ระบบสินค้าลดราคาขั้นเทพ ตอนที่ 213 ชี้แนะหลัวฮ่วย
ระบบสินค้าลดราคาขั้นเทพ ตอนที่ 213 ชี้แนะหลัวฮ่วย
เมื่อเวลาผ่านไป
กะพริบตาเดียว ก็ล่วงเลยผ่านไปอีกหนึ่งวัน
ในตอนนี้ ท้องฟ้ามีแสงจางลงเป็นสีเทาไพล สิ่งต่าง ๆ โดยรอบช่างดูเย็นเยือกอยู่บ้าง
ที่อาณาเขตตระกูลหลัว
ในลานที่มีกลิ่นอายโบราณแห่งหนึ่ง
หลัวจิ่วเกอ ผู้เป็นบรรพบุรุษตระกูลหลัวกำลังกุมกระบี่ยาวเปื้อนสนิมคราบเขรอะอยู่ในมือ แกว่งไปมาอย่างเชื่องช้าในพื้นที่โล่งแห่งหนึ่ง
กระบี่ที่ดูดุจเศษขยะไร้ค่า
เมื่อแกว่งไปมาดูดุจธรรมดาสามัญ ตัวเขาก็ไม่สามารถทำให้รัศมีอำนาจใด ๆ เปล่งออกมาได้
ทว่าหากมีใครอยู่ที่นี่ ก็จะสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า กระบี่ยาวที่ดูธรรมดาสามัญ ไร้พลังที่น่าสะพรึงกลัวนี้
กลับสามารถฝากความหวาดกลัวที่ลึกล้ำลงไปในหัวใจของผู้คนได้
หลบหลีกหรือ?
คงทำได้เป็นแน่
ทว่าหากมีใครสักคน แม้จะบรรลุขอบเขตเทพแล้ว ก็ตาม แม้จะควบแน่นแก่นเทวะแท้จริง ฐานพลังยุทธ์บรรลุขอบเขตเทพชั้นต่ำแล้วก็ตาม
เกรงว่า ก็คงหลบเลี่ยงได้ยากเป็นแน่
เช่นเดียวกันหากต้องการขัดขวาง เมื่อกระบี่ยาวพุ่งตรงมา ก็ต้องทำให้ผู้คนได้สัมผัสถึงรัศมีอำนาจที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
และยังมี กลิ่นอายความตายที่ช่างทำให้คนหายใจไม่ออก
เมื่อเวลาผ่านไป
ประมาณครึ่งชั่วโมง
หลัวจิ่วเกอจึงค่อย ๆ หยุดลงอย่างเชื่องช้า นำกระบี่ยาวเปื้อนสนิมคราบเขรอะคืนกลับไป
นั่งลงใต้ซุ้มหิน
ใช้สายตามองไปยังหลัวฮ่วยที่ยืนอยู่ข้างกาย สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง เอ่ยคำเบา ๆ ว่า
"สัมผัสได้หรือไม่?"
"ได้อะไรบ้างหรือไม่?"
เมื่อได้ยินดังนั้น
หลัวฮ่วย ถอนหายใจเข้าลึก รวบรวมถ้อยคำ จึงค่อย ๆ กล่าวขึ้น
"ท่านบรรพบุรุษ"
"ข้าเคยคิดไว้ก่อนว่า การออกไปประสบการณ์ในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าจะยังไม่สามารถบรรลุความสูงส่งเช่นท่านได้ชั่วคราว"
"แต่การไล่ตามความเข้าใจของท่านเกี่ยวกับวิถีกระบี่ ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร"
"ทว่าบัดนี้ ข้ากลับพบว่าโดยกะทันหัน"
"วิสัยทัศน์ของข้าคงยังต่ำไป วิถีกระบี่คงจะไม่ง่ายดายเหมือนที่ข้าเคยจินตนาการไว้ ..."
