บทที่ 216 คงไม่คิดว่าจะพบเราที่นี่ซินะ!
“ถูกต้อง เรื่องนี้เพิ่งได้รับการตัดสินพระทัยจากองค์จักรพรรดิ มีเพียงไม่กี่คนที่ทราบเรื่องนี้”
“อันที่จริง เราหมายจะแจ้งให้พวกเจ้าทราบในอีกสองวัน แต่หลังข้าใคร่ครวญดูแล้วเมื่อครู่ จะเป็นการดีที่สุดหากบอกแก่พวกเจ้าไว้ก่อน จะได้มีเวลาหมั่นเพียรเตรียมกำลัง” ไฉ่ห่าวเผยยิ้มเจ้าเล่ห์
ครั้นเติ้งอี้ชุนได้ยินสิ่งนี้ แววตามาดมั่นพลันทอประกาย
ขณะการเดินทางดำเนินต่อไป ค่ำคืนก็ค่อยๆ มาเยือนอย่างเชื่องช้า
คณะเดินทางของหยางเสี่ยวเทียนเริ่มหยุด เพราะเมื่อพิจารณาถึงระยะทางที่ยังอีกยาวนานพร้อมบิดามารดาและคนอื่นๆ แล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจพักผ่อน ณ ที่แห่งนี้ก่อนเดินทางต่อวันพรุ่งนี้
เมื่อกองไฟถูกจุดขึ้น ทุกคนก็มาร่วมนั่งล้อมวงกินดื่มกันตามปกติ ก่อนหยางเฉาจะเดินเข้ามานั่งลงข้างหยางเสี่ยวเทียน
เขานั่งนิ่งแต่ทำตัวเก้ๆ กังๆ ราวอยากกล่าวสิ่งใดกับบุตรชาย ก่อนสักพักจะตัดสินใจเอ่ยขึ้น “เสี่ยวเทียน คนนั้นในตอนกลางวัน เป็นถึงเจ้าสำนักไฉ่ห่าวจากสำนักยวินฮุย มันจะดีหรือหากเจ้าไม่รับคำเชื้อเชิญจากเขาตอนนั้น”
หยางเสี่ยวเทียนยิ้มและกล่าวว่า “เมื่อเราจะกระทำสิ่งใด เราเพียงต้องทำตามหัวใจ แต่หากเราไม่ต้องการ ก็ไม่จำเป็นต้องทำ และไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องอื่นใด”
หยางเฉาประหลาดใจ มองดูบุตรชายตัวน้อยผู้อยู่ตรงหน้า หากเขาไม่เห็นว่าหยางเสี่ยวเทียนยังเป็นเด็ก เขาคงคิดว่านี้คือวาจาที่กล่าวออกจากปากชายหนุ่มผู้ปราดเปรื่อง
เมื่อผู้เป็นบิดา มองดูใบหน้าของบุตรชายที่สว่างไสวด้วยแสงจากเปลวไฟที่ถูกก่อขึ้น หยางเฉาจึงพยักหน้าและกล่าวด้วยความปีติสุข
“ขอบคุณที่ทำให้พ่อผู้มีชีวิตอยู่มาหลายปีของเจ้า มีความพิเศษและสามารถมองเห็นสิ่งใหม่ในพิภพนี้ได้ชัดเจนขึ้น”
สองพ่อลูกเผยยิ้มให้กัน ก่อนทั้งคู่จะหันมาสนใจของเนื้อย่างที่อยู่หน้ากองไฟ ทั้งสองสนทนากันอย่างสำราญ ขณะจิตใจของหยางเฉาเต็มเปี่ยมด้วยความปีติสุขที่สุด ครั้นพบว่าบุตรชายตน ไม่ใช้เด็กน้อยที่เขาคอยเป็นห่วงแลกังวลเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ในเวลานี้เอง คณะเดินทางของไฉ่ห่าวและคนอื่นๆ จากสำนักยวินฮุยก็ติดตามมา เพียงพวกเขาไม่ได้ตัดสินใจหยุดพัก
