บทที่ 29 เคยเห็นเมืองหยานเจียวตอนเช้ามืดหรือไม่
ค่ำคืนนี้ หลินเป่ยกำลังเพลิดเพลินกับความฝันของเขา
ในความฝันเขาพบว่าตัวเองกลับไปที่ศาลาจันทร์รุ้งอีกครั้ง หญิงสาวที่อ่อนโยนและน่ารักล้อมรอบเขาบนเตียงอย่างระมัดระวัง พวกเธอเริ่มถอดเสื้อผ้าของเขาทีละชิ้นจนกระทั่ง.. เธอขึ้นงบนเขาและ...
..ตบหน้าเขา!!
เสียงตบที่แหลมคมดังเป็นชุด
เพี้ยะ เพี้ยะ เพี้ยะ เพี้ยะ!!
"เกิดอะไรขึ้น" หลินเป่ยดิ้นรนและตะโกนจนเขาลืมตาตื่นขึ้น
จนกระทั่งในตอนนี้เขาก็ตระหนักได้ว่ามันไม่ใช่แค่ความฝัน มีบางอย่างกำลังตีเขาจริงๆ
ด้านหน้าของหลินเป้ยมีกระดาษสีทองแผ่นหนึ่งอยู่ ดูบางมาก อย่างไรก็ตาม มันโจมตีด้วยพลังที่แข็งแกร่งอย่างไม่คาดคิดจนทําให้หลินเป่ยเจ็บระบบบนใบหน้า
"อะไรกัน" หลินเป่ยกล่าวอย่างงุนงงก่อนที่จะคว้ากระดาษสีทองไว้แน่น เขาสังเกตเห็นแสงอ่อนๆ และชื่อหวัดๆ คดเคี้ยว “หลินเป่ย”
"มีอะไรหรือ" ชูเหลียงที่ถูกปลุกให้ตื่นผลักประตูเข้ามา และเมื่อเห็นกระดาษสีทองเขาก็อุทานทันที "นี่มิใช่ของวิเศษของซ่งชิงอี้หรอกหรือ"
หลินเป่ยเองก็นึกขึ้นได้ว่าเห็นซ่งชิงอี้ใช้สิ่งนี้กับตาตัวเองเมื่อคืนก่อน
เขาลุกขึ้นนั่งอย่างงงงวยและถามว่า “เหตุใดท่านซ่งต้องส่งนี้มาให้ข้า..”
ชูเหลียงจ้องมองหลินเป้ย ทั้งสองอุทานในเวลาเดียวกันและตาสว่าง
"เธออยู่ในอันตราย!"
"เธอแอบรักข้า!"
"..."
ทั้งสองยืนสงบนิ่งไว้อาลัยสักครู่
"ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าเธอตกอยู่ในอันตราย..." หลินเป่ยเอ่ยถาม
ชูเหลียงกล่าวว่า "ลองคิดดู สิ่งวิเศษชิ้นนี้มอบให้เธอโดยหอขุนนาง มันมีไว้เพื่อป้องกันตัว มันไม่สามารถออกมาจากเจ้าของได้ง่ายเพียงนี้ นี่ต้องแสดงให้เห็นว่าเธอเจออันตรายอะไรบ้างและไม่สามารถหลบหนีได้ เธอจึงทำได้เพียงขอความช่วยเหลือด้วยวิธีนี้ ผู้บ่มเพาะที่เธอรู้จักในเมืองหยานเจียวมีเพียงเราสองคนเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงใช้มันมาหาเรา"
หลินเป้ยโต้กลับ “แม้ว่าเธอจะตกอยู่ในอันตราย เหตุใดเธอจึงเขียนชื่อข้า บางทีเธออาจจะ..”
ชูเหลียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "เป็นเพราะ... ชื่อด้วยพู่กันท่านมันสั้นกว่าข้ามิใช่หรือ"
..หลินเป่ยเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วและไม่พัวพันกับเรื่องนี้อีกต่อไป "แล้วตอนนี้พวกเราควรทําอย่างไรดี"
ชูเหลียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า "แม้ว่าเธอจะเป็นผู้ฝึกตนจากหอขุนนางและมีของดีอยู่กับตัวหลายอย่าง แต่กลับมิสามารถหลบหนีได้ ข้าเชื่อว่าคนที่เล่นงานเธอได้ต้องมิใช่ธรรมดาแน่ อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในระดับการบ่มเพาะที่สี่ขึ้นไป.. ข้าขอแนะนําให้เราแยกกัน ท่านกลับไปที่ฉูซานเพื่อขอกําลังเสริม ข้าจะไปหาซ่งชิงอี้เพื่อตัดสินสถานการณ์"
หลินเป่ยขมวดคิ้ว "ท่านจะไปคนเดียวหรือ แต่ตามที่ท่านบอก หากศัตรูเก่งกาจถึงเพียงนั้น ท่านจะอยู่คนเดียวมีประโยชน์อันใด"
ชูเหลียงกล่าวว่า "ข้าเพียงอยากตรวจสอบดูก่อน หากมีเรื่องเร่งด่วน อย่างน้อยข้าก็สามารถถ่วงเวลาได้ ท่านรีบกลับไปที่ฉูซาน ไปหาอาจารย์ของข้าที่ยอดเขาหยินเจี้ยน ในบรรดาผู้อาวุโสของนิกายฉูซาน นางอาจจะยุ่งน้อยที่สุด ถ้าท่านไปหาคนอื่นมันอาจจะล่าช้าและเสียเวลาอันมีค่าไปของเราไป อย่าว่าแต่เรื่องยุ่งเลย ข้าเดาว่าตอนนี้นางยังไม่ตื่นเสียด้วยซ้ำ"
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเชื่อและศรัทธา
หลินเป่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและตระหนักว่าถ้าคนหนึ่งกลับไปที่ฉูซานและอีกคนต้องไปตามหาซ่งชิงอี้ คนที่ไปตามหาเธอนั้นต้องอันตรายมากแน่ๆ
เขาจึงแนะนําว่า “ในเมื่อเราจะขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ของท่าน เหตุใดท่านไม่กลับไปเพื่อขอกําลังเสริมด้วยตัวเอง ข้าจะไปประเมินสถานการณ์เอง”
ชูเหลี่ยงส่ายศีรษะแล้วพูดว่า "ขอบเขตการบ่มเพาะของข้าสูงกว่าท่าน ข้าไปจะดีกว่า"
"หือ" หลินเป่ยไม่เข้าใจ "เราทุกคนอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการตระหนักรู้ทางวิญญาณมิใช่หรือ ท่าน.."
ชูเหลียงก็ไม่ได้พูดอะไรมากและปล่อยพลังออกมา
"ท่านมาถึงระยะกลางของการตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณแล้วหรือ" หลินเป่ยประหลาดใจมาก
เมื่อเขารู้จักชูเหลียงครั้งแรก ชูเหลียงเพิ่งเข้าสู่ขั้นเริ่มต้นของการตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณเพียงเท่านั้น ในเวลานั้น ระดับการฝึกฝนของหลินเป่ยสูงกว่าชูเหลียงเสียด้วยซ้ำ
แต่เพียงไม่กี่วัน ชูเหลียงกลับระยะกลางได้แล้วงั้นหรือ
ถ้าชูเหลียงอยู่อย่างสันโดษเพื่อฝึกฝนมันก็สมเหตุสมผล แต่วันที่พวกเขาอยู่ด้วยกันทํางาน กิน นอน และเรียนในเวลาเดียวกัน เขาจะหาเวลาฝึกฝนมันได้อย่างไร
ชูเหลียงไม่สามารถเปิดเผยได้อย่างแน่นอนว่าเขามีหุ่นหัวโตและบ่มเพาะอย่างหนักตลอดเวลา การบ่มเพาะหนึ่งวันเทียบเท่ากับการบ่มเพาะหลายวัน และนั่นคือเหตุผลว่าเหตุใดเขาจึงมาถึงระยะกลางของการตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณได้เมื่อคืนก่อน
จากนั้นชูเหลียงจึงถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ท่านเคยเห็นเมืองหยานเจียวตอนเช้ามืดหรือไม่ เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเช่นนี้”
“อืมม” หลินเป่ยครุ่นคิด เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขามิได้คุ้นชินทางในเมืองหยานเจียวมากนัก การปล่อยให้ชูเหลียงไปดูเหมือจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดอย่างหลีกเลี่ยงมิได้เลย
"เอาล่ะ พวกเรารีบออกเดินทางกันเถอะ" ชูเหลียงโบกมือและเร่งรัดให้พวกเขาออกไปทันที
...
