บทที่ 214 วิญญาจารย์จากสำนักยวินฮุย
หลังจากที่ ผู้อาวุโสทั้งห้า หลินหยงกลับเฉินหยวนกลับไปแล้ว
หยางเสี่ยวเทียนก็ได้เรียกอูฉีและหลัวชิงมาพบ แล้วบอกให้พวกเขาเตรียมตัวออกเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงในวันพรุ่งนี้
การแข่งขันระดับสำนักนั้นเหลือเวลาเพียงอีกไม่กี่วัน และบรรดาศิษย์ของสำนักและตระกูลอื่นก็ต่างทยอยเริ่มเดินทางกันแล้ว
จากนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็ไปยังเรือนของบิดามารดาเขา และบอกกล่าวเกี่ยวกับเรื่องการเดินทางไปเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้
ครั้นกลับจากแจ้งเรื่องกับบิดามารดา ระหว่างที่เดินผ่านเรือนของเจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทอง เขาก็เห็นเสี่ยวจิน ยืนสองขาถือลูกกวาดอันใหญ่ในมือ แล้วเลียมันอย่างสำราญใจอยู่ในเรือน
เมื่อเห็นภาพนี้ หยางเสี่ยวเทียนก็ถึงกับเหงื่อตกพร้อมแสดงรอยยิ้มแห้งๆ เลยทีเดียว
เนื่องจากหยางหลิงเอ๋อร์มาที่นี่เมื่อสองเดือนก่อน นางได้ถ่ายทอดความชอบของนางให้กับหนุ่มน้อยเสี่ยวจิน โดยการพาเสี่ยวจินเที่ยวรอบเมืองเสินเจี้ยน สอนให้เขารู้จักเพลิดเพลินกับความเอร็ดอร่อยของขนมและของหวาน
ทำให้ตอนนี้ เสี่ยวจินยืนเลียลูกกวาดด้วยใบหน้าท่าทางสำราญยิ่งนัก ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดทำให้เขามีความสุขมากเท่านี้อีกแล้ว
“นายน้อย” เมื่อเห็น หยางเสี่ยวเทียนยืนอยู่หน้าเรือนด้วยสีหน้าแปลกๆ ชอบกล เสี่ยวจินก็รีบวิ่งออกจากเรือนตนไปหาเขาในทันที
หลังจากผ่านไปไม่กี่เดือน วาจาของเสี่ยวจินนั้นคล่องแคล่วมากกว่าเดิม ไม่หลงเหลือภาษาอันติดขัดอีก ตอนนี้เขาพูดอย่างฉะฉานราวกับมนุษย์ทั่วไป
“ไม่ต้องรีบร้อน เจ้าฝึกฝนฝ่ามือมหาเมตตาไปถึงไหนแล้ว” หยางเสี่ยวเทียนถามเสี่ยวจินด้วยรอยยิ้ม
เสี่ยวจินนั้นมีความสามารถในการเรียนรู้ไม่ธรรมดา เขาใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก่อนหน้า ฝึกฝนวรยุทธหมัดและฝ่ามือไปมิใช่น้อย
และสิ่งที่เขาฝึกฝนล่าสุดนั้น คือเคล็ดวิชาฝ่ามือมหาเมตตา
เสี่ยวจินพยักหน้าแล้วกล่าวอย่างหนักแน่น “นายน้อย ข้าได้ฝึกปรือเคล็ดวิชาฝ่ามือมหาเมตตาจนบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้วขอรับ”
ทันทีที่ได้ยินการรายงานของเสี่ยวจินเมื่อครู่ สีหน้าหยางเสี่ยวเทียนก็แสดงออกถึงความประหลาดใจ
เพราะสิบวันก่อน เขาเพิ่งมอบเคล็ดวิชาฝ่ามือมหาเมตตาซึ่งเป็นวรยุทธชั้นยอดขั้นเซียนสวรรค์ให้กับเสี่ยวจิน แต่เสี่ยวจินใช้เวลาเพียงเท่านี้ ก็สามารถฝึกฝนจนมันบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบได้แล้วงั้นหรือ
“นายน้อย พวกเราจะต้องเดินทางไปยังเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้ใช่หรือไม่” เสี่ยวจินรีบเอ่ยถาม
ก่อนที่แววตาเขาจะเป็นประกายแล้วถามอีกครั้งว่า “นายน้อย เมืองหลวงมีขนมมากมายใช่หรือไม่”
หยางเสี่ยวเทียนสะดุ้งเล็กน้อยหลังได้ยินคำถามที่สอง เขาจึงยิ้มอย่างเอ็นดูแล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล ในเมืองหลวงนั้นมีลูกกวาดเอร็ดอร่อยมากมายให้เจ้าอย่างแน่นอน”
ตอนนี้ เจ้าเสี่ยวจินน้อยมิได้แตกต่างอันใดกับหลิงเอ๋อร์ เพราะทั้งสองนั้นล้วนชมชอบในขนมเฉกเช่นเดียวกัน
“แต่การกินลูกกวาดนั้นมันไม่ดีต่อฟันเจ้า และหากกินมากเกินไปมันจะทำให้เจ้าอ้วน” หยางเสี่ยวเทียนด้วยน้ำเสียงประหนึ่งตักเตือน
เสี่ยวจินได้ฟังเช่นนั้น จึงแย้มยิ้มกล่าวว่า “นายน้อยไม่ต้องห่วง ฟันของข้านั้นยังแหลมคมราวกับใบมีด และอีกอย่าง ต่อให้ข้ากินลูกกวาดมากเท่าไหร่ ข้าก็ไม่มีทางอ้วน”
