บทที่ 32 ราชันตั๊กแตนตำข้าว
สิ่งที่มาก่อกวนไร่ปลูกพืชวิญญาณ ทำร้ายหลี่จื่อชี่และหลี่จั๋วคือราชันแมลงร่างคล้ายตั๊กแตนตัวหนึ่ง
ราชันแมลงตัวนี้มีขนาดประมาณครึ่งตัวคน แผ่นหลังลายแดงเขียวสลับกัน ท้องสีขาว ส่วนหัวมีหนวดแบบเส้นยาวหนึ่งคู่ ตาเป็นสีเขียวเข้ม ข้างๆตา ตรงหนวด ยังมีตาเดี่ยวอีกสามตา
ลักษณะภายนอกที่เห็นได้ชัด คือแขนคู่หน้ารูปเคียวแหลมยาว ส่วนล่างร่างเป็นตั๊กแตนทั่วไป
แมลงร้ายตัวนี้รูปร่างน่าสะพรึงกลัว จำง่ายมาก
ในฐานะปรมาจารย์ขั้นแก่นทองคำ ความรอบรู้ของลู่ผิงก็มากอยู่แล้ว
เพียงมองแวบเดียวก็รู้ที่มาของแมลงร้ายตัวนี้ มันเป็นเผ่าพันธุ์ตั๊กแตนตำข้าว
ตั๊กแตนตำข้าวโตเต็มวัย มีขนาดเทียบเท่านกกระจอก มีนิสัยคล้ายตั๊กแตน ชอบอยู่เป็นฝูง กินธัญพืชเป็นอาหาร เป็นแมลงศัตรูพืชตัวฉกาจ
ตั๊กแตนตำข้าวตรงหน้าตัวใหญ่ถึงกับครึ่งร่างคน ที่โตได้ขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะมันกลายพันธุ์แต่เป็นเพราะมันคือราชันแมลง
ในฝูงตั๊กแตนตำข้าวจะมีราชันตั๊กแตนตำข้าวตัวยักษ์คอยนำอยู่ตัวหนึ่ง
ลู่ผิงเหาะสำรวจรอบไร่ แล้วก็พบศพตั๊กแตนตำข้าวกระจัดกระจายในไร่หลายตัว บ้างถูกสังหารด้วยวิชายิงเข็มทอง บ้างถูกฟันด้วยกระบี่
ชัดเจนว่าตั๊กแตนตำข้าวพวกนี้ถูกหลี่จื่อชี่กำจัดไปแล้ว กลายเป็นปุ๋ยบำรุงให้ไร่ปลูกพืชวิญญาณ
แต่ส่วนราชันแมลงที่ยากจัดการที่สุด ทั้งสองช่วยกันสู้กับมันสุดชีวิต แต่ก็ไม่อาจเอาชนะได้
ดังนั้น ในไร่ปลูกพืชวิญญาณตอนนี้จึงเหลือเพียงราชันแมลงตัวนี้ที่ยังไม่ถูกกำจัด
ในตอนที่ลู่ผิงทำความเข้าใจสถานการณ์ที่ไร่แล้ว ระบบก็ขึ้นข้อความแจ้งเตือน
[ตั๊กแตนตำข้าว: ขั้นที่ 1 คุณภาพปานกลาง (ขั้นฝึกปราณชั้น 5)]
[แมลงร้ายที่เกิดขึ้นหลังจากไร่เลื่อนระดับ เพื่อปกป้องการเจริญเติบโตของข้าววิญญาณ กรุณากำจัดแมลงร้ายโดยเร็ว]
เป็นเช่นนี้นี่เอง
ข้าสงสัยว่าทำไมถึงโผล่มาทั้งฝูงตั๊กแตนตำข้าว ยังมีราชันแมลงตัวใหญ่อย่างนี้อีก ลู่ผิงเข้าใจแจ่มแจ้ง
แต่เดิมคิดว่าเพิ่มประสิทธิภาพไร่แล้ว ผลผลิตข้าววิญญาณจะเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง และระดับของไร่จะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งระดับย่อย
ความจริงก็เป็นเช่นนั้น
แต่เมื่อได้ผลการยกระดับขนาดนี้แล้ว ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนบ้าง นั่นก็คือทำให้เกิดแมลงร้ายที่ยากจัดการขึ้นมา
แมลงร้ายมีอยู่แล้วในไร่ หลบซ่อนในดิน ใบ ราก ต้นข้าววิญญาณ ยากจะตามหา ผู้ฝึกตนเองต้องค้นหาแมลงร้ายอย่างละเอียดจึงจะกำจัดได้
ลู่ผิงยกระดับไร่ ข้าววิญญาณได้รับการส่งเสริมตามไปด้วย ในกระบวนการนี้ก็ไม่อาจขจัดแมลงร้ายในไร่ออกไปได้
แต่เดิมเป็นแมลงวิญญาณตัวเล็กๆไม่น่ากลัว ศักยภาพต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไร้ความอันตรายต่อผู้ฝึกตน
แต่พอไร่ได้รับการยกระดับ ปราณต้นกำเนิดก็เข้มข้นขึ้น ทำให้สภาพแวดล้อมของแมลงร้ายในไร่ดีขึ้น มันกินปราณต้นกำเนิดเข้มข้นบริสุทธิ์ขึ้น จึงทำให้เกิดแมลงร้ายที่แข็งแกร่งขึ้น
หลังจากแมลงร้ายขั้นที่ 1 ตัวนี้เลื่อนขั้น หลี่จั๋วกับหลี่จื่อชี่ ผู้ดูแลไร่ ก็พบมันทันที และออกมือในทันที สู้กันอย่างดุเดือด กำจัดฝูงตั๊กแตนตำข้าวจนหมดสิ้น
