เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 13
เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 13
เรื่องของเวทย์มนตร์
จริงอยู่ที่ผมเซตไว้ให้มีเวทย์มนตร์ แต่ผมไม่มีทางรู้หรอกว่า มันทำงาน 'อย่างไร ' มันไม่ใช่หน้าที่ผมสักหน่อยที่ต้องไปล่วงรู้ว่าเวทย์น่ะทำงานหรือแสดงผลยังไง
เวทย์มนตร์นั้นทำงานได้อย่างไร อะไรคือ สูตรสมการเวทย์มนตร์ แล้วอะไรคือมานากันล่ะ…?
ใครมันจะไปสนใจอ่านอะไรเฮงซวยแบบนั้นในนิยายแฟนตาซีฟะ ?
เดิมทีแล้วเนี่ย การที่จะมาอธิบายความแตกต่างระหว่างเรื่องที่ว่า เวทย์มนตร์ทำงานยังไง หรือมังกรเพลิงดำนั้นอยู่ๆมานอนหลักคร่อกทับแขนขวาใครสักคนนี้มันต่างกันตรงไหน ?มันก็แค่เรื่องการตั้งค่าปูเรื่องเฉยๆป่าว
ถ้าใครเข้าใจก็ผ่านไปเลยก็ได้
หรือต่อให้ทำการพูดถึงรายละเอียดยิบย่อย เรื่องราวอันเก่าแก่ยาวนานถึงเทคนิคดั้งเดิมพื้นฐานในนิยายศิลปะการต่อสู้ ,ผู้อ่านที่เข้าใจแล้วก็แค่ข้ามบรรทัดนั้นไป
หรือมันก็คือ มันเป็นพื้นฐานความเข้าใจร่วมกันแล้วยังไงล่ะ
ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีหลักการบางอย่างที่ล้มล้างสามัญสำนึกได้ นั่นก็คือ ระบบเวทย์มนตร์ของปีศาจและมนุษย์ที่แตกต่างกัน
ถึงทั้งสองฝ่ายจะใช้เวทย์มนตร์อย่างเดียวกันแต่ด้วยกลวิธีที่ต่างกันไปก็เหมืนกับ รถไฟหัวจักรไอน้ำกับรถไฟยุคสมัยใหม่ที่วิ่งบนรางเดียวกันนั่นแหละ
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว คัมภีร์เวทย์ที่ใช้เวทย์ของพวกปีศาจก็เลยสามารถเทเลพอร์ทไปได้ไกลกว่ามากๆ ในขณะที่คัมภีร์เวทย์ของพวกมนุษย์น่ะทำแบบนั้นไม่ได้
มันจึงไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะแยกความแตกต่างทางเวทย์ระหว่างปีศาจกับมนุษย์ได้ด้วยการดูจากสูตร มันเป็นความผิดพลาดอันเนื่องจากความไม่รู้ ความไม่เข้าใจที่ผมทำลงไปที่นี่
พ่อค้าคนอื่นน่ะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสูตรเวทย์เป็นของปีศาจ ก็แหงล่ะ พวกนั้นไม่ใช่พ่อมดนนี่นะ ก็เลยคิดว่า คัมภีร์เนี่ยมันเป็นของปลอม แต่อย่างไรก็ดีผู้หญิงคนนี้นั้นเป็นเจ้าของร้านอุปกรณ์เวทย์และเผลอๆอาจเป็นแม่มดด้วย เธอก็เลยสังเกตเห้นว่า คัมภีร์ของผมนั้นใช้อีกระบบหนึ่ง
“ช่วยบอกฉันทีได้ไหม ? ได้โปรด ?”
ผมไม่รู้ว่า ผู้หญิงคนนี้ต้องการทำอะไรกับผม
นี่อาจถึงสถานการณ์ที่ผมจะต้องฝ่าฟันไปด้วยการใช้แต้มแอคชีฟเม้นท์ซะแล้วล่ะมั้ง?
