ตอนที่แล้วตอนที่ 28 ความอัดอั้นตันใจของตัวเอกชาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 30 เปลี่ยนนิสัยของตัวเอกหญิง

ตอนที่ 29 ‘ท่านเซียน’


ตอนที่ 29 ‘ท่านเซียน’

อีกด้านหนึ่งของตงโจวกำลังเกิดการไล่ล่า

“ป้าถังปล่อยข้าไว้ตรงนี้เถอะ ข้าหนีต่อไม่ไหวแล้ว” เสียงผู้หญิงที่แผ่วเบาราวกับน้ำผุดเจือความเสียใจดังขึ้น

แต่หญิงวัยกลางคนหน้าตางดงามที่รู้จักในชื่อป้าถังไม่ตอบและยังวิ่งต่อไปข้างหน้าโดยแบกหญิงสาวไว้บนหลัง

“ถังซืออวิ๋น จงมอบเคล็ดวิชาเซียนของตระกูลถังมาซะ แล้วกลับไปเป็นอนุของนายน้อยพวกข้า มิฉะนั้นอย่าโทษที่พวกข้าหยาบคาย!”

มีคนหลายคนวิ่งตามหลังจากระยะไกล พวกเขาไล่ตามทั้งสองและตะโกนข่มขู่เป็นครั้งคราว

“พวกเจ้าฝันไปเถอะ!” ถังซืออวิ๋นกัดฟันแล้วตะโกนกลับไปด้วยความโมโห

สำนักเจิ้งชี่ทำลายครอบครัวและสังหารท่านพ่อท่านแม่ของนาง ความเกลียดชังนั้นไม่อาจปล่อยวางได้และไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น นางไม่มีวันประนีประนอม

ความจริงคือนางไม่รู้ว่าตระกูลถังมีเคล็ดวิชาเซียนอะไรนั่นหรือเปล่า แต่ถึงแม้จะมี นางก็ไม่มีวันมอบให้เดรัจฉานเหล่านี้

“ขอร้องล่ะป้าถัง หากพวกมันตามมาทัน ท่านจงสังหารข้าและทำลายร่างกายของข้าซะ!” นางบอกป้าถังที่แบกตนไว้บนหลัง ในคำพูดมีการวิงวอนสุดซึ้ง

ร่างกายของป้าถังสั่นเทา “ได้!”

หลังจากหลบหนีไปอีกครึ่งชั่วยาม ในที่สุดป้าถังก็หมดแรง เข่าของนางอ่อนลงและล้มลงกับพื้นโดยมีถังซืออวิ๋นอยู่บนหลัง โคลนและฝุ่นเปื้อนชุดสีขาวสะอาดของนาง

“ฮ่าฮ่าฮ่า สุดท้ายก็วิ่งต่อไม่ไหวแล้วสินะ”

“บัดซบ ทำให้พวกข้าไล่ตามตั้งนาน”

คนจากสำนักเจิ้งชี่มารวมตัวกันทันที พวกเขาล้อมถังซืออวิ๋นและป้าถังเอาไว้

“วิ่งสิ พวกเจ้าวิ่งต่อสิ!”

หลังจากไล่ตามมานาน พวกเขาก็เหนื่อยมากเช่นกัน

“ถุย!” ถังซืออวิ๋นถ่มน้ำลายลงตรงหน้าพวกเขา

“โย่ สาวน้อยแสนสวยคนนี้มีนิสัยดุร้ายจริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่นายน้อยอยากรับนางเป็นอนุ”

เมื่อมองถังซืออวิ๋นที่ครองความงามดุจสวรรค์สร้าง บรรดาศิษย์ของสำนักเจิ้งชี่ยังอดทึ่งไปกับใบหน้าไร้ที่ติและเปล่งประกายนี้ไม่ได้

“หม่าซาน สำรวมสายตาของเจ้าด้วย!” ศิษย์อีกคนที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าตำหนิเสียงเข้ม “ถังซืออวิ๋นคนนี้เป็นของนายน้อย”

“รู้แล้วน่า รู้แล้ว ข้าจะกล้าแย่งผู้หญิงของนายน้อยได้อย่างไร แต่ถังซืออวิ๋นไม่ได้ สาวใหญ่คนนี้ก็ค่อนข้างดีเหมือนกัน!” ผู้ชายที่ชื่อหม่าซานมีรอยยิ้มลามก

บรรดาศิษย์ของสำนักเจิ้งชี่คนอื่นๆ หันมองหน้ากันและพวกเขาทั้งหมดแสดงท่าทีมากตัณหาออกมา

ถังซืออวิ๋นหลับตาและคลายยันต์หยกที่หักคามือของนางออก มันร่วงหล่นลงพื้นด้วยเสียงกระทบทื่อๆ

คนแปลกหน้าคนนั้นจะเชื่อถือได้หรือไม่?