หลัวฮ่วย ก้มหน้าต่ำลงเล็กน้อย
เสียงของเขาฟังดูอับจนหนทางอยู่มาก
เดิมทีเขาคิดว่า การออกไปประสบการณ์ในช่วงที่ผ่านมา
เมื่อเพิ่มฐานพลังยุทธ์มาถึงขอบเขตอมตะ 9 สวรรค์ ความเข้าใจในวิถีกระบี่ได้มาถึงระดับที่ค่อนข้างดีแล้ว
เขาคิดว่า ตนเองคงมีคุณสมบัติที่จะเงยหน้าขึ้น มองชายผ้าคลุมหลังของท่านบรรพบุรุษได้
เพียงแต่ไม่คิดเลยว่า ...
ท้ายที่สุด สิ่งที่เขาคิดไว้ก็เรียบง่ายเกินไป
วิถีกระบี่ จะมีความง่ายดายเหมือนที่เขาจินตนาการไว้ได้อย่างไร
เขาคิดว่าตนเองบรรลุถึงขอบเขตกลางภูเขาของวิถีกระบี่แล้ว เพียงแค่พยายามอีกเล็กน้อยก็จะสามารถไต่ระดับถึงยอดเขาได้ เทียบชั้นกับบรรพบุรุษของตนได้
ทว่าตอนนี้เขาถึงได้พบว่า
แท้จริงแล้ว ตนเองก็ยังไปไม่ถึงกึ่งกลางภูเขา
ณ เวลานี้ เขาเป็นเพียงนักเรียนผู้หลงใหลในตนเอง และโอหังเท่านั้น
"ท่านบรรพบุรุษ"
"ข้ารู้แล้ว"
"ต่อจากนี้ไป ข้าจะไม่หยุดเพิ่มพูนความเข้าใจต่อวิถีกระบี่"
"และข้าจะไม่หยุดเพิ่มพูนฐานพลังยุทธ์ของตนเองเช่นกัน"
ก้มศีรษะลงต่ำกว่าเดิมอีกครั้ง
จากนั้นหลัวฮ่วยก็ผละจากไป ค่อย ๆ หายลับไปจากลานแห่งนี้
ส่วนหลัวจิ่วเกอ?
ในฐานะบรรพบุรุษผู้ปกป้องตระกูลหลัว ผู้มีพลังลึกลับเหลือคณานับ
เขากำลังหรี่ตามองหลัวฮ่วยที่ค่อย ๆ ลับสายตาไปอย่างเงียบงัน
จับจ้องมองอยู่อย่างนั้น
"เฮ้อ ดูเหมือนว่าเจ้าหนูนี่ในที่สุดก็ตื่นขึ้นมาแล้ว"
"วิถีกระบี่ ..."
"จะให้เจ้าบรรลุถึงยอดเขาได้โดยง่ายดายได้อย่างไรกัน?"
"แม้กระทั่งข้าเอง บนเส้นทางวิถีกระบี่ ก็อาจจะเป็นได้เพียงผู้เล่าเรียนที่มีพลังอยู่บ้างเท่านั้น!"
เอ่ยพึมพำแล้ว
หลัวจิ่วเกอก็ส่ายหัว หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจกับหลัวฮ่วยอีก
กลับหันสายตากลับมา
มองไปยังชากระจ่างเต๋ารากเซียนที่กำลังลอยค้างอยู่เหนือหินและจ่อควันโขมงอยู่บนโต๊ะหิน
[ปุ๊ด ๆ]
[ปุ๊ด ปุ๊ด ...]
เสียงชาดือดดังขึ้น
กลิ่นหอมของใบชาลอยกระจายไปทั่ว
"หืม?"
"ชงเสร็จแล้ว?"