ผมอยากจะให้ผู้หญิงคนนี้คิดว่า ม้วนคัมภีร์ของผมไม่ได้เป็นของสลักสำคัญอะไร
[เพื่อให้เกิดอีเว้นท์อย่างนั้น ต้องการแอคชีฟเม้นท์พ้อย 3000 ]
อีกแล้ว ผมมีพ้อยท์น้อยกว่าที่ผมอยากจะใช้
นี่ก็แปลว่า มันเป็นเรื่องที่หาได้ยากที่จะค้นพบคัมภีร์เวทย์มนตร์ของปีศาจ ณ ใจกลางเมืองหลวงจักรวรรดิ โอกาสความเป็นไปได้ของมันย่อมต้องน้อยมาก
สุดท้ายแล้ว ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเปิดปาก
“คือ , เรื่องนั้น …. เอิ่ม….ผม, ไปได้มัน … มาจากปราสาท … จอมมาร ….”
“……อะไรนะ ?”
ผมไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากบอกความจริงไป
“ผมเอามันมาจากปราสาทจอมมาร …….”
ผู้หญิงคนนี้ถึงกับขมวดคิ้วพอได้ยินคำพูดของผม
“หมายความว่ายังไง ? เธอเอาคัมภีร์พวกนี้มาจากปราสาทจอมมารเหรอ?”
เธอขมวดคิ้วราวกับไม่เข้าใจคำพูดของผม
ถึงอย่างนั้นการมีอยู่ของคัมภีร์ปีศาจทำให้สิ่งที่ผมพูดไปนั้นฟังดูเข้าเค้า
ผมเลยย้อนเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอฟัง
เรื่องยาวเหยียดตั้งแต่ตอนที่ผมโดนขังคุกไว้พร้อมกับเจ้าหญิงในปราสาทจอมมาร แล้วพวกเราก็ใช้คัมภีร์เทเลพอร์ทหลบหนีมาที่นี่
แล้วผมก็บอกเธอไปว่า พอมาถึงที่เมืองหลวง ผมก็พบว่าตัวเองอยู่เพียงลำพังแล้วก็ไม่มีเงิน ไม่มีที่ให้อยู่ก็เลยพยายามอย่างมากที่จะขายคัมภีร์พวกนี้
และผมก็เพิ่มเติมไปด้วยว่า ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครเพราะเสียความทรงจำ
“โอ , พระเจ้า ….นี่มันบ้ามากๆ …… เธอจะให้ฉันเชื่อเรื่องทั้งหมดที่ว่ามานี่หรือเนี่ย ? เจ้าหญิงถูกช่วยออกมาแล้ว ?”
เธอทำหน้างง และยิ่งมุ่ยคิ้วหนักกว่าเดิม เธอมองเข้าไปในดวงตาผมแล้วถอนใจออกมา
“เธอคงโกหกแน่ๆ หากเธอเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าหญิงจริงๆเธอน่าจะได้ยศชนชั้นสูงหรืออะไรก็แล้วแต่บ้าง แล้วทำไมเธอถึงได้อยู่คนเดียวได้ล่ะหืม ?”
ปกติมันก็ต้องเป็นแบบนั้นแหละ สิ่งตอบแทนที่ได้จากการช่วยเจ้าหญิงนั้นมากมายเกินจินตนาการนัก
มันยากเกินกว่าที่จะปฏิเสธแล้วมาเดินเตล็ดเตร่อยู่คนเดียวแบบนี้
ตรรกะเดียวที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้ก็คือ ผมไม่ได้ช่วยชีวิตเจ้าหญิงนั่นแหละ
แต่ถึงอย่างนั้น ผมจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการ 'เพิ่มเติมเซตติ้ง' ลงไปน่ะ ,หมายถึงหาข้อแก้ตัวไงล่ะ
การตั้งค่ามันก็แบบนี้แหละ เพื่อไม่ให้มีจุดผิดพลาดในเซตติ้งก็แค่จัดเรียงคำพูดใหม่
นั่นก็แปลว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญในการหาข้อแก้ตัวได้แล้ว !