เพราะผ่านมาห้าวันแล้ว ชายที่บอกว่าจะมาช่วยนางไม่เคยมาจริงๆ เลย

บางทีสิ่งที่เรียกว่ายันต์หยกคงเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง หรือบางทีเขาอาจติดพันกับปัญหาอื่นๆ ใครจะรู้?

เมื่อไตร่ตรองให้ดีแล้วนางแค่ช่วยเขาขึ้นจากแม่น้ำโดยบังเอิญและมันก็แค่นั้น

จึงไม่ควรมีความหวัง

ป้าถังที่อยู่ข้างกายนางกำลังกัดฟันเพื่อกระตุ้นพลังวิญญาณเฮือกสุดท้ายในร่างกายและพร้อมที่จะทำลายร่างกายของพวกนางทั้งสอง

แม้จะต้องตาย นางก็ไม่ยอมถูกหมาป่าพวกนี้เหยียดหยามเด็ดขาด

ทันใดนั้น

เงาขนาดใหญ่แผ่ปกคลุมทุกคน

“เฮ้ ทำไมมันมืดล่ะ?” หม่าซานเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย

ทันใดนั้นเขาก็อ้าปากตาค้าง

“ท้องฟ้า ท้องฟ้ากำลังจะถล่มแล้ว!”

เพียะ!

   ศิษย์ที่มีรอยแผลเป็นบนหน้ายกมือตบหน้าผากของหม่าซาน “หุบปาก! เซียน นั่นคือท่านเซียนต่างหาก!” ใบหน้าของเขาดูเคารพและเหลือเชื่อ

เขาเป็นเพียงมนุษย์ในระดับกลั่นลมปราณ แต่ท่านเจ้าสำนักเจิ้งชี่ของพวกเขานั้นเป็น ‘เซียนซือ’ เขาโชคดีจึงได้ติดตามเจ้าสำนักและได้เห็น ‘เซียนซือ’ อื่นๆ บินขึ้นไปบนท้องฟ้าและหนีจากโลกมนุษย์ด้วยอาวุธเวท

แต่สิ่งที่อยู่เหนือศีรษะนี้ใหญ่กว่าอาวุธเวทของ ‘เซียนซือ’ เหล่านั้นหลายเท่า แต่มันก็น่าจะเป็นของประเภทเดียวกัน

ที่เรียกว่า ‘เซียนซือ’ นั้นเป็นชื่อที่มนุษย์ตั้งให้กับผู้ฝึกตนระดับสูงกว่าระดับผันวิญญาณนั่นเอง

สำหรับผู้ที่อยู่ในระดับผันวิญญาณและระดับชี้วิถีเต๋าลงไปถือว่าเป็นมนุษย์ธรรมดา

มนุษย์เริ่มตั้งแต่ระดับกลั่นลมปราณเพื่อก่อกำเนิดพลัง ปรับปรุงพลังในร่างกายโดยกำเนิดและฝึกฝนพลังชี่ที่แท้จริง

เมื่อเข้าสู่ระดับชี้วิถีเต๋า พลังในร่างกายโดยกำเนิดได้รับการปรับปรุงโดยสมบูรณ์ เปลี่ยนพลังชี่ให้หลอมรวมกับพลังเวทจึงเริ่มสัมผัสได้ถึงฟ้าดินสอดประสาน

เฉพาะเมื่อใครคนหนึ่งไปถึงระดับผันวิญญาณและมีจิตวิญญาณข้ามผ่าน ‘ประตูสวรรค์’ อันลึกลับเท่านั้น ก็จะมีความสามารถในการดูดซับฟ้าดินสอดประสานและปรับแต่งให้เป็นพลังเวท จากนั้นเมื่อฝึกเวทสำเร็จจนบินขึ้นไปบนฟ้าได้ ก็จะสามารถหลบหนีออกจากโลกได้ด้วย

ดังนั้นระดับผันวิญญาณจึงถูกเรียกว่าประตูสู่ความเป็นเซียน

แม้จะมีผู้ฝึกตนจำนวนมากในตงโจว แต่ก็มีแค่กลุ่มของจื่อฝู่ (เหนือกว่าระดับผันวิญญาณหนึ่งระดับ ถือว่าเป็นเซียนซือสำหรับมนุษย์) มากกว่า ทว่าในตงโจวมีผู้ฝึกตนเกือบร้อยล้านคน อาจกล่าวได้ว่าจำนวนผู้ฝึกตนระดับจื่อฝู่เป็นหนึ่งในล้าน และในบางอำเภอที่ห่างไกลซึ่งมีพลังทางจิตวิญญาณบางเบา แม้แต่ผู้ฝึกตนในขอบเขตก่อกำเนิดก็สามารถได้รับการยกย่องให้เป็นบรรพบุรุษได้แล้ว

ผู้ฝึกตนส่วนมากจะไม่อยู่ในที่ซึ่งปุถุชนธรรมดาอาศัยอยู่อีกต่อไป

เพราะที่ซึ่งมนุษย์อยู่นั้น ส่วนใหญ่เป็นสถานที่แห้งแล้งและมีพลังทางจิตวิญญาณบางเบา