เนื่องจากถนนสู่เมืองหลวงมีเพียงสองสาย จึงเป็นเรื่องปกติที่จะเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
ซึ่งหลังไฉ่ห่าวเห็นหยางเสี่ยวเทียนอีกครั้ง สีหน้าเขาก็ค่อนข้างผิดธรรมชาติ แต่ยังทันเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มทักทายหยางเสี่ยวเทียนพร้อมค่อยๆ เคลื่อนขบวนจากไป
วันรุ่งขึ้น หยางเสี่ยวเทียนและคนอื่นๆ ก็พร้อมเดินทางมุ่งหน้าต่อไปยังจุดหมาย ก่อนช่วงบ่ายจะถึงเมืองหลวงในที่สุด
ทุกคนต่างมองออกไปจดจ้องยังกำแพงเมืองหลวงเบื้องหน้าที่อยู่ห่างอีกไม่ไกล ระหว่างมีผู้คนเดินเคลื่อนเข้าออกสวนกันอย่างขวักไขว่
หยางเฉาเงยหน้ามองดูกำแพงเมืองหลวงตรงหน้า ที่ยิ่งย่างกรายเข้าใกล้มันยิ่งดูใหญ่โตมโหฬาร สมดั่งเป็นอาณาจักรเสินไห่อันมั่งคั่ง กระทั่งในใจเขาพานรู้สึกตื่นเต้น ด้วยเคยใฝ่ฝันอยากมาที่แห่งนี้อยู่นับครั้งไม่ถ้วน และในที่สุด วันนี้ก็สำเร็จ
หวงอิ๋งก็มีอากัปกิริยาเช่นเดียวกับผู้เป็นสามี ที่ตื่นตาเพราะความยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน
ไม่ว่าจะคนอาณาจักรไหน ล้วนต้องรู้สึกตื่นตาแตกต่างกันไปครั้นได้พบเจอกับสถานที่แปลกใหม่ซึ่งต่างจากที่เคยอาศัยอยู่ทุกวันจนคุ้นตา
หลังแหวกฝูงชนเข้ามาถึงเมืองหลวงจนสำเร็จ หยางเสี่ยวเทียนจึงขอให้หลัวชิงและเลี่ยวคุนหาร้านอาหาร เพราะมื้อเที่ยงทุกคนยังไม่ได้พักกินสิ่งใดเนื่องจากหวังให้ถึงที่นี่ก่อนค่ำ
และครั้นพิจารณาจากกลุ่มคนที่พลุกพล่านตามท้องถนนแลร้านอาหารอื่นๆ ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนแล้ว เขาจึงตัดสินใจให้ทุกคนเติมกำลังลงท้องก่อน ค่อยหาที่พักสำหรับคืนนี้
แต่หลังจากนั้นไม่นาน หลัวชิงกับเลี่ยวคุนก็กลับมาแจ้งว่าร้านอาหารล้วนเต็มทุกร้าน
เพราะการแข่งขันระดับสำนักใกล้มาถึง ร้านอาหารและโรงเตี๊ยมทั้งหมดจึงอัดแน่นไปด้วยผู้คนจากสำนักพร้อมเหล่าวิญญาจารย์ของตระกูลน้อยใหญ่ ผู้มารอเข้าร่วมก่อนล่วงหน้าพวกเขาหลายวัน
“ถ้าเช่นนั้น เราไปตั้งหลักกันที่สาขารองของสำนักเสินเจี้ยนก่อนเถอะ” หยางเสี่ยวเทียนคิดอยู่พักหนึ่งแล้วกล่าวขึ้น
สำนักเสินเจี้ยนสาขารองในเมืองหลวง มีลานแยกต่างหากเพียงแต่ลานไม่กว้างใหญ่มากนัก ดังนั้น ทุกคนจึงทำได้แค่ต้องหาที่นั่งพักเบียดเสียดกันอยู่เป็นกลุ่มเท่านั้น
