ตอนที่แล้วบทที่ 27 ผงเห็ดศักดิ์สิทธิ์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 29 ลวดลายศักดิ์สิทธิ์

บทที่ 28 ประทับตราวิญญาณ


อังเกอร์มองเม็ดคริสตัลเวทมนตร์สามร้อยเม็ดในมือ หนึ่งในสามเป็นคริสตัลสีฟ้า เขาสงสัยว่าถึงเวลาที่ควรจะกลับไปที่วิหารสงบจิตแล้วหรือยัง

อังเกอร์ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ที่เขาต้องการคริสตัลเวทมนตร์ก็เพราะมันจะเปิดประตูมิติให้เขากลับไปยังฟาร์มในวิหารสงบจิต ที่ๆ ไร่นาพร้อมให้เพาะปลูกอีกครั้ง ย้อนกลับไปทำการเพาะปลูก ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับโครงกระดูกอย่างเขา

ตามปกติแล้ว เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับอังเกอร์ หากเขายังคงเป็นโครงกระดูกน้อยที่ไร้เดียงสาเหมือนแต่ก่อน แต่เมื่อเขาได้ครอบครองคริสตัลเวทมนตร์ ซึ่งพร้อมให้เดินทางกลับไปได้ทุกเมื่อ กลับรู้สึกลังเลใจขึ้นมา ควรจะกลับวิหารสงบจิตดีหรือไม่นะ

มองไปรอบๆ เห็นมอสเรืองแสงและเห็ดขาวบริสุทธิ์ เสียงซอมบี้น้อยดังเจี๊ยวจ๊าวระงม คิดถึงทุ่งมอสเรืองแสง กับหลุมเพาะปลูกขนาดใหญ่ที่กำลังจะเปิดทำการ อังเกอร์ใช้เวลาแค่สองวินาทีตัดสินใจ ไม่กลับแล้วละกัน

นี่ถือเป็นการตัดสินใจที่ก้าวข้ามสัญชาตญาณของอังเกอร์ แม้จะไม่ส่งผลกระทบมาก แต่มีความหมายอย่างยิ่งยวด

เมื่อตัดสินใจไม่กลับแล้ว อังเกอร์จึงเก็บคริสตัลเวทมนตร์ แต่ลองค้นตัวเองดูแล้วพบว่าไม่มีกระเป๋า งั้นขุดหลุมฝังมันไว้แล้วกัน

ขณะกำลังจะขุดหลุม เนเกริสก็ทนดูต่อไม่ไหวแล้วพูดขึ้น "เจ้ามีเครื่องประดับจารมนตร์ไม่ใช่หรอ ของนั่นชื่อเต็มๆ คือกำไลมิติเวทแบบระบุพิกัด เรียกง่ายๆ ว่ากำไลระบุพิกัด แค่ให้พลังงานนิดหน่อย มันก็ย้ายวัตถุที่มีมวลเท่ากันได้แล้ว คริสตัลเวทมนตร์มีมวลเบามาก เอาใส่เข้าไปได้เลย"

"ใส่เข้าไป?" อังเกอร์เอียงคอสงสัย

เมื่อทำตามขั้นตอนย้อนกลับจากการเคลื่อนย้ายเสบียง ปรากฏว่าคริสตัลเวทมนตร์ถูกใส่เข้าไปจริงๆ เนื่องจากมีมวลเบา พลังงานที่จำเป็นในการย้ายคริสตัลเวทมนตร์สามร้อยเม็ด ยังน้อยกว่าเสบียงหนึ่งในยี่สิบถุงเสียอีก

หากคำนวณตามมวล การใส่ของล้ำค่าเข้าไปถือเป็นเรื่องคุ้มค่าทีเดียว แค่กำไลยังอยู่ ก็ไม่ต้องกลัวของหาย

หลังเก็บคริสตัลเวทมนตร์เรียบร้อย อังเกอร์เรียกเด็กซอมบี้และโครงกระดูกหัววัวมา จูงเทวทูตน้อย เตรียมย้ายไปที่หลุมเพาะปลูกขนาดใหญ่

เนเกริสทนดูไม่ไหว จึงพูดอีกครั้ง "ทำไมไม่ประทับตราวิญญาณให้เทวทูตนี่เลยล่ะ ด้วยความต่างระดับวิญญาณระหว่างเจ้ากับมัน การทำแบบนั้นง่ายมาก ไม่จำเป็นต้องล่ามมันไว้แล้ว"

เทวทูตน้อยในตอนนี้มีรูปลักษณ์ชวนให้สับสนอย่างยิ่ง ตัวเล็กน้อย เหมือนเด็กผู้หญิงน่ารัก แต่กลับถูกล่ามไว้แบบนี้ ใครที่มีใจเมตตาสงสารบ้างก็ทนดูไม่ได้ มีแต่พวกไร้ความรู้สึกอย่างอังเกอร์นี่แหละ ถึงจะมองเป็นเรื่องธรรมดา

