เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 12
เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 12
ต่อมาผมถึงได้รู้ว่า ร้านขายของในย่าน อัล ลิการ์ นั้นขึ้นชื่อว่าแย่มากในกลุ่มนักผจญภัยด้วยกัน เนื่องจากเต็มไปด้วยพ่อค้าไม่ซื่อสัตย์ที่มักจะบังคับให้ลูกค้าซื้อนั่นซื้อนี่ ,ไม่ให้คืนสินค้า ทั้งยังชาร์จทำกำไรกว่าสิบเท่าของราคาตลาดอีก
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นย่านการค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงจักรวรรดิและมีของจำเป็นสำหรับนักผจญภัยมากที่สุดที่สามารถหาได้ ดังนั้นแม้จะเป็นแหล่งรวมพวกชั่วร้ายแต่ก็เลี่ยงไม่ได้อยู่ดี
เอาล่ะๆ ,ดูไปมันก็เหมือนตลาดเก่ายงซานนั่นแหละนะ เพียงแค่เป็นเวอชั่นแฟนตาซีเฉยๆ
มันเป็นสถานที่ที่พวกนักผจญภัยฝึกหัดหน้าใหม่ทั้งหลายกลัวยิ่งกว่าดันเจี้ยนเสียอีก มันเป็นสถานที่ที่แค่เริ่มคิดเป็นนักผจญภัยก็อยากถอดใจแล้ว
เหยื่อโดยมากก็มักเป็นวัยรุ่นที่เป็นนักผจญภัยมือใหม่ที่ตั้งใจมาที่นี่เพื่อจะประหยัดตัง
นี่คือ อาการPTSDสินะ ? ผมรู้สึกว่าตัวเองสั่นไปทั้งตัวละ
ไอ้ห่าขั้วนั่นที่มันหลอกขาย MP3ให้กับผม ตอนนี้มันทำอะไรอยู่วะ ?
ขอให้แกมีชีวิตดีๆละกันเว้ย หากแกยังมีชีวิตแย่ๆทั้งที่ทำไปขนาดนั้นแล้ว มันก็น่าเศร้าไม่ใช่เรอะ เฮ่อ?
ใจเย็นไว้ก่อนดีกว่า ในบรรดานักเลงข้างถนนทั้งหลายผมก็เจอร้านอุปกรณ์เวทย์มนตร์ดีๆให้ขายคัมภีร์เสียที
ไม่หรอก,ทีแรกก็รู้สึกชิลอยู่หรอก แต่ดูเหมือนไม่ว่ายังไงมันก็ไม่น่าเป็นหนทางที่จู่ๆก็โรยด้วยกลีบกุหลาบขึ้นมาทันที
ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นแน่ เพราะจากที่ผมรู้จักยงซานดี
มีร้านรวงมากมายทั้งร้านอาวุธ ร้านชุดเกราะ ร้ายอุปกรณ์และอื่นๆ สิ่งที่ผมตามหาอยู่คือ ร้านอุปกรณ์เวทย์มนตร์
โดยทั่วไปร้านเวทย์ที่ผมตามหาก็น่าจะเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนทำเงินได้มากกว่าร้านค้าชนิดอื่น
“แกต้องการอะไร ? อย่ามาเที่ยวจับอะไรมั่วซั่ว ออกไปซะ”
ร้านส่วนมากที่ผมเข้าไปก็มักจะโดนเจ้าของร้านไล่ออกมา เพราะกลัวผมจะไปแตะโดนคัมภีร์แล้วเปิดใช้งานมัน แถมตัวผมยังดูไม่เหมือนกับนักผจญภัยด้วย
ร้านแรกเนี่ยเจ้าของยังพอใจดีบ้างให้ผมเข้าไปได้
แม้จะมีคนแปลกหน้ายอมให้ผมเข้าไป แต่ท่าทางตอบรับไม่ดีเลย
พ่อค้าก็มองคัมภีร์ที่ผมบอกว่าจะขายแล้วทำหน้างงๆ
“……นี่มันอะไรเนี่ย ? นี่แกจะขายไอ้นี่หาเงินเนี่ยนะ ? ฟังให้ดีนะไอ้หนู อย่าทำตัววุ่นวายให้มาก ข้าให้อย่างมากก็สองทองแดง”
อะไรวะ ?
