้อย แม้จะไม่พูดถึงการสังหารผู้ฝึกตนขั้นฝึกปราณชั้น 9 แต่อย่างน้อยหากพบผู้ฝึกตนระดับนี้ เจ้าก็มีแรงต่อกรพอสู้รอดไหว เจอผู้ฝึกตนฝ่ายมารอย่างเว่ยอู๋เหิงอีก ก็คงไม่เหนื่อยหอบเหมือนทีนั้นหรอก"
เมื่อรู้ถึงผลของอาวุธทั้งสองชิ้นแล้ว ลู่ฉางเฟิงก็ตื่นเต้นจนแทบคุมตัวไม่อยู่ ถือไว้ในมือแล้วพิจารณาหมุนไปมาอย่างไม่ยอมวางมือ
นับตั้งแต่ท่านพ่อเข้าปิดวิหาร นิกายก็เสื่อมโทรมไปทุกที ทุกวันยิ่งแย่ลงไปอีก อาวุธวิญญาณแต่ละชิ้นที่พกติดตัวก็ถูกจำหน่ายออกไป สุดท้ายเหลือเพียงกระบี่ชิงเฟิงเล่มเดียวติดกาย
ถ้าพูดว่าในใจไม่เคยคับแค้นใจ คิดบ่นว่าไม่มีอุปกรณ์ดีๆ แน่นอนว่าต้องเคยผุดความคิดนี้ขึ้นมาบ้าง
แต่พอคิดถึงสถานการณ์ของนิกายที่ยากลำบาก ไม่ใช่เวลามัวห่วงแต่ตัวเองแล้ว เขาก็ได้แต่วางความคิดที่จะเพิ่มพูนอุปกรณ์กลับลงไปอย่างหงุดหงิดใจ ตามพี่ชายลู่หยวนซานจำหน่ายอาวุธวิญญาณเติมเต็มให้นิกายต่อไป
ตอนนี้ได้อาวุธวิญญาณใหม่ ระดับยังไม่เลว อีกทั้งยังเหมาะกับตัวเองมาก จะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไรกัน
อันที่จริง ตอนที่ครั้งก่อนเมื่อลู่จื่อเวยหลอมสร้างกระบี่คู่ชิงจื้อได้สำเร็จ ในใจเขาก็รู้สึกอิจฉาเล็กๆอยู่บ้าง ถึงแม้อาวุธนั้นจะไม่เหมาะกับเขาใช้เลยก็ตาม แต่ยังไงก็ยังดีกว่าไม่มี
เลยช่างดีใจเหลือเกิน ที่นานๆทีจะได้สัมผัสความรู้สึกของอาวุธวิญญาณใหม่ๆ
"ขอบคุณท่านพ่อ ด้วยอาวุธวิญญาณสองชิ้นนี้ประจำกาย พลังต่อสู้ของลูกจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อยสองส่วน!"
ลู่ฉางเฟิงลองใช้ผอบกระบี่เพลิงร้อน หลังจากผอบกระบี่เปิดออก ก็มีกระบี่พลังเพลิงหกเล่มสีแดงฉาน ร้อนระอุ พัดกระหน่ำออกมา อานุภาพไม่น้อยเลย ทำเอาลู่ฉางเฟิงถึงกับไม่ยอมปล่อยมือ
เกราะแสงทองก็ถูกเขาสวมใส่ขึ้นมาในทันที ลูบคลำไปมาอย่างชอบใจ ดีใจราวกับเด็กที่ได้ของเล่นที่ชื่นชอบ
นับแต่ท่านพ่อตื่นขึ้นมา นิกายก็ดีขึ้นทีละวัน อุปกรณ์ในมือก็ค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นอีกด้วย
"สำหรับอุปกรณ์ที่พ่อสามารถหยิบยื่นให้ได้ตอนนี้ มีเพียงสองชิ้นนี้ชั่วคราว เจ้าต้องคุ้นเคยและเพาะบ่มมันให้ดี อย่าให้มันต้องเก็บฝุ่นไปเฉยๆ"
"แน่นอนขอรับ!"
"อีกอย่าง ตอนนี้เจ้าอยู่ในขั้นฝึกปราณชั้น 8 ยามว่างก็ให้ใช้เวลาฝึกฝนบำเพ็ญตนให้มาก ยกระดับความสามารถขึ้นไปอีก"
"ถ้านิกายมีผู้ฝึกตนขั้นฝึกปราณชั้น 9 เพิ่มอีกหนึ่งคน ก็จะสะดวกในการพัฒนานิกายต่อไปในภายภาคหน้า"
ลู่ผิงนึกถึงเรื่องงูมารน้ำดำ
ด้วยกำลังผู้ฝึกตนขั้นฝึกปราณชั้น 9 สองคนในนิกายยามนี้ ก็คือลู่จื่อเวยและลู่หยวนซาน หากทั้งสองร่วมมือกันออกโจมตี ก็ยังขาดแกร่งไม่พอ ไม่เป็นคู่ต่อสู้ของงูมารน้ำดำ
แต่หากว่าความสามารถของลู่ฉางเฟิงยกระดับขึ้นเป็นขั้นฝึกปราณชั้น 9 ได้ พอมีผู้ฝึกตนขั้นฝึกปราณชั้น 9 ถึงสามคนด้วยกัน บวกกับอุปกรณ์ที่ดีอีกสองสามชิ้น และผลึกอาคมที่ทรงพลังอีกสองสามแผ่น บางทีอาจประสบความสำเร็จสังหารงูมาร แย่งชิงไม้วิเศษเทียนชิงมาได้
พอได้ไม้วิเศษเทียนชิงมาครอบครอง นิกายก็จะสามารถฝึกผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานขึ้นมาได้หนึ่งคน
"คำสอนของท่านพ่อ ลูกจะจดจำไว้ให้ดี กลับไปแล้วจะตั้งใจฝึกฝน ไม่ให้ท่านพ่อผิดหวัง"
ได้อาวุธวิญญาณมาเป็นผลประโยชน์ ลู่ฉางเฟิงในเวลานี้ย่อมเต็มใจฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง ในใจก็พลุ่งพล่านด้วยเลือดอุ่น
หลังมอบอาวุธวิญญาณและกำชับลู่ฉางเฟิงให้ฝึกฝนให้ดีแล้ว ลู่ผิงก็พูดคุยเรื่องทั่วไปอีกสองสามคำ สุดท้ายก็ถามถึงเรื่องของซ่งหมิงฮุ่ย
"ข้าเห็นคราวก่อนที่ตำบลฉาวอิ๋น หมิงฮุ่ยถูกผู้ฝึกตนฝ่ายมารทำร้าย ตอนนี้ผ่านไปเดือนกว่าแล้ว อาการบาดเจ็บของนางดีขึ้นบ้างหรือไม่?"
