ตอนที่แล้วบทที่ 42 ถ้ำมาร
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 44 การต่อสู้อันเลวร้าย

บทที่ 43 อาณัติเจ็ดมารอำมหิต


ถ้ำมาร เป็นนิกายนักบำเพ็ญเซียนวิถีมารขนาดใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในแคว้นฉี ผู้ก่อตั้งคือเสี่ยวเซียนมารเลือด

อาวุธวิถีมารที่เป็นสัญลักษณ์ของนิกายนี้ ก็คืออาณัติเจ็ดมารอำมหิตนี่เอง

พอได้ยินข้อสันนิษฐานของจางเนี่ยนชวน หลินหานก็อดสูดลมหายใจเย็นเฉียบไม่ได้

หากเป็นจริงดังที่จางเนี่ยนชวนพูด นักบำเพ็ญเซียนวิถีมารที่มาสร้างปัญหาที่เมืองฉาวหยินเป็นศิษย์ของเสี่ยวเซียนมารเลือด งั้นเรื่องนี้ไม่ธรรมดาเลย มีความเป็นไปได้สูงว่าเสี่ยวเซียนมารเลือดจะกลับมาจับจองแคว้นฉู่อีกครั้ง จะได้ยื่นกรงเล็บเข้ามาในอำเภอหลูซาน

หากมีความเคลื่อนไหวของนักบำเพ็ญเซียนวิถีมารที่จะเข้ามารุกรานอำเภอหลูซาน ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ นิกายชิงซานก็จำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือไว้ก่อน

ร่องรอยที่ความวุ่นวายของเหล่ามารทิ้งไว้ให้นิกายชิงซานใหญ่หลวงมาก ไม่มีใครอยากเดินซ้ำรอยเดิมอีก

"พวกเราไม่จำเป็นต้องคุยกันก่อนหรอกว่า ไอ้หมอนี่มาจากสายของเสี่ยวเซียนมารเลือดหรือเปล่า"

สีหน้าของลู่ฉางเฟิงค่อนข้างไม่สู้ดี ไม่ใช่เพราะเขากลัวภูมิหลังของนักบำเพ็ญเซียนวิถีมาร แต่เป็นเพราะทันทีที่พูดถึงเสี่ยวเซียนมารเลือด เขาก็โมโหสุดขีด อยากจะแก้แค้นให้กับศิษย์นิกายชิงซานมานานแล้ว

"หลายวันนี้เจ้าตั้งใจรักษาตัวให้ดี เรื่องนักบำเพ็ญเซียนวิถีมารปล่อยให้พวกข้าจัดการ เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว"

ลู่ฉางเฟิงกำหมัดแน่น พูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก "แค่มันกล้าโผล่หน้าออกมา ข้าจะต้องบดกระดูกเป็นเถ้าถ่านให้ได้!"

ซ่งหมิงฮุ่ยทั้งสี่รับรู้ได้ถึงความโกรธแค้นในน้ำเสียงของลู่ฉางเฟิง พวกเขามองหน้ากันแล้วไม่กล้าพูดอะไรอีก

ตลอดมาพวกเขาได้ยินกันมาว่าท่านผู้อาวุโสใหญ่อารมณ์ร้อนรุนแรง วันนี้ถือว่าได้เห็นบ้างแล้ว

หลังอยู่ด้วยกันราวหนึ่งนาฬิกา ลู่ฉางเฟิงก็ไม่อยู่นานไปกว่านั้น เขาออกไปและทั้งสามก็เริ่มค้นหาทั่วเมืองฉาวหยินอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทั้งข้างในและข้างนอก พยายามหาจุดหลบซ่อนของนักบำเพ็ญเซียนวิถีมาร