นี่มันพวกแก๊งต้มตุ๋นรึเปล่าวะเนี่ย ? กล้าดีมากนะที่มาหักหน้าผมแบบนี้ ? ถึงผมจะไม่แน่ใจนักว่ามันถึงราคา 2 โกลด์ไหมแต่อย่างน้อยๆก็ควรให้ 1 โกลด์ปะวะ ? หมอนี่ไม่มีจิตสำนึกเหลืออยู่ในตัวเลยรึไงกันน่ะ ?
ผมไม่พูดอะไร คว้าคัมภีร์ของตัวเองแล้วจากไป ไอ้โจรปล้นทรัพย์พวกนี้ไม่มีค่าให้คุยด้วยหรอก
แต่ถึงอย่างนั้นท่าทีของเจ้าของร้านร้านถัดไปก็แย่ไม่ต่าง
“ฮ่าฮ่า , นี่มันอะไรกัน ? นี่ครั้งแรกเลยว่ะ ที่มีคนพยายามจะมาหลอกขายของกับข้าแบบนี้
อ่า วันนี้วันซวยชะมัด ไสหัว, ไอ้ห่า !”
แทบจะเตะโด่งผมออกจากร้านทันทีที่เห็นคัมภีร์
ไม่ใช่ครั้งเดียวนะ แต่เป็นสามครั้งติดๆ ผมเลยเริ่มคิดแล้วว่ามันแปลกๆ
เจ้าพวกนั้นหมายความว่ายังไงกันนะ ที่บอกว่าหลอกขายน่ะ ?
ร้านถัดไปก็ทำกับผมแบบนั้นเหมือนกัน ต่อจากนั้นก็โดนไล่อีกสองครั้งติดๆ พร้อมกับคำพูดที่ว่า “ไร้สาระชิบหาย?!”
“นี่แกคิดว่า คนที่นี่เขาทำธุรกิจกันได้ยังไงกันหา ? แกคิดว่าคนอื่นเขาแยกไม่ออกไม่มีตาเลยรึไงกัน ?!”
“แค่ขีดเขียนมั่วๆยึกยักๆอะไรประหลาดๆ ไปเรียนรู้การเขียนดีๆเสียใหม่ไป๊”
มีบางทีที่ตอบมาอย่างเป็นมิตร แต่มันก็ทำให้ผมใจดิ่งอยู่ดี
เขามองผมเหมือนเป็นเด็กบ้าที่พยายามจะต้มตุ๋มหลอกขายคัมภีร์เวทย์ปลอม
สถานการณ์ประหลาดยังคงดำเนินต่อไป และผลลัพธ์ที่ได้ก็แย่กว่าที่ผมคิดไว้
อะไรที่ คำแนะนำจากนักเขียนแนะนำไว้นี่มัน ไม่ไหวจริงๆ
อะไรทำให้เขาคิดว่า คัมภีร์ที่ผมเอามาด้วยนี่มันไม่ใช่ของจริงกันนะ หรือเพราะผมนั้นยังดูเด็กเกินไป ? หรือเห็นว่ามันเป็นของปลอมเพราะมันคล้ายเกินไปหรือเปล่า ?
หรือผมต้องแสดงให้เขาดูว่า มันใช้งานได้จริงๆนะ แต่หากผมใช้งานคัมภีร์แล้ว ก็เสียมันไปเปล่าๆน่ะสิ ผมจะมาผลาญเงินทุนตัวเองแบบนี้ไม่ได้
และถึงผมแสดงให้เขาดูแล้วเรียกเงินเป็นค่าตอบแทน ผมแน่ใจเลยล่ะว่า อีกฝ่ายก็คงไม่ยอมจ่าย
และร้านต่อไปก็ชวนให้ผมนอกลู่นอกทางมากขึ้นไปอีก
“โอ -โห ….”