"ประทับตราวิญญาณ?" อังเกอร์เอียงคอ "ไม่รู้จักนี่"

"ใช่ๆ รู้ว่าเจ้าไม่รู้ เดี๋ยวข้าสอนเอง ข้านี่เกือบจะเป็นผู้จัดการของนายแล้ว" เนเกริสพูดอย่างเบื่อหน่าย

การประทับตราวิญญาณเป็นทักษะที่ศัตรูที่ตายแล้วฟื้นระดับสูงเกือบทุกตนรู้ นี่คือการสลักตราของตนลงบนวิญญาณของศัตรูที่ตายแล้วฟื้นระดับต่ำ เพื่อควบคุมทุกอย่างของอีกฝ่าย

แต่อังเกอร์ไม่ใช่ศัตรูที่ตายแล้วฟื้นระดับสูงปกติทั่วไป แต่เขาได้ทำให้ใจวิญญาณเข้มแข็งจนถึงระดับโครงกระดูกทองคำ แต่ลูกน้องที่มีสัมพันธ์ทางวิญญาณกลับมีแค่ซอมบี้เด็กตัวเดียว โดยทั่วไปแล้ว ราชาโครงกระดูกทองคำจะมีบริวาลเป็นพันเป็นหมื่นทั้งนั้น

แม้แต่เด็กซอมบี้ที่เป็นเหมือนต้นกล้าต้นเดียว ความเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณของอังเกอร์ก็เกิดขึ้นผ่านเครือข่ายจิตวิญญาณ ไม่ใช่การประทับตราวิญญาณ จึงทำให้อังเกอร์ไม่รู้เลยว่าการประทับตราวิญญาณคืออะไร

หลังรับวิธีการประทับตราวิญญาณจากเนเกริส อังเกอร์ก็คว้าโครงกระดูกนางฟ้ามา แล้วใช้จิตใจกดดันวิญญาณของมัน

ระหว่างศัตรูที่ตายแล้วฟื้นขั้นสูงที่มีหัวใจแห่งวิญญาณ กับโครงกระดูกเทวทูตเกิดใหม่ แม้ร่างของมันจะเป็นซากเทวทูตนักรบ แต่แก่นแท้ยังคงเป็นโครงกระดูกมือใหม่ ไร้ทางที่จะต้านทาน

แต่ดูเหมือนมันจะไม่ขัดขืนด้วย ในตอนที่ถูกแองเจิลคว้าไปนั้นมัรดิ้นอยู่บ้าง แต่พอเห็นว่าเป็นอังเกอร์ก็ไม่ต่อต้านแล้ว ตราจึงถูกประทับลงบนวิญญาณของมันอย่างง่ายดาย

ความเชื่อมโยงในระดับจิตวิญญาณได้ก่อตัวขึ้นระหว่างเกอร์กับโครงกระดูกเทวทูต ความเชื่อมโยงนี้ไม่ต่างอะไรกับซอมบี้เด็ก อังเกอร์เองก็รับรู้ถึงอารมณ์ของมันได้ แล้วสั่งห้ามบางอย่างได้ด้วย

"ห้ามทำร้ายผู้คน" แองเจิลออกคำสั่งให้มัน แล้วแก้เชือกที่มัดมัน การมัดมันไว้ก็เพราะมันดิ้นเกะกะเกินไป หากมีการประทับตราวิญญาณมาควบคุม ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เชือกอีก

อย่างไรก็ตาม โครงกระดูกเทวทูตลูบคอที่ว่างเปล่า พอรู้ว่าตัวเองไม่ถูกมัดแล้ว มันก็กางปีกออกทันที พุ่งเข้าใส่ซอมบี้เด็ก

"ห้ามทำร้ายผู้อื่นไง!" อังเกอร์พูดผ่านจิตวิญญาณ ภายในใจขยับเล็กน้อย โครงกระดูกเทวทูตที่พุ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่งก็ชะงักไปทั้งตัว ล้มลงที่พื้นและแน่นิ่ง แม้แต่ปลายนิ้วก็ขยับไม่ได้

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงมีศาสนสถานของมารรวบรวมความศรัทธา แต่ราชามารกลับไม่ค่อยให้ความสำคัญ เพราะพระราชามีวิธีควบคุมที่มีประสิทธิภาพกว่า เครือข่ายจิตวิญญาณมีประสิทธิภาพมากกว่าพลังศรัทธา

'ไม่ใช่คน...' แองเจิลกลับรับรู้ได้ถึงความหมายนี้จากอารมณ์ของโครงกระดูกเทวทูต

ก็มีเหตุผลนะ ซอมบี้เด็กนั่นไม่ใช่ 'คน' จริงๆ ดังนั้นก็ทำร้ายได้...