ลู่ผิงเองก็ไม่ได้อยู่เฉย เขาตามหาไปกับทั้งสี่คน

ทุกคนค้นหากันถึงสองวัน ก็ยังคงหาเจอแต่ความว่างเปล่า แม้แต่เงานักบำเพ็ญเซียนวิถีมารยังไม่เห็น นี่ทำให้ทุกคนสงสัยในใจว่านักบำเพ็ญเซียนวิถีมารหนีไปแล้วหรือเปล่า

"ท่านผู้อาวุโส ท่านว่านักบำเพ็ญเซียนวิถีมารไม่ได้อยู่ในเมืองฉาวหยินแล้วใช่ไหม"

ซ่งหมิงฮุ่ยรู้สึกท้อใจ เขาไม่ได้หวังมากนักว่าจะหานักบำเพ็ญเซียนวิถีมารเจอ

ภายในเมืองฉาวหยินรัศมีไม่ถึงสิบลี้ แค่สองวันก็เพียงพอที่จะค้นหาทั่วทั้งเมืองได้สามสี่รอบ

ตามหลักแล้ว หากนักบำเพ็ญเซียนวิถีมารยังอยู่ในเมืองฉาวหยิน จากเสียงลือที่ชาวเมืองได้ยิน ก็น่าจะตามหาจนเจอได้แล้ว

"พวกนักบำเพ็ญเซียนวิถีมารมีกลยุทธ์มากมาย เชี่ยวชาญการหลบซ่อน พวกเจ้าอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด ลองค้นหาอีกรอบอย่างละเอียด"

ลู่ฉางเฟิงไม่ยอมแพ้

ก็ด้วยความตั้งใจนี้ วันนั้นในยามเที่ยง ซ่งหมิงฮุ่ยก็สังเกตเห็นความผิดปกติเป็นคนแรก

แต่ไกล นางได้กลิ่นคาวเลือดเบาบางในอากาศ

ในเวลาเดียวกัน ยังมีเสียงร้องทุกข์ทรมานแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน

"ไม่ดีแล้ว อาจจะเป็นนักบำเพ็ญเซียนวิถีมาร!"

สีหน้าของซ่งหมิงฮุ่ยเปลี่ยนไปทันที มือขาวที่กำดาบเข้าไว้ยิ่งแน่นขึ้น

นางใช้สายตาส่งสัญญาณให้ลู่ฉางเฟิง ชี้ไปทางประตูหมู่บ้านทางตะวันออก

ลู่ฉางเฟิงตื่นตัวในทันที เรียกหลินหานและจางเนี่ยนชวนให้ซ่งหมิงฮุ่ยตามไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนรีบเดินทางไปยังจุดที่น่าสงสัย

มาถึงประตูหมู่บ้าน พวกเขาก็เห็นประตูลานบ้านหลังหนึ่งเปิดค้างอยู่ มีศพหลายร่างนอนอยู่ในลาน

ศพมีทั้งหมดหกร่าง ทั้งชายหญิงแก่เด็ก เห็นได้ชัดว่าทั้งครอบครัวตกเป็นเหยื่อโหดเหี้ยม

ลู่ฉางเฟิงมองศพผ่านๆ ผิวของศพเป็นสีซีดเผือด ไร้ร่องรอยของเลือด หน้าผากดำคล้ำ เหมือนถูกดูดเอาจิตวิญญาณไป ดูแล้วแปลกประหลาด

"ในห้องมีเสียงดังอยู่!"

ก็ในตอนนั้น หูของซ่งหมิงฮุ่ยได้ยินเสียงตกใจกลัวดังออกมาจากห้องหนึ่งในลาน นางจึงรีบวิ่งเข้าไปทันที

ลู่ฉางเฟิงกับพวกตามเข้าไปติดๆ

เมื่อทุบประตูเข้าไป ก็เห็นชายร่างกำยำล้มลงข้างโต๊ะไม้ด้วยเสียงดังปัง

ใบหน้าของชายผู้นั้นซีดขาว หน้าผากดำมืด ดูท่าทางจะถูกดูดจิตวิญญาณไปแล้ว ถึงแก่ความตายแล้ว