ในกระท่อมที่มีแสงสลัวนอกเมืองหยานเจียว ซ่งชิงอี้ยืนอยู่ที่มุมห้อง ดวงตาที่สวยงามของเธอเต็มไปด้วยความกลัวและความสิ้นหวัง แต่เธอก็ไม่สามารถพูดอะไรได้
ชายในชุดคลุมสีดํายืนอยู่กลางห้องและวาดบางสิ่งบางอย่างด้วยหมึกผสมโทนสีเลือดแล้วจุดเทียนสีดําทีละเล่ม
ใกล้ประตูพบไก่ดำนอนตายอยู่หลายตัว สภาพร่างของมันมีเลือดสดๆ ไหลออกมา
"ฮ่าๆ ข้าไม่รีบร้อน" ชายในชุดคลุมสีดําหัวเราะคิกคักพลางวาดรูปต่อ
"การจับวิญญาณระดับการตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณนั้นหายากทีเดียว หากข้าสามารถจับจิตวิญญาณของเจ้าและผูกมันไว้ในคัมภีร์วิญญาณของข้า มันก็จะชดเชยการสูญเสียของผีย้อมหนังของข้าได้.. ไม่สิข้าควรจะบอกว่ามันเป็นกำไรที่ยิ่งใหญ่ทีเดียว”
"หากข้าใช้วิธีที่โหดร้ายกว่านี้ ฆ่าเจ้าก่อน แล้วดึงวิญญาณออกมา ข้าจะเก็บพลังวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าไว้ได้กึ่งหนึ่ง”
"แต่หากข้าอดทนอีกเสียหน่อย เตรียมหยินและหยางให้พร้อมสําหรับการชิงวิญญาณ ข้าก็จะสามารถขังวิญญาณของเจ้าไว้ในคัมภีร์วิญญาณและรักษาพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดของเจ้าไว้ได้ ฮ่าๆๆ "
ลมหายใจของซงชิงอี้เกือบจะหยุดแล้ว
เธอรู้ว่าคัมภีร์วิญญาณเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ร้ายกาจที่สุดของพวกสำนักกษัตริย์มืดซึ่งใช้เพื่อปล้นจิตวิญญาณของคนเป็น โดยเฉพาะเพื่อเพิ่มความสามารถในการบ่มเพาะของผู้ใช้ ทุกครั้งที่จับวิญญาณได้ คัมภีร์วิญญาณจะได้รับหน้าเพิ่มอีกหนึ่งหน้า และการบ่มเพาะของเจ้าของมันก็จะดีขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตามวิญญาณที่ถูกจับไปโดยวิธีการนี้ไม่สามารถเข้าสู่วงจรเวียนว่ายตายเกิดได้ พวกเขาจะต้องติดอยู่ในโลกและอดทนต่อความเจ็บปวดไม่รู้จบ
"อีกอย่างเจ้าเป็นพวกขงจื๊อ ข้าไม่เคยเจอใครเหมือนเจ้ามาก่อน..” ชายชุดดำกล่าว
"พวกเขาบอกว่าผู้ฝึกฝนลัทธิขงจื๊อมีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่บริสุทธิ์และโปร่งใสที่สุด พวกเขาสามารถเดินไปมาในเวลากลางวันหลังจากกลายเป็นผีได้”
"ด้วยความงามของเจ้า ข้าสามารถสร้างเจ้าให้เป็นผู้ล่อลวงที่มีเสน่ห์.. ไม่สิ เจ้าเปล่งประกายความสง่างามถึงเพียงนี้ ดังนั้นเจ้าสามารถเป็นผีในภาพวาด คาดเดาไม่ได้ ยากที่จะป้องกัน หรือ..."
"ไม่... ไม่ ขอร้องล่ะ..." ซ่งชิงอี้ดิ้นรนพูดและพยายามดิ้นรนเพื่อหลบหนี
อย่างไรก็ตาม เมื่อหมุดนั้นได้แทงทะลุจิตวิญญาณเธอ เธอสามารถรวบรวมแรงพอที่จะกระตุกนิ้วได้เพียงนิ้วเดียวเท่านนั้น เธอจะรอดพ้นจากเงื้อมมือของปีศาจร้ายนี่ไปได้อย่างไร
เธอมองออกไปข้างนอกอย่างสิ้นหวัง การดิ้นรนครั้งสุดท้ายของเธอคือการใช้กระดาษสีทองเพื่อส่งข้อความ อย่างไรก็ตาม เธอไม่แน่ใจว่าศิษย์ทั้งสองคนของฉูซานจะเข้าใจเจตนาของเธอได้หรือไม่ หรือถ้าพวกเขาเข้าใจ แล้วพวกเขาจะช่วยเหลือเธอได้อย่างไร”
แต่ตอนนี้ ความมืดที่น่ากลัวได้ปกคลุมเธออย่างสมบูรณ์
"ผูกมัดในร่างมนุษย์ อยู่ในนรกตลอดกาล..."
ชายชุดดำยกมือขึ้นดีดนิ้วเบาๆ เขาจุดเทียนดำเล่มสุดท้าย
เมื่อการเตรียมการเสร็จสมบูรณ์ เขาค่อยๆ เริ่มเปิดหนังสือสีดําเล่มหนึ่ง
"ที่รักของข้า โอบกอดชีวิตใหม่ของเจ้าเสียเถิด.." ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความพึงพอใจที่แปลกประหลาดและยิ้มอย่างบ้าคลั่ง "ฮ่าๆๆๆๆ ..."