"ไม่ได้..." อังเกอร์กำลังจะเสริมให้ครอบคลุมช่องโหว่นี้ แต่ใครจะไปรู้ว่าซอมบี้เด็กกลับขยับตัวแทน มันชกหมัดเข้าที่แก้มของโครงกระดูกเทวทูต ทำให้ใบหน้าเล็กขาวสะอาดนั่นมีรอยหมัด

เป็นครั้งแรกที่อังเกอร์รู้สึกเซ็ง เขาคลายการควบคุมโครงกระดูกเทวทูต ปล่อยให้ทั้งสองตะลุมบอนกัน ไม่ยุ่งแล้ว

ระหว่างซอมบี้น้อยที่เพิ่งเกิดใหม่กับโครงกระดูกเกิดใหม่ ตนหนึ่งผิวหนาเนื้อแน่น ตนหนึ่งมีชั้นผิวหนังหุ้ม ตนหนึ่งเร็วปราดเปรียว ตนหนึ่งกระฉับกระเฉง ฝ่ายไหนก็ทำอะไรกันไม่ได้ พอตีกันไปครึ่งทาง พวกมันเห็นอังเกอร์เดินจากไป ก็รีบหยุดมือแล้วตามไป

โครงกระดูกหัววัวงงๆ มองสักพัก แล้วเดินตามไปด้วย

ครอบครัวอาม่าหัววัวรีบแบกถังน้ำตามไป เห็ดศักดิ์สิทธิ์รอบๆ ศาสนสถานมีปลูกอยู่เสมอ พวกมันต้องการน้ำศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างจำนวนมากในการรดน้ำ ครอบครัวอาม่าหัววัวมีหน้าที่ตักน้ำที่อังเกอร์ชำระแล้วกลับมาทุกวัน

น้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นกุญแจสำคัญในการเพาะปลูกเห็ดศักดิ์สิทธิ์ หากไม่ใช้น้ำที่ผ่านการชำระล้างแล้ว เห็ดศักดิ์สิทธิ์จะเน่าเสียอย่างรวดเร็ว

...

ขณะนี้ แคลก ภูตแคระ กำลังจ้องมองเห็ดศักดิ์สิทธิ์ที่หามาได้อย่างยากลำบาก ค่อยๆ ผุพังไป โดยเขาไม่มีหนทางแก้ไขเลย

ในฐานะภูตแคระผู้เชี่ยวชาญที่สุดของคุกใต้ดิน เมื่อแคลกเห็นเห็ดศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นพืชมีค่าสูง เขาย่อมไม่อยากปล่อยให้หลุดมือไป จึงขอร้องฟิลินให้นำเห็ดศักดิ์สิทธิ์มาให้เขาสักดอก คิดไม่ถึงเลยว่าหลังรดน้ำไปสองครั้ง มันจะกลายเป็นแบบนี้

"ไม่ใช่ว่าเงินทองจะหาได้ง่ายๆ หรอกนะ ถ้าหาได้ง่ายจริงๆ ของพวกนี้คงไม่แพงขนาดนี้หรอก" แคลกเกาหัว

เขาเห็นอังเกอร์ทำผงเห็ดศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้สิบปอนด์ในครึ่งเดือน ยังรู้สึกว่าค่อนข้างง่าย ตอนนี้ต้องยอมรับแล้วว่า สิ่งนี้ง่ายสำหรับบางคนก็จริง แต่สำหรับบางคนแล้ว ยากยิ่งกว่าปีนขึ้นฟ้าเลยทีเดียว

"ต้องคิดหาวิธีให้ท่านฟิลินเอามาให้มากขึ้น สิ่งนี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่รักษาโรคพื้นฐานได้ ถ้ามีมัน โรคเล็กๆ น้อยๆ จะได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มแรก ก็จะไม่ลุกลามกลายเป็นโรคร้าย แล้วต้องทุกข์ทรมานจนตายไป เฮ้อ" แคลกถอนหายใจแล้วหันไปมองกล่องที่มุมห้อง ในกล่องบรรจุโครงกระดูกของลูกชายเขาไว้

เช่นเดียวกับครอบครัวอาม่าหัววัวที่เอากะโหลกบรรพบุรุษแขวนไว้บนผนังในบ้าน สำหรับดันเจี้ยนที่มีความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย การเก็บร่างของคนที่รักไว้ที่บ้านถือเป็นเรื่องปกติมาก ลูกชายของแคลกก็ตายเพราะโรคปอดบวมที่พัฒนามาจากไข้หวัดธรรมดา

หากตอนนั้นมีผงเห็ดศักดิ์สิทธิ์ ไข้หวัดน้อยๆ ก็จะถูกกำจัดไป ไม่พัฒนากลายเป็นปอดบวม

คิดแล้วก็ลงมือ แคลกคลี่ม้วนกระดาษแกะไว้ เขียนจดหมายลงไป ก่อนหันไปส่งให้ฟิลิน ให้เขาอนุมัติ

30 คริสตัลมนตรา ต่อ 1 ปอนด์ ยังคงแพงเกินไป แต่ช่างมันเถอะ การหาเงินเป็นหน้าที่ของฟิลินและอายส์เค ขอแค่ซื้อผงเห็ดศักดิ์สิทธิ์ได้ก็พอ

...

