บทที่ 183 ชีวิตประจำวัน
ตั้งแต่ฉินชิงรบเร้าเหลียงอี้ให้เขาอนุญาตให้ตนไปฝึกดาบที่สนามฝึกซ้อมทางเหนือของวังหลวงได้แล้วเมื่อวานนี้ ฉินชิงก็วางแผนที่จะกลับไปฝึกเองที่นั่นทุกวัน
วันนี้ตอนบ่ายฉินชิงวางแผนที่จะไปฝึกทักษะดาบลั่วอิงที่สนามฝึกซ้อมทางเหนือของวังหลวงหลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว
ขณะที่ฉินชิงคิดจะกินข้าว หลานเย่ในตำหนักใหญ่นางกำนัลข้างกายฮองเฮาก็มาที่ตำหนักจงชุ่ยแล้วรายงานฉินชิงว่า
“ชูเจาอี๋เหนียงเหนียง เหนียงเหนียงของพวกเราเชิญท่านไปที่ตำหนักคุนหนิง บอกว่าเรื่องเมื่อวันก่อนมีความคืบหน้าแล้ว ขอให้ท่านไปที่ตำหนักคุนหนิงในยามเซินเพคะ”
“ในเมื่อเป็นพระประสงค์ของฮองเฮา เช่นนั้นก็กลับไปทูลฮองเฮาว่าข้าจะไปตรงตามเวลาแน่นอน”
“เช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลาเพคะ”
ในเมื่อฮองเฮาขอให้ตนเดินทางไปที่ตำหนักคุนหนิง ก็คงไปที่สนามฝึกซ้อมไม่ได้ ฉินชิงคิดไปคิดมาจึงใช้เวลาที่รอมาวาดรูปดีกว่า ซึ่งตนเองเหมือนไม่ได้วาดรูปมานานแล้ว
เมื่อก่อนระดับการวาดภาพของตัวเองค่อนข้างแย่ แต่เมื่อเหลียงอี้ควบคุมอย่างเข้มงวด และยังตรวจสอบทุกวัน ตั้งแต่ระดับการวาดภาพของฉินชิงเพิ่มขึ้นถึงระดับหนึ่งแล้ว เหลียงอี้ทำให้นางได้รู้แจ้งแล้ว
ไม่ต้องส่งการบ้าน ฉินชิงจึงไม่มีความรู้สึกกระตือรือร้น ดังนั้นจึงเริ่มวาดรูปน้อยลง สำหรับเรื่องการวาดภาพ แม้ว่าฉินชิงจะวาดไปมากขนาดนั้น แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ชอบขนาดนั้น
และด้วยเหตุนี้ ฉินชิงก็พบว่าตนวาดภาพมานานมาก นึกถึงวรยุทธ์ของตนที่ถ้าไม่ฝึกฝนสักพัก ระดับก็จะลดลง
เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ ทักษะการวาดภาพ แม้ว่าฉินชิงจะไม่ค่อยชอบนัก แต่อย่างน้อยก็ฝึกฝนมานานขนาดนี้แล้ว นางก็ไม่อยากให้การฝึกฝนของตัวเองเสียเปล่า
ดังนั้นฉินชิงจึงคิดจะหาเวลาฝึกทักษะการวาดภาพทุกๆ สองสามวันตามพื้นฐานของการฝึกวรยุทธ์ ถ้าวันหนึ่งเหลียงอี้อยากตรวจสอบทักษะการวาดภาพของตนขึ้นมา แล้วกลายเป็นว่านางทำออกมาไม่ได้ แบบนั้นก็คงไม่ดีแล้ว
เมื่อฉินชิงคิดได้เช่นนั้น จู่ ๆ ก็พบว่าตัวเองมีทักษะมากมายที่ดูเหมือนจะไม่ได้ใช้มานานแล้ว
กู่เจิงสิ่งที่ตัวเองถนัดก็ไม่ได้เล่นมานานแล้ว เจิงของนางคงฝุ่นเกาะไปนานแล้ว
ฉินชิงคิดเช่นนี้ ถ้าเกิดหยินผิงรู้ต้องพูดกับฉินชิงว่า
“กู่เจิงของเหนียงเหนียง บ่าวดูแลให้เป็นอย่างดี ห่อด้วยผ้าไหมแล้วเก็บไว้ในกล่อง จะมีฝุ่นได้อย่างไรเพคะ”