เจ้าของร้านมองคัมภีร์ด้วยตาที่เป็นประกาย ผมคิดไว้แล้วว่า มันต้องมีใครสักคนล่ะน่าที่รู้คุณค่าของคัมภีร์พวกนี้
เอาจริงๆนะ ผมเหนื่อยล้าแล้วล่ะ ผมแค่อยากจะขายให้มันออกให้ได้แม้ว่าจะโดนกดราคาหนักก็ตาม
ชายคนนั้นล้วงลิ้นชักแล้วดึงคัมภีร์ออกมา
“นี่ , แกไม่ควรวาดแบบนี้นะ แต่ลองวาดตามแบบอันนี้ อันนี้และอันนี้ดู”
เขารู้ถึงคุณค่า
“หากแกสามารถวาดอะไรแบบนี้ได้อีก ข้าจะให้แผ่นละ 5 เงินเลยนะ ว่าไง ?”
ปัญหาก็คือ คุณค่าที่เขาเห็นน่ะคือ ในตัวผมไม่ใช่คัมภีร์น่ะสิ
ดูเหมือนหมอนี่จะเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว ทั้งยังพยายามคะยั้นคะยอให้ผมผลิตคัมภีร์ปลอมจำนวนมากออกมาเพื่อขาย
ผมถึงกับสตั้นท์ไปเลยกับความคิดสุดโฉดชั่วคนละมิติขนาดนี้
เจ้าของร้านได้เสนอราคาขึ้นไปเรื่อยๆ แม้ผมจะไม่ได้พูดอะไรสุดสุดท้ายเขาเสนอ แผ่นละ 1 โกลด์
ผมไม่เคยเจอคนสารเลวขนาดนี้มาก่อน
“โธ่ ,เอาน่าๆ ! ก็ได้ๆ ! แบ่งกัน 50/50! โอเคป่ะ ? แต่แกต้องหาเงินให้ข้าให้ได้เยอะๆนะ ? รู้ไหม แกเนี่ยน้า ทั้งที่ยังหนุ่มขนาดนี้แต่ก็พิษร้ายไม่เบาเลยนี่ …… ห้ะ”
มันเย้ายวนเหลือเกิน แต่ทำไม่ได้ เพราะผมไม่ใช่คนวาดพวกนี้ขึ้นมา ผมทำไม่ได้จริงๆ
อีกทั้งผมได้แต่อึ้งที่เห็นความโลภที่ผุดขึ้นมากมายจากความสามารถที่ผมไม่มี
เขาช่างเป็นไอ้ชั่วที่ผมอยากจะหาทางสั่งสอนลงโทษเขาเสียจริงๆ ก็ลองคิดดูสิ พวกคัมภีร์พวกนี้มีไว้ใช้ยามฉุกเฉิน แล้วจะเกิดอะไรขึ้นล่ะถ้ามันเป็นของปลอม คนที่เอาไปใช้ก็ต้องตายแน่เลยถูกไหมล่ะ ?
นี่แกกำลังล้อเล่นกับชีวิตคนเนี่ยนะ ? แกนี่มันช่างเป็นสุดยอดของสุดยอดสวะในหมู่สวะจริงๆ
ผมจบลงตรงที่ถอนใจแล้วส่ายหัว
“ได้, ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ผมค่อยเอาผลงานที่เสร็จแล้วมาให้ละกัน ?”
ก็ดูวงเวทย์รูปร่างที่ซับซ็อนแล้ว ไม่มีทางเลือกที่ผมจะลอกแบบทำซ้ำได้
“อะ,โอ้ ! ได้ , ได้! พรุ่งนี้แกเอามาที่นี่นะ ?”