ระหว่างที่ทุกคนกำลังมุ่งหน้าไปยังสาขารองของสำนักเสินเจี้ยน และผ่านถนนที่พลุกพล่านด้วยผู้คนจำนวนมาก
ฝีเท้าหลัวชิง เลี่ยวคุนและจางจิงหรงก็พลันหยุดชะงัก ก่อนสีหน้าเปลี่ยนเป็นโกรธแค้น ครั้นประสบเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้ามายังพวกเรา
กลุ่มคนที่กำลังมุ่งมาจากด้านหน้าก็หยุดเช่นกัน ซึ่งเมื่อพวกมันปรากฏเห็นหลัวชิงและเลี่ยวคุน พวกมันก็ต่างแสดงเจตนาฆ่าในสายตา
“นายน้อย สำนักถัวหลัว” หลัวชิงกล่าวกับหยางเสี่ยวเทียน
คนจากสำนักถัวหลัวงั้นหรือ หยางเสี่ยวเทียนมองยังกลุ่มคนกว่าห้าสิบหรือหกสิบตรงหน้าเขา
ถึงมิอาจทราบได้ ว่าสำนักถัวหลัวมาเข้าร่วมการแข่งขันระดับสำนักครั้งนี้ หรือมาที่อาณาจักรเสินไห่ เพื่อไล่ล่าหาตัวหลัวชิง เลี่ยวคุนและคนอื่นๆ กันแน่ แต่ก็นับว่ามาได้ประจวบเหมาะ
ซึ่งการคาดเดาของหยางเสี่ยวเทียนไม่ผิด ที่คิดว่าอีกฝ่ายกำลังไล่ล่าตามตัวหลัวชิง เลี่ยวคุนพร้อมคนอื่นๆ
เพราะหลังจากพวกมันสืบเสาะหาตัวหลัวชิง เลี่ยวคุน และคนอื่นๆ อยู่นาน ซึ่งคาดเดาว่าทั้งหกกำลังซ่อนตัวอยู่ในอาณาจักรเสินไห่ จึงใช้การแข่งขันระดับสำนักที่เมืองหลวง สืบหาดูว่าจะพบหลัวชิง เลี่ยวคุน และคนอื่น ๆ ได้หรือไม่
หลินเทา รองหัวหน้าศิษย์จากสำนักถัวหลัว จ้องมองยังหลัวชิงพร้อมคนอื่นๆ ก่อนเปิดปากเยาะเย้ย “หลัวชิง เจ้าคงไม่คิดว่าจะพบเราที่นี่ซินะ ครั้งที่แล้วเจ้าหนีไปได้ แต่คราวนี้ ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะหนีไปได้อย่างไร”
กล่าวจบ หลินเทาก็เหลือบมองหยางเสี่ยวเทียนพร้อมพูดเหยียดหยามขึ้นอีก “หึ หึ หึ เจ้าเป็นถึงท่านเจ้าสำนัก แต่กลับเป็นทาสของคุณชายน้อยคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
หยางเสี่ยวเทียนช้อนตามองหลินเทา “เช่นนั้น เป็นเจ้าซินะ โจรปล้นสมุนไพรที่ข้าขอให้หลัวชิงและคนอื่นๆ ซื้อกลับมา”
หลินเทาได้ยินน้ำเสียงไร้ความกรุณาจากหยางเสี่ยวเทียน เสียงหัวเราะก็พลันระเบิดดังทันที
“ใช่เจ้าหนู เราปล้นเจ้า ทำไมหรือ เจ้าต้องการสมุนไพรคืนงั้นรึ แต่ข้าต้องขออภัยด้วยนะ เพราะเราใช้สมุนไพรเจ้าหมดแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
วิญญาจารย์ของสำนักถัวหลัวหัวเราะเสียงดังจนตัวโยน