และสถานที่อันอุดมด้วยพลังทางจิตวิญญาณล้วนถูกครอบครองโดยผู้ฝึกตนนิกายหลักกับตระกูลชนชั้นสูงและขุนนางใหญ่

ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฝึกตนกับปุถุชนเปรียบเสมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบและมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันน้อยมาก

ในความเป็นจริง แม้ว่ามนุษย์ส่วนใหญ่จะใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังไม่สามารถเข้าสู่ระดับชี้วิถีเต๋าได้

สายเลือดของผู้ฝึกตนมักมีพรสวรรค์มากกว่า สำหรับมนุษย์มีแนวโน้มที่จะเกิดมาพร้อมพรสวรรค์ต่ำ แม้จะใช้พลังและความพยายามชั่วชีวิตก็ยากจะทะลวงถึงระดับผันวิญญาณ

และจุดสูงสุดที่พวกเขาไม่อาจแตะต้องได้ มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นสำหรับคนอื่นๆ เท่านั้น

บางคนเกิดมาพร้อมวาสนา

บางคนใช้เวลาทั้งชีวิตยังต้องทำงานเป็นวัวเป็นม้า ความจริงช่างโหดร้าย

ในบรรดามนุษย์ จะมีบางครั้งที่พบเจอผู้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม โดยปกติแล้วนิกายหลักจะเข้ามาชี้แนะให้พวกเขารู้จักกับประตูสู่ความเป็นเซียน

แม้ผู้ใดล้มเหลวในการเข้าสู่ประตูเซียนก็ยังหลงเหลือความสามารถบางด้านและได้เข้าสู่โลกแห่งการฝึกตนเต็มตัว พวกเขาได้รับการยกย่องจากมนุษย์ให้เป็นผู้ฝึกตนและคราวนี้มีผู้ฝึกฝนเพียงไม่กี่คนที่สามารถโดดเด่นได้

นอกจากความสามารถแล้วยังมี ‘เคล็ดวิชาเซียน’ ซึ่งหาได้ยากสำหรับผู้ฝึกตนทั่วไป มันมีพลังเหนือกว่าวิทยายุทธที่ระดับชี้วิถีเต๋าและระดับผันวิญญาณฝึกกันมากนัก

นี่คือเหตุผลที่นายน้อยของสำนักเจิ้งชี่เลือกโจมตีตระกูลถังเพียงเพราะข่าวลือ

ที่ผ่านมานั้นมนุษย์มีจุดประสงค์คือการถมแผ่นดินและเพิ่มประชากร ซึ่งความหวังเดียวสำหรับความก้าวหน้าคือการให้กำเนิดลูกหลานที่มีพรสวรรค์แข็งแกร่ง

โชคดีที่ในต้าซางแห่งนี้ อย่างน้อยคนธรรมดาสามารถอยู่รอดได้และนิกายหลักจะไม่ลดตัวลงมากลั่นแกล้งคนธรรมดา พวกเขาเน้นมองหาคนหนุ่มสาวที่มีคุณสมบัติดีในหมู่ปุถุชนเท่านั้น

ทางราชสำนักของราชวงศ์ต้าซางก็ออกกฎห้ามผู้ฝึกตนทำร้ายประชาชนด้วย

หากอยู่ในแคว้นเล็กๆ ทางตอนเหนือที่ถูกครอบครองโดยผู้ปลูกฝังมาร มนุษย์เป็นเพียงเครื่องสังเวยเพื่อการฝึกฝนจริงๆ

เมื่อเครื่องสังเวยเติบโตขึ้นก็เก็บเกี่ยว

“คารวะท่านเซียน”

ตอนนี้บรรดาลูกศิษย์ของสำนักเจิ้งชี่ไม่สนใจพวกถังซืออวิ๋น แต่พากันคำนับเรือเซียนด้านบนแทน

“นี่คือที่ใด?”

เสียงสวรรค์ที่นุ่มทุ้มดูเหมือนลอยมาจากก้อนเมฆ จากนั้น ‘ท่านเซียน’ ผู้สูงส่งของทุกคนค่อยๆ ลอยลงจากเรือเซียน

จะเป็นผู้ใดอีกถ้าไม่ใช่ซูอัน

อาภรณ์สีแดงดุจหงส์เพลิงส่องประกายงดงามลอยอยู่กลางอากาศประหนึ่งเทพเซียน

สมกับเป็นท่านเซียน!

เบื้องหลังของท่านเซียนมีผู้ติดตามหนึ่งแข็งแกร่งหนึ่งอ่อนหวาน จะเป็นผู้ใดไม่ได้นอกจากถูเซิ่งหนานและเยี่ยหลีเอ๋อร์

ส่วนชิงหลิงซ่อนตัวอยู่ในความมืดเพื่อคอยปกป้องซูอัน