“ดูเหมือนคงต้องโต้รุ่งแล้วล่ะ”
“แหม , ดีมาก ! ใช่เลย ! พอได้เงินมาข้าจะให้แกเลยนะ ! แบ่งกำไรกัน 50/50, ถ้าขายได้ เราจะแบ่งกัน ! จากนี้เราจะทำธุรกิจกันแบบนั้นนะ โอเคไหมคู่หู ?”
ถึงแกขายได้แกก็ไม่บอกผมหรอก ไอ้ระยำนี่
ผมออกจากร้านพ่อค้าชั่วนั่นพร้อมกับคัมภีร์ที่พ่อค้านั่นส่งให้
– แกกำลังจะทำให้ข้ามีโชคแล้ว !
เสียงที่ตามหลังมาทำเอาผมต้องถอนใจ
นี่มันอะไรกันเนี่ย ?
ไอ้นั่นในหัวมันมีแต่ความโลภอัดแน่น ? มันเป็นคนประเภทที่ตามืดบอดเพราะความโลภของตัวเองสินะ ?
ถึงยังไงก็เหอะ ผมก็ได้คัมภีร์เวทย์ไฟร์บอลมาฟรีๆแล้ว
ผมที่มาเพื่อจะขายคัมภีร์ แต่กลับได้กำไรพิเศษจากการได้คัมภีร์มาฟรีอีกอัน
ไฟร์บอลนั้นเป็นเวทย์โจมตี ผิดกับนิยายเรื่องอื่นที่มองว่า ไฟร์บอลนั้นเป็นเวทย์พื้นฐาน
ในโลกใบนี้ไฟร์บอลเป็นเวทย์ที่ทรงพลังมาก
ทำไมเวทย์ที่สร้างระเบิดตรงหน้าได้กลายเป็นเวทย์พื้นฐานไปล่ะฟะ ?
ผมมันไอ้คนหัวดื้อไง ก็เลยไม่สนใจไม่ใส่ใจเรื่องประวัติศาสตร์
ถึงอย่างนั้นเรื่องมันก็กวนใจผมอยู่ดี แต่ว่าก็ว่าเถอะ ผมไม่ได้คิดอะไรมากมายขนาดนั้น
นี่จะมีใครถือคัมภีร์ไฟร์บอลเดินไปเดินมาบ้างไหมนะ ? แล้วทำไมกฏหมายไม่สั่งห้ามล่ะ ? มันก็ประมาณว่า ขายร็อคเก็ทลันเชอร์แบบRPG-7S ริมถนนเลยไม่ใช่เหรอ ? มันก็เป็นระเบิดไดนาไม้ท์เวอชั่นแฟนตาซีไม่ใช่รึไง ?
แฟนตาซียุคกลางนี่มันแดนฝันของพวกเหล่าผู้ก่อการร้ายเลยนี่หว่า
อันที่จริงผมควรที่จะมีข้อกำหนดว่า คัมภีร์เวทย์มนตร์ห้ามซื้อขายในนิยายที่เขียนไว้ด้วย
ย้อนไปตอนนั้นผมไม่มีเหตุผลให้ต้องกังวลเรื่อง กฏหมายและข้อบังคับแต่มาตอนนี้ผมที่อาศัยอยู่ที่นี่น รู้แล้วว่า ตัวเองหละหลวมเกินไป
จริงอยู่ที่ผมไม่สามารถเขียนระบุทุกข้อกฏหมาย ของจักรวรรดิกาเดียสได้
ถึงอย่างนั้นกฏหมายจักรวรรดิเองก็ต้องมี และคงจะมีอยู่เยอะด้วย ใช่ว่าสิ่งที่ผมไม่อธิบายจะไม่มีอยู่สักหน่อย
มันเลยกลายเป็นว่าสิ่งแวดล้อมที่ใครๆก็ใช้คัมภีร์เวทย์ได้นี่กลายเป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยกับผม
มันอันตรายเกินไปแล้ว ….