อายส์เคผู้ที่ไม่รู้เลยว่ากำลังถูกวางแผนอยู่ จามออกมาคำหนึ่ง เขาขยี้จมูกแล้วถามอังเกอร์ว่า "อยากให้ข้าสร้างวงเวทส่องสว่างให้ท่านไหมขอรับ"

วงเวทมนตร์ส่องสว่างเป็นเครื่องมือจำเป็นสำหรับพื้นที่ปลูกพืช แสงใต้ดินยังคงต่ำเกินไป ตอนนี้มีมอสเรืองแสงมาช่วยเพิ่มแหล่งกำเนิดแสง แต่วงเวทส่องสว่างพลังสูงก็ยังคงใช้เสริมแสงในช่วงเวลาที่จำเป็นได้ เช่น ช่วงผสมเกสร หรือช่วงเติมเมล็ด เป็นต้น

อังเกอร์สนใจทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการปลูกพืช เมื่อได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า ขณะนั้นฟิลินไม่ได้อยู่ด้วย ไม่มีใครแปลให้เขา อังเกอร์จึงสวมหมวกมนุษย์ฟางเพื่อเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ และพูดว่า "เท่าไหร่หรอ"

เมื่อเห็นโครงกระดูกตรงหน้ากลายเป็นมนุษย์ผู้ชายที่ดูสมจริงขนาดนี้ อายส์เคขยี้ตา สีหน้าตกใจราวกับเห็นผี "นี่...นี่เป็นภาพลวงตาเหรอ ทำไมชัดขนาดนี้ได้ ข้า...ข้า..."

อายส์เคยกมือขึ้นสองสามครั้งด้วยสัญชาตญาณ เขาอยากใช้มนตร์ทำลายภาพลวงตาทุกแบบยิงใส่ไป แต่อึดใจเดียวก็รู้สึกตัว รีบข่มความรู้สึกอยากทำแบบนั้น

หลังปรับอารมณ์ได้แล้ว อายส์เคจึงพูดว่า "เรื่องเงินไม่เป็นไร จริงๆ แล้วมันเป็นวงเวทง่ายๆ ปัญหาหลักคือต้องเติมพลังให้มันจึงจะทำงานได้ ส่วนการจัดวางไม่ยุ่งยากเท่าไหร่..."

พูดถึงตรงนี้ อายส์เคนึกถึงสิ่งที่ฟิลินเคยสั่งไว้ได้ จึงรีบเสริมว่า "เอ่อ... ต้องมีการแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมสินะ ข้าคำนวณดูแล้ว ขอแค่ 30 ปอนด์ธัญพืชก็พอ ได้ไหมขอรับ"

30 ปอนด์ธัญพืช สำหรับการให้จารึกวงเวทจากนักมนตร์ระดับกลาง ถ้าเทียบกับในโลกมนุษย์แล้วถือว่าดูแคลนมาก แต่อายส์เคกลับรู้สึกเขินอายเล็กน้อย คิดว่าตัวเองขอมากไป เพราะที่นี่ไม่ใช่โลกมนุษย์ แต่เป็นดันเจี้ยนที่ขาดแคลนอาหารจนต้องกินหญ้ากัน

30 ปอนด์เหรอ แบ่งไม่ลงตัวนะ ถุงหนึ่งมี 20 ปอนด์ สองถุงก็ 40 ปอนด์แล้ว "งั้น 40 ปอนด์ละกัน" อังเกอร์พูดพลางส่งธัญพืชสองถุงให้เขา

ยังขึ้นราคาอีกเหรอ จริงๆ แล้ว ในฐานะผู้ดูแลดันเจี้ยน อายส์เคไม่ถึงกับอดอยาก แต่ยิ่งมีเสบียงมาก ก็ยิ่งอุ่นใจมาก โดยเฉพาะเขารู้ดีว่าในสถานการณ์แบบนี้ ฟิลินเตรียมพร้อมที่จะปลุกฟื้นหายนะอสูรกายไร้ชีวิตเต็มทีแล้ว

แต่พอคิดได้ เขาก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างเก้อเขิน "ไม่ทราบว่าท่านมีบีทรูทไหมขอรับ ถ้ามี เราเอาธัญพืชพวกนี้ไปแลกเป็นบีทรูทแทนได้ไหมขอรับ"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด