บทที่ 34 พ่อนี่มันเปิดโกงใช่ไหมเนี่ย
ลู่ผิงที่เคยจ่ายเงินเป็นเรือล่มขนาดใหญ่ ตอนนี้กลับกลายเป็นประหยัดไปบ้าง
ดูเหมือนนิสัยของพ่อจะเปลี่ยนไปบ้างหลังจากปิดตัวฝึกตนมาสามสิบปี
ลู่จือเวยคิดในใจเช่นนี้
แท้จริงแล้ว ลู่ผิงเหรอจะประหยัด
หากเขารู้ว่าลู่จือเวยคิดเช่นนี้ในใจตอนนี้ ต้องหัวเราะจนตาปิดแน่
หากจะออกจากการปิดตัวฝึกตนได้ เปิดผนึกด้านนอกถ้ำปิดตัวฝึกตน นำยาวิเศษและอาวุธวิญญาณข้างกายส่วนหนึ่งมาให้พวกเจ้า จะยังคงเก็บแขนเคียวคู่นี้ไว้อีกเหรอ
สุดท้ายแล้ว ก็เพราะนิกายจน
ในขณะเดียวกัน การปรากฏตัวของราชันตั๊กแตนตำข้าวก็ทำให้ลู่ผิงได้เรียนรู้บทเรียนนี้
โชคดีที่ไม่มีเหตุการณ์ศิษย์เสียชีวิต
ต่อไปให้ปรับปรุงทรัพยากรของนิกาย ต้องแจ้งล่วงหน้า ทำการเตรียมการให้ดี
หลังจากแก้ปัญหาแมลงร้ายในไร่ปลูกพืชวิญญาณได้แล้ว ลู่ผิงก็ติดต่อกับลู่หยวนซานทันที บอกเรื่องที่ระดับของไร่เพิ่มขึ้นหลังจากการยกระดับ และข้าววิญญาณก็มีระดับถึงชั้น 2 เหมือนกัน กำชับว่ารู้แค่นี้ก็พอ ไม่ต้องเผยแพร่ไปทั่ว
สุดท้ายแล้ว การที่ในระยะเวลาอันสั้น ทำให้ไร่ระดับ 1 เลื่อนขึ้นถึงระดับ 2 รวมทั้งข้าววิญญาณก็ถึงระดับ 2 สิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้ หากไม่ใช้ความช่วยเหลือของระบบแล้ว แม้แต่ลู่ผิงเองก็ทำไม่ได้
หากข่าวเช่นนี้รั่วไหล ผู้มีใจคิดไม่ดีรู้เข้า กลัวว่าจะนำปัญหามาให้นิกายชิงซาน
ลู่ผิงเข้าใจดีถึงหลักคนบริสุทธิ์ไม่มีผิด แต่ผู้ครอบครองสิ่งล้ำค่าต้องรับผิด
การกำชับลู่หยวนซานนั้นจำเป็นมาก
เมื่อได้ยินว่าลู่ผิงยกระดับไร่ ลู่หยวนซานก็ตกใจจนพูดไม่ออกสักพัก
ตอนนั้นเส้นลมปราณชิงเหลียนถูกตีจนพินาศ จากระดับ 4 ตกลงมาถึงระดับ 1 นิกายลำบากแสนเข็ญระดมทุนมหาศาลมาปลูกเลี้ยงนานกว่าสิบปี จึงได้ฟื้นฟูเส้นลมปราณกลับมาถึงระดับ 2
ตอนนี้ พ่อลงมือครั้งเดียว ไม่รู้ใช้วิธีการใด ก็ทำให้ไร่และข้าววิญญาณเลื่อนระดับขึ้นในครั้งเดียวทันที ไต่ขึ้นถึงระดับ 2 ชั้นล่างแล้ว
วิธีการนี้... ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก
ใช้คำที่พ่อเคยพูดมา วิธีนี้คือ 'เปิดโกง' ชัดๆ
แม้จะแปลกใจ แต่ลู่หยวนซานก็เข้าใจความกังวลของลู่ผิง จึงจริงจังบอกว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับแน่นอน
อีกด้านหนึ่ง ลู่จือเวยนำแขนเคียวคู่หนึ่งไปเตรียมตีอาวุธ
ในฐานะช่างตีอาวุธเพียงหนึ่งเดียวที่เหลือในนิกาย กล่าวได้ว่า ลู่จือเวยสามารถผูกขาดทั้งอุตสาหกรรมการตีอาวุธของนิกายชิงซานได้
หากปราศจากนาง นิกายชิงซานไม่สามารถผลิตอาวุธวิญญาณได้เอง
ส่วนที่ลู่จือเวยจะหันมาสู่เส้นทางตีอาวุธนั้น ทั้งหมดเป็นเพราะตอนอายุยี่สิบเอ็ด ลู่ผิงค้นพบโดยบังเอิญว่าลูกสาวมีพรสวรรค์ด้านการตีอาวุธ