สิ่งที่เขากล่าวเมื่อครู่นั้นล้วนเป็นความจริง ด้วยการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องตลอดมา ร่างกายของเขานั้นยังคงแข็งแกร่ง และส่วนรูปร่างของเขานั้นก็มิแตกต่างจากครั้งแรกที่พบกับหยางเสี่ยวเทียนแม้แต่น้อย
หลังจากสนทนากันไปได้สักพัก หยางเสี่ยวเทียนก็หันหน้ากลับไปยังเรือนของตน
ไม่นานนักหยางเสี่ยวเทียนก็กลับมาถึงห้อง จากนั้นเขาก็ขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงหยกเย็นแล้วบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่ม
ขณะเดียวกันวิญญาณยุทธ์เสวียนอู่และมังกรดำก็ปรากฏขึ้นมาอยู่เหนือศีรษะ แล้วดูดกลืนพลังวิญญาณของสวรรค์และโลก
หลังจากทะลวงเข้าสู่ขั้นราชันยุทธ์ วิญญาณยุทธ์เสวียนอู่และมังกรดำก็มีรูปลักษณ์เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
โดยร่างของวิญญาณยุทธ์เสวียนอู่ บนกระดองของมันมีลวดลายอักษรรูนปรากฏขึ้นเด่นชัดกว่าเมื่อก่อนมากในตอนนี้ หากมองดูจากระยะไกล มันมิแตกต่างอันใดจากดินแดนสีดำที่เต็มไปด้วยความลึกลับพิศวง
ส่วนวิญญาณยุทธ์มังกรดำ ขาของมันมีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมด้วยกรงเล็บอันแหลมคม และดวงตาของมันก็เปล่งประกายแสงสีทองอันเจิดจรัส ดุจเดียวกับลูกไฟสีทองมิมีผิด
นี่เป็นครั้งแรก ที่หยางเสี่ยวเทียนได้เห็นวิญญาณยุทธ์มังกรดำของเขา มีนัยน์ตาที่เปล่งประกายแสงสีทองราวกับเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงเช่นนี้
เขามองดูมันอย่างชัดถนัดตาด้วยความตกตะลึงอยู่ครู่ แต่มิได้ปริปากกล่าวสิ่งใด เขาเพียงนั่งบ่มเพาะต่อไปตลอดทั้งคืน
ครั้นรุ่งสาง หยางเสี่ยวเทียนพร้อมทั้งคนอื่นๆ ก็เริ่มออกเดินทางแต่เช้าตรู่
ครั้งนี้ หยางเสี่ยวเทียนพาคนของเขาติดตามไปด้วยมากมาย นั่นรวมทั้งบิดามารดา เสี่ยวจิน อูฉีพร้อมด้วยบรรดาลูกศิษย์ อัต อาลี่ หลัวชิง เลี่ยวคุนและจางจิงหรง
การเดินทางในครั้งนี้ รวมทั้งสิ้นสิบเจ็ดคน
ก่อนหน้านั้น หยางเสี่ยวเทียนได้พินิจเรื่องการเดินทางเอาไว้ และได้ตระหนักถึงความไม่สะดวกสบายของบิดามารดา เขาจึงได้ซื้อรถม้าหรูพร้อมทั้งม้าแกร่งอีกนับสิบตัว
ม้าทุกตัวล้วนเป็นม้าชั้นยอด ซึ่งพวกมันสามารถวิ่งได้ไกลนับพันลี้
แม้นกระนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็ยังไม่พอใจกับม้าที่เขากำลังควบอยู่ เพราะในทุกๆ วันเขาล้วนเอาแต่ฝึกฝนอย่างหนักโดยมิได้ออกจากเมืองเสินเจี้ยน จึงยังไม่ได้ไปที่ป่าพระจันทร์แดงเพื่อฝึกฝนสัตว์อสูรเอามาใช้เป็นสัตว์พาหนะ
เขาไตร่ตรองอยู่ครู่ จึงคิดว่าหลังการแข่งขันจบลง น่าจะยังพอมีเวลาเหลืออยู่ ช่วงนั้น เขาถึงจะเดินทางไปจับสัตว์อสูรในป่าพระจันทร์แดงเสียก่อน ฝึกสัตว์อสูรสองตัวให้เชื่องแล้วนำมันกลับมา
ครั้นหยางเสี่ยวเทียนนึกถึงสิ่งนี้ มันก็ทำให้เขาต้องหัวเราะจนแข้งขาอ่อนแรงนั่นคือ เสี่ยวจินกำลังควบม้ามังกรให้วิ่งไปข้างหน้า
เสี่ยวจินที่เป็นสัตว์วิญญาณ กำลังนั่งคร่อมอยู่บนหลังม้ามังกรที่เป็นสัตว์อสูร นี่เป็นภาพแปลกตาที่สุดที่เขาเคยเห็นมาในชีวิต
จากนั้น กลุ่มของพวกเขาก็เดินทางต่อไป
แต่ขณะเดินทางผ่านถนนสายหนึ่งที่เป็นสามแยกในหุบเขา ก็ได้พบเข้ากับกลุ่มวิญญาจารย์จากสำนักยวินฮุย
ซึ่งผู้นำคือไฉ่ห่าวเจ้าสำนักสำนักยวินฮุย พร้อมกับหลัวจวิ้นเผิงรองเจ้าสำนัก
ที่ตามอยู่ด้านหลังหลัวจวิ้นเผิงคือเติ้งอี้ชุนและบรรดาศิษย์ของสำนักยวินฮุย พวกเขามีกันร่วมร้อยคนเห็นจะได้
ดูท่าแล้ว พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นศิษย์ฝ่ายในของสำนักยวินฮุย ที่มาเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันระดับสำนักของอาณาจักรเสินไห่