คนอื่นต่างคิดว่า คัมภีร์เวทย์ของผมนั้นเป็นของปลอม
ผมไม่รู้เหมือนกันว่า ที่เขาคิดอย่างนั้นเพราะผมเป็นแค่เด็กที่ไม่รู้ว่าไปได้คัมภีร์มาได้ยังไงหรือเหตุผลอื่นกันแน่
สุดท้ายผมเดินเตร่ไปเจอร้านอุปกรณ์เวทย์มนตร์แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยนักเลง หรือบางทีผมควรจะตรวจสอบสินค้าที่ผมจะขายดูก่อนไหมนะ ว่ามีปัญหาหรือเปล่า
“อืม …… เธอ เป็นลูกค้าเหรอ ?”
แล้วก็มีคนผมกระเซิงคนหนึ่งที่กำลังนั่งหลับอยู่บนโต๊ะ เธอเงยหัวมาถาม ในร้านร้านคัมภีร์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นกระดาษและน้ำหมึก
เธอดูงุนง่วงมาก เหมือนกับไม่พร้อมจะทำธุรกิจซื้อขายอะไรเลยs.
“ผมมาที่นี่เพื่อขายคัมภีร์เวทย์”
“หา ? ขายคัมภีร์ ? เธอเนี่ยนะ ?”
“ใช่ครับ”
ผมเอาคัมภีร์ไฟร์บอลออกมาวางไว้ตรงหน้าเธอ
แม่ค้าหญิงกางคัมภีร์แล้วมองมัน ขมวดคิ้ว แล้วตีหัวผม
-ปัง!
“โอ๊ย ! แล้วจะมาตีผมทำไมเนี่ย ?!”
“มันอันตรายเกินไปที่จะให้เด็กมาถือของแบบนี้”
ผู้หญิงคนนี้คิ้วมุ่ยแล้วส่ายหัวราวกับไม่เชื่อ
“ปกติแล้วฉันจะไม่ซื้อของแบบนี้ แต่ฉันจะยอมซื้อมันจากเธอ แต่เธอห้ามถือของแบบนี้ไปไหนมาไหนอีกล่ะ”
เธอพูดประมาณว่า “เฮ่อ ช่วยไม่ได้นะ ยอมซื้อจากนายก็ได้” ช่างเป็นท่าทางที่เหมือนพวกแก๊งนักเลงซะเหลือเกิน
“4 โกลด์ ขัดขืนไม่ขายฉันไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ถึงยังไงฉันก็ไม่คืนสิ่งนี้ให้นายอยู่ดี”
อยู่ๆผมก็ได้เงินมามากกว่าที่วางไว้ตอนแรกเสียอีก
“อุ่….”
“ฉันจะไม่ถามนะ ว่านายไปได้นี่มาจากที่ไหน แต่จากนี้ไปห้ามถือเจ้าสิ่งนี้ไปไหนมาไหนอีกล่ะ ถ้าทำนายจะโดนดุด่า เข้าใจไหม ? ฉันจำหน้านายได้แล้วด้วย”
เธอไม่ใช่พวกนักเลงที่อยากบังคับขายของหากแต่เป็นพวกที่โดนบังคับให้ต้องซื้อ
ณ ตอนนั้นเองที่ผมเปลี่ยนชื่อในใจจาก ยัยนักเลงกลายเป็นคุณเจ้าของร้ายสุดสวย
ไม่สิๆ ไม่ใช่แล้วล่ะ ต้องเป็นสุดยอดคนสวยคนดีที่หนึ่งเลย
ถึงอย่างนั้นผมก็ถอนใจดังๆ
“ชิ , เด็กทุกวันนี้นี่ไม่ใช่รู้จักความน่ากลัวของเวทย์เอาเสียเลย”
ดูเหมือนเธอตั้งใจจะซื้อเพราะมันอันตรายจริงๆ เอาเถอะจะยังไงก็ตามผมก็ได้เงินแล้ว เย้
“ขอบคุณครับ”
ผมก้มหัวแล้วแล้วพยายามจะรีบออกจากร้านไป
ผมต้องใช้เงินนี้ซื้ออะไรสักอย่าง
แล้วก็ต้องระวังไม่ให้เงินโดนขโมย หรือโดนตัดราคาอีกผมคิดอะไรไว้มากมายเลยล่ะ
“เดี๋ยวก่อน”
เจ้าของร้านเรียกผม
“นายน่ะ , มานี่”
ด้วยสีหน้าที่อิดโรยเธอก็เรียกผมให้เข้ามาใกล้ๆ เธอมาจากด้านหลังเค้าท์เตอร์
“ทำไมนายถึงใส่มันไว้ในหนังสือคัมภีร์ล่ะ ? เอาออกมาให้หมด”
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองโดนจับได้คาหนังคาเขาเลย
“เอ่อ คือ ผม ….”