ที่ค้นพบพรสวรรค์ด้านการตีอาวุธนี้ช้าถึงอายุยี่สิบเอ็ด ส่วนหนึ่งก็เพราะลู่ผิงยุ่งกับการจัดการนิกาย นั่งสมาธิฝึกตนตลอดทั้งปี จึงพลาดการค้นพบไป
ที่สำคัญกว่านั้นคือ นิกายชิงซานในตอนนั้นไม่ได้ขาดช่างตีอาวุธ
ในฐานะปรมาจารย์ขั้นแก่นทองคำ เครือข่ายของลู่ผิงก็ไม่แย่ หากต้องการช่างตีอาวุธที่ยอดเยี่ยมเข้ามาในนิกายชิงซาน เพียงแค่ปล่อยข่าวออกไป ไม่นานก็จะมีผู้มีความสามารถด้านนี้มาสวามิภักดิ์
เพื่อนสนิทแนะนำช่างตีอาวุธที่ยอดเยี่ยมมา ก็มีสักหนึ่งสองคน
นิกายชิงซานเลือกสรรเฟ้นหาอีกรอบ เลือกช่างตีอาวุธที่ยอดเยี่ยมไม่กี่คนมาทำงานให้นิกาย
เนื่องจากตัวนิกายชิงซานเองมีช่างตีอาวุธมีฝีมือดีมาทำงาน ระดับก็ไม่ต่ำด้วย ลู่ผิงจึงค่อยๆละเลยความคิดที่จะฝึกฝนลูกให้เป็นช่างตีอาวุธ
ในฐานะผู้ฝึกตนอิสระ เขาเคยกรำศึกมานับครั้งไม่ถ้วน เคยเผชิญหน้ากับความเป็นความตายมาไม่รู้กี่หน ในส่วนลึกของจิตใจ เขาเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งว่าพลังฝึกตนสำคัญที่สุด
เพียงมีกำปั้นที่แข็งแกร่งพอ จึงจะยืนหยัดอยู่ในโลกนี้ได้
ส่วนวิชาฝึกตนทั้งร้อยนั้น ไม่ใช่ว่าจะสัมผัสหรือเรียนรู้ไม่ได้ แต่มีเงื่อนไขว่า อย่างน้อยต้องถึงขั้นสร้างรากฐานก่อน มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ค่อยไปสัมผัสวิชาฝึกตนทั้งร้อย อย่าไปรบกวนการฝึกตน
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ลู่จือเวยจึงได้เข้าสู่เส้นทางตีอาวุธช้ากว่าคนอื่นมาก
จนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ลู่ผิงค้นพบพรสวรรค์ด้านการตีอาวุธของนาง จึงเพิ่งเกิดความคิดที่จะชี้นำนางให้ก้าวเข้าสู่เส้นทางตีอาวุธ
การมีพรสวรรค์ด้านการตีอาวุธแต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ นั่นคือการปิดกั้นความสามารถชัดๆ
อีกทั้ง ในฐานะลูกสาวคนเดียว การต่อสู้ฆ่าฟันอะไรนั่น ไหนจะยังมีข้าผู้เป็นพ่อซึ่งเป็นปรมาจารย์ขั้นแก่นทองคำ กับสองพี่ชายอีกไม่ใช่เหรอ
ถ้าไม่ดีพอ ใครกล้ารังแกลูกสาว นั่นก็เท่ากับท้าทายนิกายชิงซานทั้งนิกายแล้ว
นิกายชิงซานทั้งหมดคือหลังพิงให้ลู่จือเวย เป็นร่มคุ้มกันที่ใหญ่ที่สุดของนาง
ความคิดของลู่ผิงก่อนหน้านี้เป็นเช่นนี้ ทำให้จนถึงทุกวันนี้ เนื่องจากลู่จือเวยเริ่มฝึกตีอาวุธช้าเกินไป ความสามารถด้านการตีอาวุธเลยไม่สูงนัก
แต่ถึงอย่างนั้น ช่างตีอาวุธขั้นที่ 1 ชั้นสูง ในนิกายชิงซานตอนนี้ ก็ถือเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งแล้ว
เรื่องนำแขนเคียวของราชันตั๊กแตนตำข้าวมาตีอาวุธวิญญาณ คนอื่นๆในนิกายไม่มีใครทำได้หรอก
ต้องอาศัยแรงของลู่จือเวยเท่านั้น
เมื่อได้รับคำสั่งจากลู่ผิงให้ตีอาวุธวิญญาณชิ้นใหม่ให้นิกาย วันที่สองลู่จือเวยก็มาที่ด้านนอกห้องตีอาวุธ ตั้งใจจะปิดตัวฝึตนไม่กี่วัน ตั้งใจลงมือตีอาวุธอย่างเต็มที่
ห้องตีอาวุธของนิกายชิงซาน แม้จะไม่ได้ใช้มาหลายปี แต่เครื่องมือตีอาวุธข้างในยังครบครันมาก เก็บรักษาไว้อย่างดี
เพียงแค่ทำความสะอาดนิดหน่อยก็ใช้งานได้แล้ว
"น้องหญิง เจ้าไม่ได้ตีอาวุธมาหลายปีแล้ว คราวนี้ พ่อสั่งให้เจ้าตีอาวุธ เจ้ามั่นใจหรือไม่"
ลู่หยวนซานเปิดห้องตีอาวุธที่ปิดตายมานาน จากคำบอกเล่าของลู่จือเวย เขารู้คำสั่งของลู่ผิงที่ให้นาง
"หากในใจเจ้าไม่มั่นใจ ข้าสามารถไปปรึกษาเรื่องนี้กับพ่อได้ เจ้าไม่ต้องรีบร้อนในครั้งนี้ ค่อยๆทบทวนความรู้เรื่องตีอาวุธ แล้วค่อยตีก็ไม่สาย"
ในใจลู่หยวนซานยังมีความกังวลอยู่บ้าง
ไม่ใช่เพราะกลัวว่าลู่จือเวยจะตีอาวุธล้มเหลว ทำให้แขนเคียวคู่หนึ่งสูญเปล่า
แต่กลัวว่าภายหลังลู่ผิงจะตำหนิว่าน้องสาวปฏิบัติหน้าที่ไม่ดีพอ
เรื่องที่ลู่จือเวยได้พบหนทางใหม่ ลู่หยวนซานก็รู้ ลู่จือเวยเคยบอกเขา
เพียงแต่ วิธีที่สามารถทำให้คนได้พบหนทางใหม่เช่นนี้ ลู่หยวนซานก็เพิ่งได้ยินครั้งแรกเหมือนกัน ส่วนกระบวนการทั้งหมด ลู่จือเวยก็เล่าให้ฟังคร่าวๆ
สรุปง่ายๆ คือยืนอยู่หน้าถ้ำปิดตัวฝึกตนของพ่อ แต่ไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้กินอะไร พ่อก็ไม่ได้ปลอบโยนอะไรมาก แต่ไม่ทราบสาเหตุ ก็ได้พบหนทางใหม่ แถมยิ่งมั่นคงขึ้น
ว่ากันว่ามหัศจรรย์ ความจริงแล้วก็มหัศจรรย์มากๆ
พ่อปิดตัวฝึกตนมาสามสิบปี แม้ตอนนี้ยังไม่ได้ปรากฏตัว ไม่เคยเปิดเผยโฉมหน้าจริง แต่ความสามารถที่เหนือธรรมดา ไม่น่าเชื่อเช่นนี้ เป็นสิ่งที่มีจริงชัดเจน
ไม่รู้ว่าพ่อไปเรียนรู้มาจากที่ไหน
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สุดท้ายแล้ว เป็นปรมาจารย์ขั้นแก่นทองคำนะ สิ่งที่จะทำให้ผู้ฝึกตนระดับเล็กๆอย่างเขามองไม่เข้าใจ พูดไม่ถูกนั้นมีมากมาย
สรุปแล้ว ต่อให้พ่อจะลงมืออย่างไร ใช้วิธีการอันน่าทึ่งอย่างไร ก็ไม่มีทางจะทำร้ายน้องสาวใช่หรือไม่
คิดแบบนี้แล้ว ลู่หยวนซานก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น
"ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พี่ชาย"
ลู่จือเวยตอบกลับมา เสียงนางเบามาก
ถึงแม้ว่านางจะไม่ค่อยชำนาญในเรื่องการตีอาวุธจริงๆ แต่การจะตีอาวุธขั้นที่ 1 ชั้นปานกลางสักหนึ่งสองชิ้นก็ไม่ยากเกินไป
สำหรับความห่วงใยของลู่หยวนซาน นางรู้สึกอบอุ่นในใจ
"เพียงปิดตัวฝึกตนไม่กี่วัน รอข่าวดีจากข้าก็แล้วกัน"
เสียงเพิ่งจบ ลู่จือเวยก็ไม่พูดอะไรอีกแล้ว เดินเข้าไปข้างในห้องตีอาวุธเพียงคนเดียว ปล่อยให้ลู่หยวนซานเดินวนเวียนอยู่ด้านนอก
"หวังว่า...ความกังวลของข้าจะเป็นเรื่องเกินจริง"
หลังจากเดินวนอยู่นาน ลู่หยวนซานก็จากไป
เพื่อที่จะรอลู่จือเวยออกจากการปิดตัวฝึกตน ยังไม่ลืมส่งศิษย์คนหนึ่งมาเฝ้าห้องตีอาวุธ เพื่อป้องกันไม่ให้ลู่จือเวยถูกรบกวน