ก็ในตอนเดียวกัน ร่างของนักพรตแก่ตัวหนึ่งสวมชุดดำก็เข้าสู่สายตาของทุกคน เขากำลังดูดซับวิญญาณของชายกำยำอย่างสิ้นเชิงเข้าไปในอาวุธวิถีมารสีดำเลือดรูปร่างคล้ายอาณัติในมือ ถูกมารร้ายทั้งเจ็ดในอาณัติกัดกินจนหมด

"ฮ่าๆๆๆ ในที่สุดอาณัติเจ็ดมารอำมหิตของข้าก็หลอมสำเร็จแล้ว!"

เห็นอาณัติสีดำมีพลังมารเพิ่มขึ้นมาก ถึงขั้นเป็นอาวุธวิญญาณขั้นหนึ่งระดับสูงแล้ว นักพรตชุดดำก็หัวเราะดังลั่น

ถึงแม้จะพบว่ามีคนอยู่ข้างหลัง เขาก็ไม่ได้หันไปมองลู่ฉางเฟิงกับพรรคพวกที่ทุบประตูเข้ามาในทันที

"อำมหิต เจ้ามีวิชาชั่วร้ายถึงเพียงนี้!"

ลู่ฉางเฟิงได้เห็นกับตาถึงปุถุชนคนหนึ่งถูกนักบำเพ็ญเซียนวิถีมารสังหาร จิตวิญญาณถูกอาณัติสีดำกัดกินจนหมด เขาก็โกรธแค้นจนหัวใจเต้นระรัว

เขาชักดาบชิงเฟิงประจำกายออกมาอย่างรวดเร็ว ฟันแสงสีเขียวมรกตออกไปทันที แทงตรงไปที่อกของนักพรตมารแก่

แม้จะเพิกเฉยต่อลู่ฉางเฟิงกับพวก แต่นักพรตมารแก่ก็มิได้ไร้การป้องกัน

เมื่อดาบชิงเฟิงเพิ่งจะมาถึงตรงหน้า เขาก็ม้วนอาณัติสีดำในมือ มารร้ายหัวหนึ่งพุ่งออกมาโจมตี เสียงกึกก้องดังขึ้น ปัดเหวี่ยงดาบชิงเฟิงออกนอกเส้นทาง แทงเข้าอากาศเปล่า

หนึ่งครั้งไม่ถูก ดาบชิงเฟิงเหวี่ยงเป็นรูปครึ่งวงกลมในอากาศ กลับมาอยู่ตรงหน้าของลู่ฉางเฟิง ใบมีดส่งเสียงหึ่งๆ

ดาบชิงเฟิงเล่มนี้เป็นดาบบินขั้นหนึ่งระดับกลางชิ้นเดียวของลู่ฉางเฟิง อยู่กับเขามาหกเจ็ดปีแล้ว

นอกจากนี้ เขาก็ไม่มีอาวุธวิญญาณอื่นอีกแล้ว ตั้งแต่ตอนนิกายตกอยู่ในช่วงยากลำบาก เขาเอาอาวุธวิญญาณไปขายทั้งหมด แลกเป็นหินวิญญาณมาใช้ในการบริหารนิกาย เหมือนกับที่ลู่หยวนซานทำ

ไม่เพียงแต่ลู่ฉางเฟิงจะมือขาดแคลน แม้แต่ศิษย์คนอื่นๆในนิกายชิงซาน ถ้ามีอาวุธวิญญาณสักชิ้นก็ถือว่าดีมากแล้ว

แค่พูดถึงจางเนี่ยนชวนที่อยู่ที่นี่ หากไม่ใช่ติดตามลู่จือเวยไปกำจัดจิ้งจอกโพรงไม้ ทำให้ลู่หยวนซานมอบรางวัลเป็นดาบเหล็กดำที่ถือว่าเป็นอาวุธวิญญาณได้อย่างฝืดเคือง ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่มีอาวุธวิญญาณเหมือนกัน