มองดูชากระจ่างเต๋าที่ยังคงเดือดอยู่ตรงหน้า
หลัวจิ่วเกอโบกมือ
ดับ[เปลวไฟอสูรกระดูกขาว]ที่ลุกโชติช่วงอยู่ใต้ชากระจ่างเต๋าให้มอดดับไป
พร้อมกันนั้นก็ล้วงเอาถ้วยชาไม้ออกมา
รินชากระจ่างเต๋าให้ตนเองหนึ่งถ้วย
ยกขึ้นจรดริมฝีปาก จิบอึกหนึ่งอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็หลับตาลงสัมผัสสายลมแผ่วเบาที่โชยมา
อืม!
ความรู้สึกนี้ ช่างสบายตัวเสียเหลือเกิน
เพียงแต่ ...
แคว้นพุทธในมณฑลซุยอวิ๋น ยังคงต้องการให้เขาจัดการเสียหน่อย
ส่วนเผ่ามนุษย์เงือกที่พื้นทะเลลึกนั่น?
เมื่อหลัวจิ่วเกอสังหารกองทัพมนุษย์เงือกนับหมื่นล้านไปแล้ว พวกมันก็คงจะไม่ยอมจบง่าย ๆ เป็นแน่
“ดูท่าจะมีความรู้สึกที่ว่าล้อมรอบไปด้วยศัตรูทุกทิศทุกทางเสียแล้วสิ”
หลัวจิ่วเกอหัวร่อยิ้ม
จากนั้นก็นั่งแช่อยู่ในความเงียบสงบแห่งชั่วขณะนั้น
รับรู้ถึงกระแสเวลาที่ไหลผ่าน
รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของฟ้าดิน ตลอดจนการกำเนิดและดับสูญของชีวิต
จิตใจ
พละกำลัง ...
ทั้งสองส่วนนี้ ก็เริ่มเพิ่มพูนอย่างรวดเร็วในชั่วขณะนี้
เมื่อเวลาผ่านพ้นไป
พริบตาเดียว เวลาอีกสามวันก็ล่วงเลยไป
ในช่วงเวลาสามวันนี้ มณฑลตงหวงตระกูลหลัวได้เรียกระดมผู้บำเพ็ญเพียรขอบเขตเซียนจากเมืองขนาดใหญ่พิเศษกว่าพันเมือง จัดตั้งเป็นกองทัพผู้บำเพ็ญเพียรขอบเขตเซียนนับหมื่นล้าน
เตรียมเรือเหาะขนาดใหญ่ระดับอาวุธเซียนขั้นสูงสุดนับแสนลำ
ตลอดจน ทรัพยากรอันมหาศาลทุกประเภท
ส่วนปืนใหญ่ถล่มฟ้านั่น?
เนื่องจากมีจำนวนที่หายากยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นการใช้งานก็ไม่ได้สะดวกสบายอะไรนัก
ดังนั้นจึงไม่ได้นำติดตัวไปด้วย
ด้วยเช่นนี้ เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเตรียมพร้อมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เหล่าเรือเหาะขนาดใหญ่ระดับอาวุธเซียนขั้นสูงสุดของมณฑลตงหวงตระกูลหลัวนับแสนลำ รวมทั้งกองทัพผู้บำเพ็ญเพียรขอบเขตเซียนนับหมื่นล้านนาย จึงพากันมุ่งหน้าไปยังมณฑลซุยอวิ๋นที่อยู่ติดกัน
ดูราวกับบดบังแสงตะวันจนมืดมิดไปหมด ค่อย ๆ กดดันเข้าไปช้า ๆ
ที่อาณาเขตตระกูลหลัว ภายในห้องที่ดูโล่งกว้างอยู่บ้างนั้น
หลัวเหริน ผู้เป็นจ้าวตระกูลหลัวคนปัจจุบัน
ในขณะนี้ กำลังนั่งสงบนิ่งอยู่บนตำแหน่งประมุข สีหน้าเรียบนิ่งยิ่งนัก
"ท่านจ้าวตระกูล กองทัพผู้บำเพ็ญเพียรขอบเขตเซียนนับหมื่นล้านได้ออกเดินทางแล้ว โดยมุ่งหน้าไปยังมณฑลซุยอวิ๋น"
ภายในห้อง สมาชิกตระกูลหลัวผู้มีชุดคลุมสีดำพลิ้วไหว
ฐานพลังยุทธ์บรรลุขอบเขตอมตะระดับปลาย
กำลังก้มหน้าลงเล็กน้อย รายงานสถานการณ์
"กองทัพผู้บำเพ็ญเพียรขอบเขตเซียนนับหมื่นล้าน ได้ออกเดินทางแล้วเช่นนั้นหรือ?"
เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้ว
หลัวเหรินก็ก้มศีรษะลงต่ำเล็กน้อย จมอยู่ในความครุ่นคิด
จนกระทั่งสมาชิกตระกูลหลัวที่สวมชุดคลุมสีดำผู้นั้นหายไปจากห้องนี้
หลัวเหริน ผู้เป็นจ้าวตระกูลหลัวคนปัจจุบัน
จึงค่อย ๆ ยกศีรษะขึ้นอย่างเชื่องช้า
มองไปทางมณฑลซุยอวิ๋น แววตาวาบวับไปด้วยความเย็นชา
"แคว้นพุทธ ..."
"ก่อนหน้านี้พันปี ตระกูลเราอดทนอดกลั้น แต่พวกเจ้ากลับได้ใจ"
"ในตอนนี้ กองทัพผู้บำเพ็ญเพียรขอบเขตเซียนนับหมื่นล้านของตระกูลเราได้เคลื่อนพล"
"หลังจากนี้ พวกเจ้าจะทำอย่างไรดีละ?"
เมื่อคิดได้เช่นนี้
ใบหน้าของหลัวเหรินจึงอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา
หากท่านบรรพบุรุษของตระกูลไม่อยู่ที่นี่
เขาอาจจะไม่กล้ามั่นใจว่าจะสามารถปราบแคว้นพุทธที่ยึดครองมณฑลซุยอวิ๋นได้
แต่หากว่า ท่านบรรพบุรุษลงมือด้วยแล้วไซร้
ดังนั้น พวกเขาที่อ้างตัวว่าเป็นพุทธศาสนานั่น
ก็คงจะไม่อาจต้านทานไหว!
ไม่ใช่เพราะสาเหตุอื่นใด เป็นเพราะเขามั่นใจในพลังของท่านบรรพบุรุษล้วน ๆ เลยทีเดียว
ท้ายที่สุดแล้ว ที่ตระกูลหลัวสามารถก้าวเดินมาถึงจุดนี้ได้ทีละก้าว ๆ
และควบคุมมณฑลตงหวงไว้ในมือของตระกูลหลัวได้
ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเพราะว่าตระกูลหลัวมีบรรพบุรุษที่มีพลังลึกลับยากจะหยั่งถึง จนทำให้ขุมกำลังต่าง ๆ บนทวีปซวนหยวนไม่กล้าลงมือ อยู่คุ้มครองนั่นเอง
ที่อาณาเขตตระกูลหลัว
ในลานที่มีกลิ่นอายโบราณแห่งหนึ่ง
หลัวจิ่วเกอ ผู้เป็นบรรพบุรุษตระกูลหลัว กำลังนั่งสงบนิ่งอยู่ใต้ซุ้มหิน
ตรงหน้าของเขานั้น มีน้ำชาหนึ่งกาที่ชงไว้อย่างดีแล้ว
ในมือของเขานั้น ก็กำลังกุมถ้วยชาไม้อยู่
ดื่มด่ำกับสายลมที่โชยกระทบใบหน้า แล้วจิบน้ำชากระจ่างเต๋าเป็นครั้งคราว ความรู้สึกเช่นนี้ต้องบอกว่าช่างสุดยอดยิ่งนัก