“จากนั้น ….ตอนที่พวกเราหนีออกมา , พวกอัศวินของดยุคเซลาเรี่ยนก็ตาย
จริงๆผมก็ควรได้รับรางวัล แต่ผมคิดว่าเจ้าชายเบอทัสน่าจะพยายามฆ่าผม ……”
“อ่า, ฉันเข้าใจแล้ว …… การเอาคืน…… นั่นสินะ …… ฉันว่า แบบนี้ก็สมเหตุุสมผล ……มันคงเป็นอะไรที่ยากมากที่เจ้าหญิงจะปกป้องนาย …… ก็ชัดเจนอยู่แล้วแหละ ……”
ผมก็เลยอ้างไปว่า เดิมทีผมวางแผนที่จะได้รับรางวัลสักอย่างบ้างถ้าได้ช่วยเจ้าหญิงไว้ถ้าสถานการณ์มันไม่ได้เป็นแบบนี้
รางวัลมันก็ดีอยู่หรอก แต่มันก็ไม่ได้มีค่าเท่ากับชีวิตผม
แต่ก็นั่นแหละ ก็แค่อ้างแถไปอย่างนั้น ซึ่งก็พอเข้าใจได้ ผมเองก็หวังว่าไดรัสจะปลอดภัย
ผมแน่ใจเลยว่า พวกนั้นน่าจะหาทางแก้แค้นเขาเหมือนกัน
เธอจ้องผม
“เรื่องราวของเธอน่ะมันซับซ้อนเกินกว่าจะสร้างขึ้นมาได้”
เหมือนเธอจะคลายความสงสัยลงในที่สุด เธอดูจะเชื่อเรื่องที่ผมเล่า เพราะจากข้อมูลที่เธอมีเธอคงไม่มีทางเลือกอื่นที่จะเข้าเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นของผมอีก
เธอถอนใจอีกครั้ง
“นี่ก็แปลว่า จอมมารน่ะ…… ตายแล้วหรือ …?”
“ใช่ฮะ”
เกิดแสงวาบขึ้นในดวงตาเมื่อได้ยินคำยืนยันจากผม
เธอดูโล่งอก แต่ผมก็ดูไม่ออกชักว่า มันเป็นความเสียใจหรือรู้สึกดีกันแน่
เธอเงียบไปสักพักใหญ่ ก่อนจะมองผมด้วยแววตาเศร้าๆ
“ใช่ ก็โล่งใจแหละ เจ้าหญิงตัวน้อยน่าจะเจอเรื่องหนักหนามามาก… เธอเองก็คงเจอเรื่องหนักๆมาเหมือนกัน”
เธอโอบแขนรอบตัวผมแล้วก็ลูบหลังเบาๆเหมือนกับสงสารผม
ไม่ใช่นะ คือ ผมไม่ได้โดนทรมานจริงๆสักหน่อย
“เอ่อ คือ ผมจำอะไรไม่ได้จริงนะ….ก็เลยไม่เป็นอะไร”
หลีกเลี่ยงสถานการณ์แบบนี้ไปเลยน่าจะดีกว่า
“ใช่ ,ฉันดีใจนะ ที่เธอไม่ต้องทนทรมานจากความทรงจำแย่ๆ ขอบคุณพระเจ้า”
เธอยังคงลูบหลังผมต่อไป พลางบอกกับผมว่า มันดีกว่าหากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยไม่ต้องรับรู้ความทรงจำนั้น และหากจำได้ขึ้นมามันก็คงเจ็บปวด
อะไรกันเนี่ย ทำไมอยู่ๆเธอถึงมาใจดีกับผมแบบนี้?
ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ผมน่ะทั้งหิวแล้วก็เหนื่อยล้ามาก ผมอยากจะไปแล้ว รู้ไหม ?
“ขอให้ฉันมองดูเธออีกสักพักเถอะนะ เด็กน้อย ….”
“อะไรนะ ?”
“บ่อยครั้งที่ผู้คนมักจะมีปัญหาความทรงจำหลังจากโดนทรมานอย่างหนัก , แถมนายยังติดอยู่ในสถานที่ที่น่ากลัวอย่างปราสาทจอมมารด้วย จริงไหม ?”
ไม่ๆ , เดิมทีนั่นเป็นบ้านเกิดสุดที่รักของผม แต่ปัญหาก็คือ ปาร์ตี้ผู้กล้าตัดสินใจมาเยี่ยมเยือนถึงที่เองต่างหาก
“อาจจะมีคำสาปหลงเหลืออยู่ที่ร่างกายของเธอ ดังนั้นฉันจะ ….”
เธอมองผมด้วยแววตาอบอุ่น
“ฉันจะร่ายเวทย์พื้นฐานให้เธอ ถ้าเธอเสียความทรงจำเพราะคำสาปจริง ความทรงจำของเธอจะกลับคืนมา แต่เวทย์นี้ไม่สามารถลบคำสาปที่รุนแรงได้ ….”
เธอเขียนสัญลักษณ์บางอย่างขึ้นมา
“เอ้อะ , เอ้ะ , เดี๋ยวก่อนนน !”
“ดีสเปล(Dispel)”
เวทย์นั้นถูกร่ายออกมา เธอมองที่ผมราวกับไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
เขาและสีผิวนั้นแตกต่างจากมนุษย์
ดูแล้วไม่ได้แปลว่า เธอไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่เหมือนกับเธอไม่สามารถยอมรับมันได้มากกว่า
“โอ้”
คำแนะนำจากนักเขียน
ต่อจากนี้ไป ผมจะเรียกแกว่า ไอ้สาระยำแทนแล้วล่ะ
“ฝะ….ฝ่าบาท …?”
ถึงอย่างไรก็ดี คำพูดที่ออกมาจากปากเธอนั้นเปลี่ยนความคิดผมในทันที
ฝ่าบาท
ปกติเดิมทีแล้วผมรู้ว่าคำๆนี้มันใช้เรียกเจ้าชาย
แต่ทำไมอยู่ๆคนที่ไม่รู้ที่ไหนถึงได้เรียกผมแบบนั้นล่ะ?
แน่นอน ผมรู้ว่ามันหมายความว่ายังไง แต่ก็ยากจะยอมรับได้ เจ้าของร้านที่อยู่ๆก็คุกเข่าตรงหน้าผม
“ตัวฉัน , ฉัน …. ตัวฉัน, เอเลริสแห่งกองทัพปีศาจฝ่ายโจมรุกรานเมืองการ์เดียม ขอแสดงความเคารพต่อเจ้าชาย”
“อะ , เอ่อ ….”
นี่มันเป็นเรื่องดี ? เรื่องดีจริงๆใช่ไหม ?
สมองผมหมุนเร็วจี๋เพื่อที่จะตีความสถานการณ์ตรงหน้า และกับการที่ผู้หญิงตรงหน้าผมปฏิบัติกับผมแบบนี้ก็แปลว่า เธอก็เป็นปีศาจตนหนึ่ง
อย่างน้อยๆนี่ก็ไม่ใช่สถานการณ์อันตรายใช่ไหม ?
“ฉันว่า จะดีว่าถ้าท่านมาทางนี้ก่อน”
เธอนั้นมองมาที่ผมสลับกับทางเข้า ก่อนจะพาผมไปยังโกดังด้านหลังเธอ
แล้วถ้ามีลูกค้ามายืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้เข้า ก็คงจะรู้ได้ทันทีเลยว่า ร้านนี้น่ะเป็นร้านของปีศาจ
เธอร่ายเวทย์แล้วก็เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมา
“นี่ , ท่านจำฉันไม่ได้เลยเหรอคะ ?”
เขี้ยวคมกริบเผยออกมาจากริมฝีปากแด
ดวงตาสีแดงฉานและผิวซีด
ผมรู้ได้ทันทีว่าเธอเป็นตัวอะไร
“วะ,แวมไพร์เหรอ …?”