ถ้าจางเนี่ยนชวนต้องต่อสู้กับใครสักคน เขาก็ต้องใช้วิชาลูกไฟ วิชาน้ำแข็งวิเศษ หรือคาถาประเภทนี้ต่อสู้แบบเอาเป็นเอาตาย

ปัดดาบชิงเฟิงออกไปได้ นักพรตมารแก่มองดูลู่หยวนซานและลูกสมุนอย่างเข้มข้น

"ที่แท้ก็พวกเจ้านี่เอง"

"ตามหาข้ามาหลายวัน สุดท้ายก็ยังอยากอยู่ต่อเพื่อตายเองรึ มาเป็นอาหารให้พวกวิญญาณอสุรกายในอาวุธมารของข้างั้นหรือ"

นักพรตมารชราหัวเราะอย่างเยือกเย็น

สองวันนี้ เขาปลอมตัวเป็นหญิงชราที่หน้าตาไม่น่ามองคนหนึ่ง แอบหลบซ่อนอยู่ในเมืองฉาวหยินเพื่อรักษาบาดแผล และก็สังเกตเห็นลู่หยวนซานกับพวกมาถึง

ด้วยความระมัดระวัง และเพื่อต้องการเร่งเวลา เขาจึงไม่รังเกียจที่จะสูญเสียเม็ดยามารเลือดในถุงเก็บของไปหลายเม็ด เพื่อฟื้นฟูบาดแผลโดยเร็ว แล้วจึงออกมาอีกครั้ง เพื่อสังหารปุถุชนหลอมสร้างอาณัติมารต่อ

และหลังจากการหลอมสร้างครั้งนี้ ในที่สุดอาณัติเจ็ดมารอำมหิตก็เลื่อนขั้นสำเร็จแล้ว ไม่เสียแรงที่เขาหลบหนีมาหลายปี สังหารปุถุชนนับหมื่นเพื่อหลอมสร้างอาวุธมาร

"สังหารปุถุชนตามอำเภอใจ หลอมสร้างอาวุธวิถีมาร เจ้าเป็นพวกถ้ำเหล่ามารในแคว้นฉี สายของเสี่ยวเซียนมารเลือดสินะ"

แววตาของลู่ฉางเฟิงฉายแววอำมหิต

"ถือว่าเจ้ามีนัยน์ตาอยู่บ้าง"

แน่นอนว่ามาจากถ้ำเหล่ามาร งั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดมาก จัดการมันเลย

ลู่ฉางเฟิงตะโกนเสียงดัง "ลงมือ!"

เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ซ่งหมิงฮุ่ยกับคนอื่นๆก็รู้สึกโกรธแค้นในใจ พวกเขาอยากจะประหารนักพรตมารแก่เสียให้ราบคาบแล้ว จึงลงมือในทันที

เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น ซ่งหมิงฮุ่ยเป็นคนแรกที่ชักตาข่ายทองคำเข้มออกมา ไม่พูดพร่ำทำเพลง เธอกางมันออกทันที คลุมลงไปที่ศีรษะของนักพรตมารแก่

หลินหานและจางเนี่ยนชวนก็แข็งขันไม่แพ้กัน ทั้งคู่ควบคุมดาบบินบีบวงล้อมนักพรตมารแก่ กีดขวางเส้นทางถอยทั้งสองด้านของเขา ช่วยเหลือซ่งหมิงฮุ่ย

ส่วนลู่ฉางเฟิงใช้อาคมเร่งความเร็วบนร่าง เพิ่มความคล่องแคล่วและความเร็วของตนเองขึ้นมาก แล้วกำดาบชิงเฟิง เตรียมเข้าประชิดตัวปะทะกับนักพรตมารแก่ ไม่ให้เขามีโอกาสใช้อาณัติเจ็ดมารอำมหิต

เขารู้สึกหวาดกลัวอาวุธวิถีมารชิ้นนี้เป็นอย่างยิ่ง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด