บทที่ 35 ลู่จือเวยหลอมสร้างอาวุธ ขยายสวนยา
ลู่จือเวยปิดตัวฝึกตนเพื่อหลอมสร้างอาวุธ
ในวันต่อมา ห้องหลอมสร้างอาวุธมีเสียงดังขึ้นเป็นระยะ ทำให้ลู่หยวนซานยืนฟังอย่างใส่ใจ
เสียงไม่ดังมาก นับเป็นปรากฏการณ์ปกติ เพราะการหลอมสร้างอาวุธก็เป็นแบบนี้
สิ่งที่ควรกล่าวถึงคือ ในกระบวนการหลอมสร้างอาวุธ ไม่ได้มีเพียงลู่จือเวยที่อยู่ในห้องหลอมสร้างอาวุธเท่านั้น
ในฐานะร่างจิตวิญญาณ ลู่ผิงเข้าไปในห้องหลอมสร้างอาวุธหลายครั้ง เพื่อสังเกตการณ์กระบวนการหลอมสร้างอาวุธของลู่จือเวย
การหลอมสร้างอาวุธแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนหลักๆ คือ การคัดเลือก การหลอมละลาย การขึ้นรูป และการจารึกแผนภูมิ
การคัดเลือกคือการแยกประเภท เลือกวัสดุหลอมสร้างอาวุธที่มีคุณภาพดี เตรียมการก่อนหลอมสร้าง หากขั้นตอนนี้ทำเสร็จก็สามารถเริ่มหลอมละลายได้
การหลอมละลายคือการหลอมรวมวัสดุหลอมสร้างอาวุธประเภทต่างๆ เช่น การหลอมโลหะให้กลายเป็นของเหลว หรือการหลอมวัสดุเหลวเข้าไปในวัสดุของแข็ง ขั้นตอนนี้สำคัญมาก จะละเลยไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
การขึ้นรูปคือการปั้นรูปทรงให้กับของเหลวเป็นรูปแบบอาวุธต่างๆ เช่น ดาบ โล่ หอก เป็นต้น
ขั้นตอนสุดท้ายคือการจารึกแผนภูมิ ขั้นตอนนี้จะผสมผสานฝีมือของนักวางแผนไว้บ้าง ต้องจารึกแผนภูมิลงบนอาวุธวิญญาณที่ขึ้นรูปเสร็จแล้ว เพื่อให้สามารถแปลงพลัง เก็บพลัง ปะทุพลังอำนาจ จารึกจิตใจรับรู้เจ้าของได้
หัวหน้าช่างหลอมสร้างจะต้องศึกษาความรู้ของนักวางแผนไว้บ้าง เพราะการจารึกแผนภูมิเป็นขั้นตอนสำคัญที่ขาดไม่ได้เวลาหลอมสร้างอาวุธ
เมื่อจารึกแผนภูมิเสร็จ ก็จะถือว่าอาวุธวิญญาณหลอมสร้างสำเร็จ
อาวุธวิญญาณมีอีกชื่อหนึ่งคือ อาวุธวิเศษ แต่มีความหมายเหมือนกัน
ในสายตาของคนภายนอก การหลอมสร้างอาวุธเป็นงานที่น่าเบื่อมาก กินเวลานานสุดๆ
อาวุธวิเศษยิ่งมีขั้นสูง ก็ยิ่งหลอมสร้างยาก ต้องใช้วัสดุมากขึ้น เงื่อนไขการหลอมสร้างก็ยิ่งเข้มงวดพิถีพิถัน
ในตำนานเล่าว่าเวลาเซียนหลอมสร้างอาวุธวิเศษ ต้องค้นหาทองคำเซียนและศิลาเต๋าจำนวนมากมายหลายหมื่นปี
สำหรับการหลอมสร้างอาวุธ ลู่ผิงรู้แค่เล็กน้อย มีระดับทักษะพอๆกับลู่จือเวย ในระดับชั้นหนึ่งเยี่ยม ไม่สามารถสอนการหลอมสร้างได้
มองเห็นว่ากระบวนการหลอมสร้างอาวุธของลู่จือเวยราบรื่นดี ลู่ผิงก็ไม่ได้กังวลอะไรมากนัก
วิธีการหลอมสร้างของนางก็พอใช้ได้ ไม่ได้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ
สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องหลอมสร้างค่อนข้างครบครัน
เช่นมีไม้เนื้อดำสนิท ชุ่มชื้นไปด้วยปราณจำนวนมากเก็บไว้ที่นี่
ไม้เหล่านี้ไม่ใช่ไม้ธรรมดาแต่เป็นไม้หยางเพลิงของนิกายฉาวเทียนแคว้นฉู่ สามารถนำมาเผา ใช้หลอมสร้างอาวุธวิญญาณขั้นที่ 1 ได้
ไม้หยางเพลิงราคาถูกมาก แค่หินวิญญาณหนึ่งก้อนก็ซื้อได้ถึงหนึ่งมัดแล้ว ประมาณร้อยท่อนเลยทีเดียว
นิกายฉาวเทียนมีป่าไม้หยางเพลิงผืนใหญ่ ปลูกไม้หยางเพลิงไว้มากมาย และจะขายออกไปทุกปี เหมาะอย่างยิ่งสำหรับตระกูลหรือนิกายเล็กๆที่ไม่มีตาไฟหลอมสร้างในตัว ไม่มีแหล่งกำเนิดไฟหลอมสร้างจากภูเขาเส้นเลือดมังกร
ไม้หยางเพลิงเมื่อเผาแล้วจะให้อุณหภูมิสูงมาก เทียบเท่าไฟหลอมสร้างอาวุธที่หัวหน้าช่างหลอมสร้างขั้นที่ 1 ก่อกำเนิดขึ้นภายในร่างกายได้เลย
ถ้าต้องการหลอมสร้างอาวุธวิญญาณขั้นที่ 2 ไม้หยางเพลิงให้อุณหภูมิไม่ถึงมาตรฐานที่ต้องการ ไม่สามารถใช้เป็นแหล่งไฟหลอมสร้างได้ จำเป็นต้องซื้อไม้หลอมสร้างอาวุธระดับสูงกว่านี้
ไม้หยางเพลิงเหล่านี้เดิมทีเป็นไม้ที่นิกายชิงซานใช้ในการฝึกศิษย์หลอมสร้างอาวุธ
ศิษย์หลอมสร้างอาวุธเพราะทักษะในการหลอมสร้างอยู่ในระดับต่ำ ไม่สามารถก่อกำเนิดไฟหลอมสร้างอาวุธในร่างกายได้ ต้องพึ่งสิ่งของภายนอกอย่างไม้หยางเพลิงในการสร้างแหล่งไฟหลอมสร้าง เพื่อใช้เรียนรู้การหลอมสร้างอาวุธ
ลู่จือเวยไม่จำเป็นต้องใช้ไม้หยางเพลิงอย่างชัดเจน
เก็บไม้เหล่านี้ไว้ เพื่อใช้ในการฝึกศิษย์หลอมสร้างอาวุธในอนาคต ทรัพยากรของนิกายสามารถเก็บเศษเงินได้ทีละเล็กทีละน้อย
ในช่วงหลายวันต่อมา บรรยากาศภายในนิกายเงียบสงบ
หลังจากมีเหตุด้วงทำลายในไร่ปลูกพืชวิญญาณ นิกายก็ให้ความสำคัญกับไร่ปลูกพืชวิญญาณมากขึ้น
ขณะที่หลี่จื่อชี่กับจั๋วหลัวรักษาตัวอยู่ ลู่หยวนซานก็ส่งศิษย์อีกสามคนไปช่วยเฝ้าไร่ปลูกพืชวิญญาณเพิ่มเติม
และในระหว่างที่ไร่ปลูกพืชวิญญาณทำความสะอาดเรียบร้อยในช่วงไม่กี่วันนี้ ก็ได้ทำการค้นหาทั่วบริเวณ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีศัตรูพืชตัวใหม่มาคุกคามอีก
โดยรวมแล้ว ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี
เพราะพบเจอตั้งแต่ในช่วงแรก การปรากฏตัวของด้วงจึงไม่ได้สร้างความเสียหายมากนักให้แก่ไร่ปลูกพืชวิญญาณ
ภายนอกไร่ปลูกพืชวิญญาณที่โรงเลี้ยงเป็ด เป็ดขนเหลืองก็กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนทุกวัน รวมฝูงกลับเข้ามาในไร่ปลูกพืชวิญญาณ ทำหน้าที่ของพวกมันต่อไป
ส่วนลู่หยวนซานเองก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เขาหยิบเมล็ดยาวิเศษที่ลู่ฉางเฟิงไปซื้อมาจากตลาดชิงเหอ อย่างหญ้าชำระใจ เห็ดเมฆม่วง ไปปลูกที่สวนยา
หลังไร่ปลูกพืชวิญญาณกลับมาสงบแล้ว สิ่งที่นิกายต้องทำต่อไปคือการขยายสวนยา ปลูกยาวิเศษให้มากขึ้น
ตอนที่ลู่หยวนซานมาถึงสวนยา เช่อชิงชิงกำลังกอดหนังสือ 'บันทึกสายน้ำสีน้ำเงิน' นั่งอ่านอย่างเงียบๆอยู่ใต้ศาลาหญ้า
สองวันนี้ การดูแลสวนยาค่อนข้างสบาย
แต่เดิมการเฝ้าระวังและดูแลจัดการสวนยาไม่ใช่เรื่องเหนื่อยยากอะไร ขอแค่เช่อชิงชิงจัดเวลาให้ดี ทุกวันจะมีเวลาว่างครึ่งวันกว่าๆ
ในหนึ่งเดือน งานกำจัดแมลง รดน้ำ ตัดแต่ง และอื่นๆรวมกันแล้ว เวลาวุ่นวายจะไม่เกินสิบวัน
ก็นั่นแหละ ตอนยาวิเศษมีผลผลิตออกมามากๆ จะวุ่นหน่อย แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้เป็นเช่อชิงชิงคนเดียวที่ยุ่ง
ลู่หยวนซานจะส่งศิษย์ไปช่วยเหลือเช่อชิงชิง
อย่างไรนิกายก็ต้องพึ่งพาสวนยาแห่งนี้ในการทำกำไรให้กับนิกาย การเก็บเกี่ยวผลผลิตยาวิเศษจะยอมให้ล่าช้าไม่ได้ ยิ่งเร็วยิ่งดี
และแท้จริงแล้วยาวิเศษที่นิกายปลูกมีไม่มาก
สวนยาสามหมู่ ปลูกยาวิเศษไม่กี่ชนิด ส่วนมากจะเป็นหญ้าชำระใจ เถามู่หลาน และเห็ดเมฆม่วง ซึ่งเป็นยาวิเศษขั้นที่ 1 ที่ปลูกเก็บเกี่ยวได้รวดเร็ว ใช้เวลาแค่ปีเดียว
หากเป็นยาวิเศษที่มีขั้นสูงขึ้น หรือมีราคาค่อนข้างแพง จะใช้เวลาขึ้นต่ำสามถึงห้าปีจึงจะสุกงอม
นิกายตอนนี้ตกต่ำ ขัดสน ไม่มีเวลาสามถึงห้าปีรอให้สวนยานำผลกำไรมาให้ การเก็บเกี่ยวยาในสวนยาปีละครั้งเห็นทีจะเข้ากับการพัฒนานิกายกว่า
และพอมีหญ้ารากจันทร์และต้นท้อวิเศษแล้ว รายได้จากสวนยาในช่วงหลายปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นมาก
เพียงแค่ดูแลอย่างดีเท่านั้น ต้นท้อวิเศษต้นเดียวก็สามารถสร้างผลกำไรเป็นก้อนโตให้กับนิกายได้
การให้ผลผลิตของท้อวิเศษ ยังสามารถใช้เป็นทรัพยากรในการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรให้ศิษย์ได้อีกด้วย
สามารถกล่าวได้ว่า ตอนนี้พืชวิญญาณที่มีค่าและสำคัญที่สุดในสวนยาคงเป็นต้นท้อวิเศษ
อย่าลืมด้วยว่า ดอกท้อของต้นท้อวิเศษสามารถนำไปทำเหล้าท้อวิเศษได้ นี่ก็เป็นรายได้อีกทางหนึ่ง
เมื่อลู่หยวนซานมาถึง เช่อชิงชิงแม้จะอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ แต่ก็ยังได้ยินเสียงฝีเท้า
วางตำราลง เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นลู่หยวนซาน
"ท่านอาจารย์ใหญ่"
นางรีบลุกขึ้นยืนคำนับ
"อืม"
ลู่หยวนซานหัวเราะพลางพยักหน้า สายตากวาดมองตำรา 'บันทึกสายน้ำสีน้ำเงิน' บนโต๊ะ
เขาเคยได้ยินมาว่านิกายกำลังจะฝึกหัวหน้าช่างปรุงยาคนใหม่ เรื่องนี้เขารู้มาจากลู่จือเวย
ตอนกลางคืนวันที่เริ่มฝึกเช่อชิงชิงให้เป็นหัวหน้าช่างปรุงยา ลู่จือเวยก็ไปพบลู่หยวนซาน เล่าเรื่องที่ท่านพ่อต้องการฝึกเช่อชิงชิงเป็นหัวหน้าช่างปรุงยาให้ลู่หยวนซานโดยไม่ปิดบัง
ในฐานะที่ลู่หยวนซานเป็นประมุขนิกาย การรู้เรื่องนี้นับเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นลู่จือเวยจึงไปบอกเล่าเองโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งคำสั่งของลู่ผิง