แต่ถึงอย่างนั้นหยินผิงก็ไม่ใช่พยาธิตัวกลมในท้องของฉินชิง นางไม่มีทางรู้ว่าฉินชิงคิดอะไร ตอนนี้อีกฝ่ายยังเตรียมอาหารเที่ยงของฉินชิงอยู่ข้างนอกอยู่เลย
ฉินชิงคิดว่าตนไม่ควรปล่อยให้กู่เจิงของตัวเองต้องมีฝุ่นเกาะ พยายามใช้มันให้สมกับราคาจะดีกว่า จึงคิดว่าตนควรจะบรรเลงสักสองสามเพลงเพื่อกล่อมเกลาความรู้สึก
หลังจากคิดได้แบบนี้แล้ว ฉินชิงจึงคิดจะฝึกวรยุทธ์ในตอนเช้า หลังจากตนตื่นนอนเก้าโมง ล้างหน้าบ้วนปากกินข้าวเสร็จตอนสิบโมงจากนั้นก็ไปที่สนามฝึกซ้อมทางเหนือของวังหลวง
จากนั้นก็กลับมากินอาหารเที่ยงที่ตำหนัก งีบสักพัก หลังจากตื่นค่อยฝึกวาดภาพ จากนั้นตอนเย็นค่อยดีดกู่เจิงสักสองสามเพลง
หลังจากฉินชิงจัดแจงเสร็จแล้วก็พบว่าเวลาหนึ่งวันของตนถูกจัดตารางจนแน่นไปหมด ไม่มีเวลาว่างมากนัก ถ้าเกิดทำตามตารางกิจกรรมนี้ทุกวัน ฉินชิงคงทรมานแย่
ตนหลุดพ้นจากชีวิตการเป็นนักเรียนมานานแล้ว รับไม่ได้ รับไม่ได้ เอาภาพวาดกับฝึกกู่เจิงออกไปดีกว่า ทำวันเว้นวัน ถ้าทำทุกวันคงได้พักตอนบ่ายหรือไม่ก็ตอนเย็น
ส่วนการฝึกฝนจะขาดไปไม่ได้ ฉินชิงต้องจัดตารางฝึกวรยุทธ์ทุกเช้า นอกจากว่าตนจะไม่อยากขยับจริงๆ ถึงจะหยุดได้หนึ่งวัน จากนั้นก็พักผ่อนให้เต็มที่
หลังจากฉินชิงกำหนดแผนการเสร็จแล้วก็สบายใจแล้ว หากไม่มีเรื่องด่วนอะไร ฉินชิงก็คิดจะทำตาแผนการนี้
ฉินชิงเอามือกุมหัว เพิ่งจะคิดเสร็จก็ได้กลิ่นหอมของกับข้าว ฉินชิงที่ได้กลิ่นก็รู้ว่าต้องเป็นหมูเส้นผัดกระเทียมใส่พริกของโปรดของตน
ดังนั้นจึงเดินไปที่โต๊ะอาหาร นั่งลงมือนางกำนัลยกอาหารมาวางบนโต๊ะทีละจาน
อาหารเที่ยงยังคงอุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยเนื้อไก่เนื้อเป็ดเนื้อปลาเนื้อหมู
เนื้อไก่คือไก่นึ่งเก๋อสุ่ย
เนื้อเป็ดคือเป็ดเหอเถา
เนื้อปลาคือปลานึ่งราดซอสเปรี้ยวหวานทะเลสาบซีหู
เนื้อหมูคือหมูเส้นผัดกระเทียมใส่พริก
ฉินชิงมองอาหารหกเจ็ดจานตรงหน้าตน ความอยากอาหารก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย เดิมทีเมื่อวานนี้ก็ฝึกฝนไปไม่น้อยและหิวมาก หลังจากกินเสร็จเมื่อวานนี้ก็เหมือนกับการเปิดกล่องปีศาจดึงความหิวโหยที่ถูกปิดกั้นออกมาจากตัวฉินชิง
ฉินชิงรู้สึกว่าความอยากอาหารของตนนั้นค่อนข้างดีมาก อาหารเช้าในวันนี้ก็กินไปเยอะมาก คิดไม่ถึงว่าอาหารเที่ยงก็ยังอยากกินไม่หยุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนมองอาหารที่ครบเครื่อง ฉินชิงก็รู้สึกว่าพ่อครัวในห้องครัวเล็กฝีมือพัฒนาดีขึ้นมาก ในใจก็รู้สึกดีใจ เรียกหยินผิงเข้ามาแล้วพูดว่า
"อาหารช่วงนี้ไม่เลวเลย ให้รางวัลหน่อยแล้วกัน"
"เพคะเหนียงเหนียง บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้"
หลังจากฉินชิงมอบรางวัลเสร็จแล้ว คนในครัวก็ดูมีความสุขเป็นพิเศษ การได้รับเงินรางวัลก็อีกเรื่อง การได้รับการยอมรับจากเจ้านายของตัวเองก็อีกเรื่อง แต่อย่างหลังน่ายินดีมากกว่าอย่างแรก
คนในครัวทางนี้ก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ส่วนฉินชิงก็กินอาหารอย่างเงียบๆ
ความสามารถในการกินข้าวคนเดียว ฉินชิงคุ้นชินกับมันมาหลายสิบกว่าปีในยุคปัจจุบัน อีกทั้งยังกินแล้วมีความสุขมากด้วย
ไก่นึ่งเก๋อสุ่ยชามตรงหน้านี้ใช้ไก่ชิงอวิ๋นซึ่งเป็นไก่ที่เนื้อน้อยกว่าไก่ทั่วไป เนื้อสัมผัสจะเป็นเส้นใยเหนียวนุ่ม ไม่แข็งจนเกินไปและไม่เหนียวจนเกินไป เหมาะมาทำไก่นึ่งมากกว่า
วิธีการทำอาหารจานนี้ง่ายมาก แค่คว้านเครื่องในไก่ออกมา แล้วใส่ส่วนผสม วัตถุดิบเช่น เห็ดหอม กุ้งแห้งลงไป จากนั้นก็ใส่ลงในหม้อนึ่ง นึ่งในกำลังไฟอ่อนๆ ค่อยๆ นึ่งไปเรื่อยๆ
แต่ตามด้วยความชำนาญของพ่อครัวที่มีต่อวัตถุดิบในการทำ การเลือกสายพันธุ์ไก่ และเวลาในการนึ่งจำเป็นต้องปรับตามแตกต่างเล็กน้อย
เพราะในเนื้อไก่ก็มีน้ำมันจากไขมันสัตว์มันจะไหลออกมาตอนที่โดนความร้อน เนื้อไก่ตัวนี้ รสชาติมันแต่ไม่เลี่ยน มีกลิ่นหอมและอร่อย
ฉินชิงคิดว่าเนื้อไก่แบบนี้อร่อยมาก เปื่อยนุ่มและอร่อยดี
ต่อไปก็คือเนื้อเป็ด เป็ดเหอเถา วิธีการทำก็คล้ายกับไก่นึ่งเหอสุ่ย
ส่วนเป็ดเหอเถา จะต้องใส่เหอเถา (วอลนัท) และแห้วบดมารวมกันจากนั้นก็เติมน้ำและคนให้เข้ากันจากนั้นก็ราดลงบนเนื้อเป็ด แล้วนำลงไปทอดในน้ำมัน หลังจากสะเด็ดน้ำมันออกแล้วก็ใช้มีดมาหั่นเป็นเส้นยาว นำมาจัดลงในจาน บริเวณรอบๆ ก็โรยผักที่คลุกน้ำมันตามใจชอบ
ทั้งจานมีกลิ่นที่หอมมาก เนื้อเป็ดก็กรอบ ด้านในนั้นต้องกัดเบาๆ ถึงจะขาด
ส่วนปลานึ่งราดซอสเปรี้ยวหวานทะเลสาบซีหู ฉินชิงก็กินมาหลายครั้งแล้ว นอกจากปลาที่ใช้ต้องเป็นปลาเฉาซึ่งเป็นปลาที่มีก้างค่อนข้างเยอะ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเคี้ยวอย่างระมัดระวังแล้ว ฉินชิงก็รู้สึกว่าอาหารจานนี้ไม่มีข้อบกพร่องใดๆ เลย
สีของเนื้อปลาเป็นสีแดงมันวาว เวลากินเข้าไปแล้วเนื้อปลาจะนุ่มเป็นพิเศษ น้ำปรุงเปรี้ยวหวานทำให้ปลานึ่งราดซอสเปรี้ยวหวานทะเลสาบซีหูมีรสชาติเปรี้ยวหวานอร่อยเป็นพิเศษ เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร