บทที่ 95 เมืองหลิงโจว
บทที่ 95 เมืองหลิงโจว
“ท่านปู่ ว่านเอ๋อไม่เข้าใจ ทำไมท่านถึงสนใจตระกูลเฉินเล็กๆ เช่นนั้น ตระกูลเฉินถึงแม้จะเชี่ยวชาญเรื่องการหลอมสร้างอาวุธวิเศษ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ระดับหนึ่งขั้นต่ำเท่านั้น เท่าที่ข้าทราบ พวกเขาไม่ค่อยมีอาวุธวิเศษระดับหนึ่งขั้นกลางวางจำหน่ายเลย นี่แสดงให้เห็นว่า ระดับช่างหลอมอาวุธของตระกูลเฉินนั้นต่ำมาก อีกอย่าง… พันธมิตรเซียนกวงอันของเรา ก็มีตระกูลอู๋อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
ภายในศาลา
ใบหน้าอันงดงามของหยางกงว่านเต็มไปด้วยความสงสัย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หยางหลินหยวนก็ส่ายหน้า “เป็นเพราะว่ามีตระกูลอู๋อยู่ พวกเราจึงยิ่งต้องการตระกูลช่างหลอมอาวุธที่มีศักยภาพ อย่างตระกูลเฉิน”
“นี่…”
หยางกงว่านขมวดคิ้ว “ท่านหมายความว่า ป้องกันไม่ให้ตระกูลอู๋ผูกขาดแหล่งที่มาของอาวุธวิเศษของพันธมิตรเซียนกวงอัน?”
“เตรียมพร้อมไว้ก่อนดีกว่า”
หยางหลินหยวนเเงยหน้าขึ้น มองไปที่ผิวน้ำในทะเลสาบที่ราบเรียบราวกับกระจก “คนภายนอกต่างก็คาดเดาว่า พันธมิตรเซียนกวงอันจะมุ่งเป้าไปที่ตระกูลโจว แต่พวกเรา ตระกูลอู๋และตระกูลจ้าวต่างก็รู้ดีว่า แม้พันธมิตรเซียนกวงอันจะรวมตัวกัน พวกเราก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลโจวอย่างแน่นอน สิ่งที่พวกเราทำ มันก็แค่รวมตัวกันเพื่อผลประโยชน์ส่วนหนึ่งของพวกเราเท่านั้น ส่วนการต่อต้านตระกูลโจวนั้น…”
หยางหลินหยวนส่ายหน้า
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หยางกงว่านก็เม้มริมฝีปากด้วยความไม่พอใจ และไม่พูดอะไรออกมา
หยางหลินหยวนดูเหมือนจะเกลี้ยกล่อมหยางกงว่าน และดูเหมือนจะพูดกับตัวเอง
“ในยุทธการด่านเจิ้นหนานเมื่อหลายปีก่อน ต่างก็ลือกันว่า ตระกูลโจวจากเมืองกวงอันสูญเสียมากที่สุด ขอบเขตคฤหาสน์ม่วงถึงหกคนเสียชีวิตในสนามรบ ความจริงแล้ว ตระกูลหยาง ตระกูลอู๋ และตระกูลจ้าวของพวกเราต่างหาก ที่เป็นสามตระกูลที่สูญเสียมากที่สุด เพราะสงครามครั้งนั้น พลังที่พวกเรากู้คืนมาอย่างยากลำบาก จากช่วงจลาจลของเสินเจวี๋ย ต่างก็ถูกกลบฝังไปจนหมดสิ้น”
พูดจบ หยางหลินหยวนก็หลับตาลงอย่างเจ็บปวด
ในยุทธการด่านเจิ้นหนานเมื่อห้าสิบปีก่อน ขอบเขตคฤหาสน์ม่วงสองคนของตระกูลหยางต่างก็เสียชีวิตในสนามรบ ขอบเขตคฤหาสน์ม่วงคนเดียวของตระกูลอู๋ก็เสียชีวิตเช่นกัน ผู้นำตระกูลจ้าวก็เสียชีวิตในมือของผู้ฝึกตนขอบเขตแก่นทองคำของพันธมิตรเสวียนชิงเต๋าเช่นกัน
สงครามครั้งนั้น…
อาจกล่าวได้ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจของเมืองกวงอันอย่างสิ้นเชิง
เนื่องจากตระกูลหยาง ตระกูลอู๋ และตระกูลจ้าว ต่างก็สูญเสียขอบเขตคฤหาสน์ม่วงไป นับแต่นั้นเป็นต้นมา พวกเขาจึงเทียบไม่ได้กับตระกูลโจวจากเมืองกวงอันอีกต่อไป
แม้ว่าตระกูลโจวจะสูญเสียขอบเขตคฤหาสน์ม่วงไปหกคน แต่ภายในตระกูลโจวยังคงมีขอบเขตคฤหาสน์ม่วงอีกเจ็ดคนที่คอยปกป้องอยู่
แม้ว่าพลังจะอ่อนแอลงมาก แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสถานะที่โดดเด่นของตระกูลโจวในเมืองกวงอันแม้แต่น้อย
แม้กระทั่งเนื่องจากตระกูลหยาง ตระกูลอู๋ และตระกูลจ้าวสูญเสียขอบเขตคฤหาสน์ม่วงไป อิทธิพลของตระกูลโจวในเมืองกวงอันก็ยิ่งขยายตัวมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผงาดขึ้นมาของโจวมู่ไป๋!
เปรียบเสมือนการฉีดยากระตุ้นหัวใจให้กับตระกูลโจว ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลโจวยิ่งใหญ่กว่าช่วงเวลาก่อนยุทธการด่านเจิ้นหนานเสียอีก
ตระกูลโจวในตอนนี้ หากพูดถึงอำนาจแล้ว พวกเขาเป็นรองแค่ช่วงเวลาที่รุ่งเรืองที่สุด ก่อนจลาจลของเสินเจวี๋ยเท่านั้น
เมื่อได้ฟังท่านปู่เล่าเรื่องราวความรุ่งเรืองและตกต่ำของตระกูล หยางกงว่านก็อดไม่ได้ที่จะนิ่งเงียบ
นางรู้ว่าท่านปู่กำลังจะพูดอะไรต่อไป
แน่นอน…
หยางหลินหยวนพูดพลางเปลี่ยนหัวข้อ “เสี่ยวว่าน เจ้าไม่เหมือนกัน เจ้าเป็นผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในรอบพันปีของตระกูลหยางของพวกเรา ไม่เพียงแต่เจ้ามีรากจิตวิญญาณระดับสวรรค์เท่านั้น เจ้ายังมีธาตุน้ำในกายจิตวิญญาณห้าธาตุอีกด้วย ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า ตราบใดที่เจ้าเต็มใจ ขอบเขตคฤหาสน์ม่วงหรือแม้แต่แก่นทองคำก็ล้วนอยู่ในกำมือ คนภายนอกต่างก็พูดกันว่า โจวมู่ไป๋เป็นอัจฉริยะที่พบเจอได้ยากในรอบพันปีของเมืองกวงอัน แต่ในความคิดของข้า เจ้าไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลยแม้แต่น้อย!”
เมื่อได้ยินคำชมของท่านปู่ หยางกงว่านไม่เพียงแต่ไม่ดีใจ กลับนางรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย
นางรู้ว่า ต่อไปท่านปู่จะต้องเกลี้ยกล่อมนางอย่างแน่นอน
หยางหลินหยวนหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดต่อ “แม้ว่ามือกระบี่จะมีพลังโจมตีเป็นเลิศในระดับเดียวกัน แต่ด้วยกายจิตวิญญาณธาตุน้ำของเจ้า หากฝึกฝนวิชาธาตุน้ำโดยเฉพาะ ก็ไม่จำเป็นต้องอ่อนแอกว่ามือกระบี่มากนัก ทำไมเจ้าถึงต้องยึดติดเช่นนี้?”
เมื่อได้ยินคำถามนี้้ หยางกงว่านก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “สิบปี! ขอเวลาข้าอีกแค่สิบปี หากภายในสิบปีหากข้ายังคงไม่สามารถบรรลุเจตจำนงกระบี่ได้ ข้าจะเลือกทะลวงไปสู่ขอบเขตคฤหาสน์ม่วง ท่านปู่ ข้าก้าวขาข้างหนึ่งไปที่หน้าธรณีประตูเจตจำนงกระบี่แล้ว ขาดอีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น หากต้องล้มเลิกตอนนี้ ข้าคงไม่ยินยอมอย่างแน่นอน!”
“เฮ้อ.. สิบปีก่อน เจ้าก็พูดแบบนี้”
หยางหลินหยวนพูดพลางส่ายหน้า นางไม่พูดอะไรต่ออีก
เจตจำนงกระบี่จะบรรลุได้ง่ายดายเช่นนั้นเชียวหรือ?
มิฉะนั้น ในเมืองกวงอันทั้งหมด คงไม่มีใครสามารถบรรลุเจตจำนงกระบี่ได้ในขอบเขตหลอมรวมพลังปราณ นอกจากเซียนกระบี่กวงอันอย่างโจวมู่ไป๋หรอก
เมื่อเห็นว่าท่านปู่ไม่พอใจ หยางกงว่านก็ออดอ้อนขึ้นมาทันที “ท่านปู่อย่าโกรธเลยนะเจ้าค่ะ! ว่าแต่ เรื่องที่ท่านเคยบอกข้าก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับการให้ยืมเส้นพลังปราณแก่ผู้ฝึกตนอิสระโดยไม่คิดมูลค่าภายในรัศมีหมื่นลี้ของเกาะจินอู่ เรื่องนี้เป็นมายังไงหรือเจ้าคะ?”
เมื่อเห็นหยางกงว่านเปลี่ยนเรื่องอย่างจงใจเช่นนี้ หยางหลินหยวนก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนใจ แล้วใช้นิ้วชี้ไปที่นาง “เจ้าเนี้ยนะ!”
หยางกงว่านยิ้มอย่างน่ารัก ดวงตางดงามมีเสน่ห์หรี่ลงเล็กน้อย
แม้ว่าหยางหลินหยวนจะจนใจ แต่ก็ยังคงอธิบายว่า “การให้ยืมเส้นพลังปราณแก่ผู้ฝึกตนอิสระโดยไม่คิดมูลค่าภายในรัศมีหมื่นลี้ของเกาะจินอู๋ เป็นวิธีเดียวที่พวกเราจะแข่งขันกับตระกูลโจวได้”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อ “สำหรับผู้ฝึกตนอิสระในเมืองกวงอัน ปัจจัยที่ใหญ่ที่สุดที่ขัดขวางการยกระดับพลังของพวกเขา ไม่ใช่โอสถจิตวิญญาณที่ช่วยในการบำเพ็ญเพียร และไม่ใช่สมบัติวิเศษที่ช่วยในการบำเพ็ญเพียรอย่าง… ไข่มุกจิตวิญญาณวารี แต่เป็นพลังปราณที่เป็นพื้นฐานที่สุดต่างหาก! สำหรับผู้ฝึกตนอิสระทั่วไป การได้บำเพ็ญเพียรในสถานที่ที่มีเส้นพลังปราณ ถือเป็นความปรารถนาสูงสุดของพวกเขา ทำไมผู้ฝึกตนอิสระถึงชอบแห่กันไปที่เมืองกวงอันเจ้ารู้ไหม? มันก็เพราะเส้นพลังปราณระดับสามที่เมืองเซียนกวงอันยังไงล่ะ? แต่เส้นพลังปราณระดับสามเพียงเส้นเดียว แบ่งให้ผู้ฝึกตนอิสระหลายแสนคน แต่ละคนจะได้ส่วนแบ่งมากน้อยแค่ไหน? ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลโจวยังใช้ค่ายกลรวบรวมพลังปราณ สร้างถ้ำบำเพ็ญเพียรต่างๆ ในจุดรวมพลังปราณที่ดีที่สุด แล้วนำออกมาให้เช่าอีกด้วย”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หยางหลินหยวนก็ส่ายหน้า ดูเหมือนจะดูถูกพฤติกรรมที่เอาเปรียบทุกวิถีทางของตระกูลโจวอย่างมาก
“ส่วนพันธมิตรเซียนกวงอันของพวกเราที่สร้างเส้นพลังปราณ เพื่อให้ผู้ฝึกตนอิสระใช้โดยไม่คิดมูลค่า ในระยะสั้นอาจดูเหมือนขาดทุนมาก แต่ในระยะยาวแล้ว ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง”
หยางหลินหยวนพูด ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ “อย่างแรก เส้นพลังปราณของพวกเราไม่ได้ให้ใช้ฟรีๆ ผู้ฝึกตนอิสระที่ต้องการใช้เส้นพลังปราณของพวกเราบำเพ็ญเพียร จะต้องเปิดพื้นที่เพาะปลูกพืชจิตวิญญาณและปลูกสมุนไพรจิตวิญญาณภายในเส้นพลังปราณ อย่างที่สอง พวกเราสามารถให้ผู้ฝึกตนอิสระยืมเงินได้ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ฝึกตนอิสระได้ทำเช่นนี้ รอจนกระทั่งผู้ฝึกตนอิสระเก็บเกี่ยวข้าวจิตวิญญาณ หรือสมุนไพรจิตวิญญาณ และทรัพยากรบ่มเพาะอื่นๆ จากนั้นนำทรัพยากรเหล่านี้มาขายในเมืองเซียนของพันธมิตรเซียนกวงอันของพวกเรา พวกเราไม่เพียงแต่จะแก้ปัญหาทรัพยากรได้ แต่ยังสามารถเรียกคืนเงินที่ให้ยืมไปก่อนหน้านี้ได้อีกด้วย ด้วยวิธีนี้ พวกเราไม่เพียงแต่จะกระตุ้นเมืองเซียนที่สร้างขึ้นใหม่ ทว่ายังช่วยแก้ปัญหาทรัพยากรต่างๆ ของเมืองเซียนได้อีกด้วย มาตรการนี้ ถือเป็นสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ ทั้งพันธมิตรเซียนกวงอันของพวกเราและกลุ่มผู้ฝึกตนอิสระ เพียงแต่การจะทำเช่นนี้ การลงทุนในช่วงแรกจะต้องใช้จ่ายเป็นจำนวนมหาศาล นี่จึงเป็นเหตุผลที่ตระกูลหยางของเราต้องก่อตั้งพันธมิตร เพราะหากอาศัยเพียงตระกูลหยางของเราเพียงตระกูลเดียว ย่อมไม่มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ”
หยางกงว่านฟังไปพลางวิเคราะห์คำพูดของหยางหลินหยวนอย่างถี่ถ้วน ดวงตางดงามมีเสน่ห์ก็ยิ่งเปล่งประกายมากขึ้นเรื่อยๆ
ในเวลานี้ นางต้องยอมรับเลย แม้ว่าท่านปู่จะมีคุณสมบัติในการบำเพ็ญเพียรด้อยกว่านางมาก แต่หากพูดถึงวิสัยทัศน์อันยาวไกลแล้ว ท่านปู่เป็นผู้นำตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผุ้นำตระกูลหยางรุ่นก่อนๆ อย่างแน่นอน
แต่แล้วก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ หยางกงว่านขมวดคิ้ว “แต่ว่า หากตระกูลโจวทำตามพวกเราล่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้านี่ล่ะก็!”
หยางหลินหยวนหัวเราะ “ทำไมถึงมองตระกูลโจวเป็นศัตรูเหมือนกับคนภายนอกเล่า? แม้ว่าตระกูลโจวจะใจกว้างพอที่จะทำตามพวกเราจริงๆ แต่พวกเราก็มีข้อได้เปรียบในการเริ่มต้นก่อน ผู้ฝึกตนอิสระหลายล้านคนในเมืองกวงอัน พันธมิตรเซียนกวงอันของพวกเราจะดึงดูดผู้ฝึกตนอิสระไม่ได้แม้แต่คนเดียวเชียวหรือ? ตราบใดที่พวกเราสามารถดึงดูดมาได้แม้เพียงหนึ่งในสิบ พวกเราก็ถือว่าชนะแล้ว! เพราะก่อนหน้านี้ พวกเรายังไม่มีแม้แต่หนึ่งในสิบเลย!”
ใช่แล้ว!
ดวงตาของหยางกงว่านเป็นประกาย ทำไมต้องมองตระกูลโจวเป็นคู่แข่งด้วยเล่า?
สิ่งที่หยางหลินหยวนทำ มันคือแผนการที่เปิดเผย ไม่ว่าตระกูลโจวจะทำอย่างไร พันธมิตรเซียนกวงอันก็จะไม่ขาดทุน
เพราะเส้นพลังปราณที่สร้างขึ้นมา มันจะวิ่งหนีไปได้อย่างไรกัน?
นำเส้นพลังปราณมาประเคนให้แก่ผู้ฝึกตนอิสระใช้โดยไม่คิดมูลค่า ผู้ฝึกตนอิสระจะไม่ใช้เชียวหรือ?
ตราบใดที่ผู้ฝึกตนอิสระเต็มใจใช้เส้นพลังปราณที่พันธมิตรเซียนกวงอันสร้างขึ้นมา ด้วยการสนับสนุนจากกลุ่มผู้ฝึกตนอิสระ เมืองเซียนของพันธมิตรเซียนกวงอันก็ยากที่จะไม่รุ่งเรือง!
“ท่านปู่ ไม่ทราบว่าท่านตั้งชื่อเมืองเซียนของพวกเราว่าอะไรหรือเจ้าคะ?”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของหยางหลินหยวน หยางกงว่านก็คลายใจลงโดยสิ้นเชิง แล้วอดไม่ได้ที่จะถามชื่อของเมืองเซียนที่กำลังจะสร้างขึ้นแห่งนี้
“ส่วนชื่อน่ะ…”
หยางหลินหยวนมองไปที่ผิวน้ำที่สงบนิ่ง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เมืองเซียนกวงอันมีการห้ามออกจากเคหสถานหลังเที่ยงคืนทุกคืน ข้าหวังว่าเมืองเซียนของพวกเราจะกลายเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล และไม่มีการห้ามออกจากเคหสถานหลังเที่ยงคืน ดังนั้น ข้าเรียกมันว่า เมืองหลิงโจวแล้วก็กัน!”
(灵昼 แปลตรงตัวว่า จิตวิญญาณกลางวัน แต่ในที่ี่มีความหมายคือ มีชีวิตชีวาทั้งวัน)