“ใช่ค่ะ ,ฉันคือ เอเลริส ทิวส์เดย์(Eleris Tuesday) จากตระกูลเจ็ดราตรี”
ตระกูลเจ็ดราตรี เซตติ้งสุดจูนิเบียวนี่มันอะไรกันเนี่ย ?ผมไม่เคยเขียนอะไรแบบนี้มาก่อนเลยนะ
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเป็นห่วงผม เธอค่อยๆวางมือลงที่ใบหน้าของผมตอนที่ผมยังอึ้งอยู่
“เดี๋ยว,อย่าบอกฉันนะคะ …… ว่าท่านน่ะ เสียความทรงจำจริงๆ…?”
“อ่า , อืม … ก็ , คงอย่างนั้นแหละ … ผมจำอะไรไม่ได้มากนัก นอกจากเรื่องที่ผมเป็นเจ้าชายดินแดนปีศาจ ….”
ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับไปตรงๆ ผมคิดว่ามันดีกว่าด้วยซ้ำที่จะแกล้งหลอกไปว่า มีความทรงจำในเรื่องที่ตัวเองก็จำอะไรไม่ได้เลย
แล้วก็เกิดประกายแสงแปลกๆในดวงตาของเธออีกครั้ง ผมไม่รู้ว่า เธอรู้สึกยังไงกันแน่
“การที่ออกจากปราสาท แล้วมาถึงที่นี่ด้วยตัวเองในสถานการณ์แบบนี้ ….”
เธอกุมมือผมไว้อย่างแผ่วเบาดูเหมือนเธอกำลังจะร้องไห้ออกมา
“นับเป็นโชค โชคดีมากๆ ฉันไม่รู้เลยค่ะว่าท่านมาถึงนี่ได้ยังไง ,แต่ฉันรู้สึกขอบคุณเหล่าเทพมากๆ”
ดูเหมือนแวมไพร์ตรงหน้าผมจะคิดว่า มันเป็นเรื่องที่บังเอิญในระดับที่บ้ามากๆ มากขนาดที่เธอยังต้องขอบคุณเทพเจ้า
ยังไงก็ตามผมคิดว่า ที่สถานการณ์มาเป็นแบบนี้ได้ก็เพราะคำแนะนำของนักเขียน มันน่าจะเหมาะกว่าถ้าพูดว่า สมควรขอบคุณเจ้าปีศาจ มันอาจเป็นเรื่องสุดบังเอิญสำหรับเอเลริส แต่สำหรับผมแล้วมันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ไปที่ร้านอุปกรณ์เวทย์มนตร์
เอเลริสนั้นรู้ว่ามันเป็นคัมภีร์เวทย์ปีศาจเพราะเธอเป็นแม่มด เผลอๆอาจเป็นแบบนั้นได้ก็เพราะตัวเธอเป็นปีศาจเองนั่นแหละ
ดังนั้นการที่ไปขายคัมภีร์ที่ร้านอุปกรณ์เวทย์ก็แค่เรื่องบังหน้าเท่านั้น เจตนาที่แท้จริงของคำแนะนำคือเรื่องนี้ต่างหาก
ข้อความที่แฝงไว้ก็คือ ให้ตามหาสายลับปีศาจที่แอบอยู่ในเมืองกาเดียมเพื่อขอความช่วยเหลือ
อย่างไรก็ดีหากผมถูกพ่อมดแม่มดพวกมนุษย์จับได้ตอนที่เอาคัมภีร์ปีศาจไปขายนี่ ผมเชื่อว่าตัวเองน่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากกว่านี้
ระหว่างทางมันค่อยข้างอันตรายก็จริงแต่ในท้ายทีสุดผมก็ได้เจอกับสายลับฝ่ายปีศาจแล้ว
ย้อนกลับไปนึกดูดีๆแล้ว เจ้าคำแนะนำคลุมเครือนั่น บอกถึงจุดจบเรื่องนี้อยู่
[คำแนะนำคลุมเครือจากนักเขียน ]
[ผู้คนมากมายถูกลักพาตัวไปยังปราสาทจอมมารได้อย่างไร ?]