แม้จะเป็นร่างจิตวิญญาณ แต่ลู่ผิงไม่มีนิสัยชอบลอบเข้าไปในห้องของศิษย์หญิง ช่วงเวลานี้ ก็ไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่ซ่งหมิงฮุ่ยเป็นพิเศษ
"เรื่องของหมิงฮุ่ยนั้น ลูกกำลังจะบอกท่านพ่อพอดี"
"อ้อ?"
สีหน้าลู่ฉางเฟิงจริงจังขึ้น "นับแต่หมิงฮุ่ยถูกผีร้ายในธงร้ายโจมตีหนึ่งครั้ง หลังกลับมาถึงนิกาย นิกายได้เตรียมสมุนไพรไว้ให้นางบำรุงรักษาแผล"
"แรกเริ่มก็คิดว่าหลังจากพักรักษาสักพัก บาดแผลก็จะค่อยๆหายดี แต่ไม่คาดคิดว่าผู้ฝึกตนฝ่ายมารจะใช้วิธีการที่ชั่วร้ายเจ้าเล่ห์ เกรงว่าได้ใช้กลยุทธ์อำมหิตฝังไว้ในธงร้าย ทำให้บาดแผลที่หมิงฮุ่ยได้รับไม่ใช่แผลภายนอกธรรมดา"
"ก็เพราะเหตุนี้ หลังจากหมิงฮุ่ยกลับมาถึงนิกายแล้วพักรักษาอยู่สิบกว่าวัน บาดแผลของนางไม่เพียงไม่ดีขึ้นเลย กลับยิ่งทรุดหนักอย่างรวดเร็ว จนทำให้นางต้องนอนติดเตียงมาครึ่งเดือน แม้แต่การดูแลตัวเองยังลำบากยิ่งนัก"
ลู่ผิงย่นคิ้ว ไม่คิดว่าจะได้ยินผลลัพธ์เช่นนี้
เขาเปิดหน้าต่างระบบ ดูข้อมูลคุณสมบัติส่วนตัวของซ่งหมิงฮุ่ย แล้วก็เห็นสถานการณ์ที่แท้จริง
[ชื่อ: ซ่งหมิงฮุ่ย]
[อัตลักษณ์: ศิษย์นิกายชิงซาน]
[อายุ: 39]
[บุคลิก: เป็นมิตร ซื่อสัตย์ อ่อนโยน]
[สถานะ: โรคร้ายประชิดตัว อายุขัยถูกทำลายอย่างหนัก]
[ขั้นภายใน: ขั้นฝึกปราณชั้น 6]
[พรสวรรค์: รากวิญญาณน้ำ ทองคำ และไม้ สามธาตุ]
[ตำแหน่ง: ภูเขาชิงเหลียน]
...
หลังผ่านการฝึกฝนราวครึ่งปี ความสามารถของซ่งหมิงฮุ่ยก้าวหน้าขึ้นมาก จากเดิมขั้นฝึกปราณชั้น 5 มาถึงขั้นฝึกปราณชั้น 6 นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงหนึ่ง
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงอีกอย่างที่ดึงดูดความสนใจของลู่ผิงที่สุด คือหมวดสถานะ
ตอนนี้ ในหมวดสถานะของซ่งหมิงฮุ่ย ไม่ได้แสดงว่าแข็งแรงเหมือนเดิม แต่กลับเป็น [โรคร้ายประชิดตัว อายุขัยถูกทำลายอย่างหนัก] ทำให้ลู่ผิงขมวดคิ้วเข้าหากันหนาขึ้นอีก
ตอนนั้น ตอนที่ซ่งหมิงฮุ่ยต้านรับธงร้ายเจ็ดผีอสุรี นางถูกผีร้ายตัวหนึ่งในธงร้ายทำร้ายที่ไหล่ขวา เกือบเอาชีวิตไม่รอด เหตุการณ์นั้นลู่ผิงเห็นกับตา
ตอนนั้นยังคิดว่าซ่งหมิงฮุ่ยเด็กเกินไป ไม่มีประสบการณ์การต่อสู้ มีแต่ตกใจจนตัวสั่นพยายามต่อต้าน ถึงได้เสียเปรียบ
ในใจคิดว่าแค่ให้บทเรียนนางสักหน่อย พอกลับถึงนิกายแล้ว พักรักษาตัวสักพักก็น่าจะหายดี ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะไม่ง่ายดายเช่นนี้
"ท่านพ่อ"
ลู่ฉางเฟิงลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะร้องขอ
"ไม่ทราบว่าท่านพ่อจะมีวิธีรักษาหมิงฮุ่ยได้บ้างหรือไม่ขอรับ?"
-------------------------------------
PS: พบกันพรุ่งนี้ครับ