ดูเหมือนเธอตั้งใจจะเอาไปทั้งหมด หากผมยังมีพวกม้วนคัมภีร์เวทย์เหลือ เธอลากผมไปนัี่งที่เก้าอี้แล้วเอาหนังสือคัมภีร์ไป
“นี่นายไปขโมยของที่คนเขาทำหายไว้ใช่ไหม ?
แล้วไม่คิดจะส่งคืนเจ้าของ แถมยังคิดจะขายมันอีกสินะ ? เจ้าเด็กบ้านี่ สมควรโดนดุจริงๆ ”
เธอเดาะลิ้นพลางพูดว่า “เกิดอะไรขึ้นกับเด็กเดี๋ยวนี้กันนะ?” เหมือนเธอเชื่อไปแล้วว่า ผมไม่มีทางได้มันมาด้วยตัวเองอย่างแน่นอน
เอ่อก็นั่นแหละนะ,มันก็ชวนให้สงสัยจริงนั่นแหละ
เธอดึงคัมภีร์ออกมา คลี่ออก มองมันและมุ่ยคิ้วนิ่วหน้า
“……นี่มันอะไรกัน ?”
เธอดูงงงวย จากนั้นเธอก็กลับไปหลังเค้าท์เตอร์ กางคัมภีร์ไฟร์บอลที่ผมมอบให้เธอไป
“…นี่มันของจริง”
ณ ตอนนั้นเองที่ผมเข้าใจแล้วว่า มันน่าจะมีเหตุผลดีๆที่ว่า ทำไมพวกพ่อค้ามากหน้าหลายตาถึงได้คิดว่า ผมพยายามจะหลอกลวงขายของให้เขา
แม่ค้าคนนี้กางคัมภีร์ออกทีละม้วนทีละม้วนแล้วก็นิ่งอึ้งไป
เธอนั่งข้างๆผมแล้วโอบแขนรอไหล่ผม
“เด็กน้อย”
ไม่ ไม่ว่า ผมจะดูเด็กแค่ไหน แต่ผมไม่ใช่เด็กน้อยแน่ๆ
น้ำเสียงของผู้หญิงคนนี้หวานหยดย้อย
“..……คะ , ครับ ?”
“เธอควรจะตอบตรงๆนะ เข้าใจไหม ?”
นอกจากนี้ยังมองผมด้วยแววตาคมกริบราวกับจ้องทะลุตัวผม
“เธอน่ะเอาคัมภีร์ทั้งหมดนี่มาจากไหนกัน ?”
“คะ……ครับ ?”
“โครงสร้างทางเวทย์มนตร์พวกนี้เป็นของปีศาจ ทำไมนายถึงมีมันได้ล่ะ?”
คำแนะนำของผู้เขียนที่ชัดเจนโดยมากก็นำไปสู่ทั้งผลลัพธ์ที่ดีและผลลัพธ์ที่แย่
ผมว่าตอนนี้ ผมเข้าใจที่ความหมายที่มันบอกอย่างนั้นแล้วล่ะ