ไม่ใช่คำว่า 'ทำไม ' แต่เป็น 'ได้อย่างไร '
ผมเขียนเอาไว้ว่า ผู้คนต่างถูกสปายจากดินแดนปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ในดินแดนมนุษย์ลักพาตัวไป
คำแนะนำคลุมเครือบอกผมทางอ้อมว่าให้หาตัวสปายคนนั้น ที่ยังอาศัยอยู่ในดินแดนมนุษย์
แต่ผมก็ไม่ได้คิดไปจนถึงขั้นนั้นด้วยความที่ผมทั้งหลงทางและหิวโหย
หากผมเข้าใจคำแนะนำที่คลุมเครือนั่นได้ก่อน ผมอาจจะหาเบาะแสทำให้ผมสามารถฝากฝังตัวเองไว้กับสปายปีศาจในกาเดียมได้
และหากผมเคลื่อนไหวอย่างระวังๆตัว ผมก็จะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็น
ส่วนคำแนะนำชัดเจนจากนักเขียนนั้นออกจะเสี่ยง ขณะที่คำแนะนำคลุมเครือจากนักเขียนให้เบาะแสว่า ผมควรจะทำอะไร
คำแนะนำคลุมเครือน่ะปลอดภัย ส่วนคำแนะนำชัดเจนนั้นต้องรับความเสี่ยง
“เอ้อ ….แล้วจะมีพ่อมดมนุษย์ที่สามารถแยกคัมภีร์จากแดนปีศาจออกหรือเปล่า ?”
พอพูดตามปรกติ และดูเหมือนเอเลริสจะไม่รังเกียจ
“มันก็มีค่ะเจ้าพวกประหลาดที่ตั้งใจศึกษาเวทย์ของปีศาจ ฉันดีใจมากนะคะที่ท่านมาเจอฉันก่อนเจอพวกนั้น”
ผมถึงกับเสียววาบไปถึงไขสันหลังพอคิดถึงหายนะที่อาจจะเกิดขึ้นหากมีใครที่แยกแยะคัมภีร์ปีศาจได้ ก่อนที่ผมจะพบกับเอเลริส ผมเกือบจะฆ่าตัวตายแล้วเหรอเนี่ย
เธอกลับไปที่หน้าร้านอีกครั้ง ปิดประตูลงแล้วพาผมขึ้นชั้นบน
“ต่อจากนี้ฉันจะรับใช้ท่านอย่างดีที่สุดค่ะ”
พอพูดอย่างนั้น เธอก็ให้ผมนั่งที่โซฟา แล้วเธอก็เริ่มจัดห้องที่รกรุงรัง เดี๋ยวก่อนสิ เธอเป็นแวมไพร์นะ
แล้วทำไมห้องนี้ถึงได้มีแสงสว่างเพียงพอล่ะ ? มันไม่ใช่ห้องพักที่ใหญ่ขนาดนั้น แต่แสงมันจะเข้าไม่เยอะเกินไปหน่อยเหรอ ?
“นี่ , แบบนี้ไม่เป็นอันตรายต่อแวมไพร์หรอกเหรอ ?”
เธอมองกลับมาที่ผมแล้วพยักหน้า
“ฉันเป็นแวมไพร์ลอร์ดค่ะ ถ้าเป็นแสงแค่นี้พอรับไหว แต่มันก็ไม่ดีต่อร่างกายของฉันจริงๆค่ะ”
ไม่จริงหรอก , ผมเห็นเธอสะดุ้งทุกครั้งที่โดนแสงนิดหน่อย ตอนที่จัดผ้าปูโต๊ะ นี่เธอไม่เป็นไรจริงๆแน่นะ ?
“ที่นี่เป็นส่วนขยายจากตัวร้านน่ะค่ะฉันเลยไม่ต้องจ่ายค่าเช่า บ้านพักในฝันที่ฉันอยากอยู่น่ะเป็นบ้านที่มีห้องใต้ดินที่แสงแดดส่องไม่ถึงตลอดทั้งปีมากกว่า แต่งบที่ได้มาค่อนข้างจำกัด ….”
…น่าเศร้าเหลือเกิน
ผมก็ไม่รู้แน่ชัดว่า แวมไพร์ลอร์ดคืออะไร แต่แบบนั้นถือว่าน่าเศร้ามากสำหรับแวมไพร์ระดับสูงเลยไม่ใช่หรือไง ?
ผมเข้าใจดีถึงสิ่งแวดล้อมในฝันของแวมไพร์ แต่แค่ได้ยินเรื่องที่เธออยากจะอยู่ในห้องใต้ดินก็ชวนให้เสียใจ แล้ว แวมไพร์ที่เป็นห่วงเรื่องค่าเช่าร้าน….
“อ้าว , แล้วไม่ดีกว่าเหรอถ้าเธอจะทำให้เจ้าของที่กลายเป็นสาวกของเธอน่ะ ?”
พอลองมาคิดๆดูแล้ว มันเป็นวิธีที่ง่ายมากเลยนะที่จะทำให้แวมไพร์มั่งคั่งร่ำรวยขึ้นมาได้น่ะ? มันเป็นคอมม่อนเซ้นส์เลยไม่ใช่เหรอ ?
“ฉันก็เคยคิดคล้ายๆกันอย่างนั้นแหละค่ะ แต่ในการสร้างสาวก ผู้สืบสายเลือดแบบนั้นฉันต้องรับความเสี่ยงที่มากเกินไป แถมยากมากที่จะสร้างสาวกขึ้นมาทั้งที่ยังปลอมตัวเป็นคนธรรมดา”
เอเลริสอาจเป็นแวมไพร์ที่แข็งแกร่งแต่ไม่ได้แปลว่า สาวกที่เธอสร้างนั้นจะแข็งแกร่งตามไปด้วย
เห็นได้ชัดเลยว่า มนุษย์ธรรมดาที่หลีกเลี่ยงแสงแดดและเลิกกินอาหารน่ะมันน่าสงสัยขนาดไหน
ไม่เลย
มันเป็นอะไรที่ยากเย็นแต่แรกแล้วกับการที่เหล่าแวมไพร์ที่เป็นชนชั้นสูงแห่งยามวิกาล จะต้องมาแฝงตัวเข้ากับสังคมมนุษย์ ?
หลังจากเอเลริสทำความสะอาดเรียบร้อยดีแล้วก็มองมาที่ผม
“ท่านคงจะหิวสินะคะ เดี๋ยวฉันไปเตรียมอาหารให้นะคะ .”
“หา ? อื้อ ….”
ปกติแวมไพร์ดื่มเลือดใช่ไหม? แล้วเธอจะมีพวกวัตถุดิบทำอาหารอยูที่นี่ด้วยเหรอ ?
และเป็นไปอย่างที่ผมกังวลไว้จริง เอเลริสนั้นสวมชุดคลุมที่มีฮู๊ด
“ฉันจะออกไปข้างนอกสักพักนะคะ”
“มะ,ไม่สิ เธอจะไม่เป็นอะไรแน่นะ ?”
เพียงเท่านั้น
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ”
เป็นเพราะผมแวมไพร์คนนี้ก็เลยต้องไปร้านขายของชำในช่วงกลางวันแสกๆ
ผมถึงกับทึ่งไปเลยกับการที่เธอพูดแบบนั้นออกมาง่ายๆ
ขอบคุณมากๆและผมต้องขอโทษด้วยที่ผมนั้นทั้งโง่ ทั้งช่วยอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง !
หลังจากนำสิ่งที่จะทำให้ผมทาน เธอก็ดูเหนื่อยล้าเป็นอย่างมากจนผมเกือบจะร้องไห้ออกมา