โชคดีที่ออกมือทัน ไร่ปลูกพืชวิญญาณเสียหายไม่มาก มีเพียงครึ่งไร่ที่โดนกัดกินจนหมด ไม่ได้เสียหายหนัก
อันที่จริง ตอนที่ทั้งสองพบแมลงร้ายพวกนี้ ก็งงไปเหมือนกัน
ดูแลไร่ปลูกพืชวิญญาณมาหลายปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เจอแมลงร้ายใหญ่ขนาดนี้ในไร่ แถมยังดูไม่ง่ายที่จะรับมือเลย
ไหนจะมีพวกที่กำจัดง่ายเหมือนแมลงเล็กๆในตำนานอีกนะ
พอระแคะระคายสงสัย รอทั้งคู่ลงมือแล้วผลลัพธ์ก็ชัดเจน
ราชันตั๊กแตนตำข้าวขั้นที่ 1 ตัวนี้ มีพลังแข็งแกร่งกว่าพวกเขามาก จัดการไม่ง่ายเลย
มันไม่เพียงรูปร่างคล่องแคล่ว การโจมตีก็รวดเร็ว แม้กระทั่งแขนคู่หน้ารูปเคียวยังน่ากลัวสุดๆ
ความแข็งแกร่งของแขนคู่หน้ารูปเคียวนี้ เทียบเท่าอาวุธวิญญาณขั้นที่ 1 ชั้นปานกลางแล้ว คมมากจนตัดเหล็กเหมือนตัดโคลน หากพลาดท่าถูกโจมตี ศีรษะจะหลุดออกเลยทีเดียว
ทั้งสองพึ่งอาวุธวิญญาณขั้นที่ 1 ระดับล่างในมือ วนเวียนสู้อยู่หลายสิบรอบ หาจุดได้เปรียบไม่ได้เลย อีกไม่นานพลังก็ด้อยกว่า ต่างได้รับบาดเจ็บ
ก็นะ คนที่ถูกจัดให้ดูแลไร่ปลูกพืชวิญญาณ หากมองระดับพลังแล้ว ทั้งสองก็ไม่ใช่เป้าหมายที่นิกายให้ความสำคัญอยู่แล้ว ระดับพลังก็กลางๆ ธรรมดา
คนหนึ่งขั้นฝึกปราณชั้น 3 อีกหนึ่งขั้นฝึกปราณชั้น 4
โชคดีที่ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังเจ็บตัว ยังไม่ถึงขั้นตายด้วยคมเคียวของแมลงร้าย ระบบก็ขึ้นแจ้งเตือนลู่ผิงพอดี
ลู่ผิงก็ไม่กล้าชักช้า รีบติดต่อลู่จือเวยให้มาจัดการแมลงร้าย
สถานการณ์ก็เป็นเช่นนี้
หลี่จั๋วและหลี่จื่อชี่เห็นลู่จือเวยที่หายไปนานแล้ววิ่งมาที่ไร่ก็ไม่คิดจะสู้ต่ออีก แน่นอนว่าต้องร้องขอให้ลู่จือเวยช่วยชีวิตพวกเขาแล้ว
ให้พวกเขาดูแลไร่ก็เชี่ยวชาญอยู่ แต่เรื่องการต่อสู้ไม่มีประสบการณ์เลย
จากนั้นพอลู่จือเวยได้เห็นราชันแมลงทำลายไร่ แล้วคิดถึงคำสั่งของพ่อที่ให้นางรีบไปไร่ก่อนหน้านี้ นางก็เข้าใจความตั้งใจของพ่อทันที
พวกศิษย์น้องสู้ราชันตั๊กแตนตำข้าวไม่ได้ แต่นางผู้เป็นผู้อาวุโสแห่งนิกายนี้ทำได้
ดังนั้น ตอนที่ลู่ผิงมาถึง ลู่จือเวยก็กำลังต่อสู้ดุเดือดกับราชันแมลง และจากสถานการณ์การต่อสู้ ลู่จือเวยมีพลังเหนือกว่าอย่างชัดเจน
อย่างน้อยลู่จือเวยก็เป็นผู้ฝึกตนขั้นฝึกปราณชั้น 9 ถึงจะไม่ค่อยฝึกฝนและต่อสู้มาหลายปี พลังจะลดลงไปบ้าง
แต่การจะต่อสู้กับระดับชั้น 7-8 นั้นสามารถทำได้สบายนัก
พร้อมกับกระบี่หมอกราตรีขั้นที่ 2 การจัดการราชันแมลงขั้นฝึกปราณชั้น 5 ลู่จือเวยทำได้อย่างสบายมาก
ขณะต่อสู้และวนเวียนอยู่กับลู่จือเวย ราชันตั๊กแตนตำข้าวสะบัดปีกใสสองปีกอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงหึ่งๆติดต่อกัน ฟังแล้วแก้วหูก็สั่นตามไปด้วย รู้สึกไม่ดีเลย
มันเคลื่อนที่เร็วมาก ที่ใดที่ผ่านไป ลมที่เกิดจากปีกพัดทำให้ต้นข้าววิญญาณโค่นล้มระเนระนาด เกิดความระส่ำระสาย
ในบรรดาแมลงร้าย มันถือว่าตัวใหญ่ไม่น้อย ลอยวนอยู่บนไร่ปลูกพืชวิญญาณเหมือนขนาดเล็ก ทำให้ลมแรง สร้างความโกลาหลวุ่นวายไม่น้อย
เห็นราชันแมลงสั่นสะเทือนปีกคู่ แล้วพุ่งไปที่ด้านข้างของลู่จือเวยอย่างกะทันหัน ฉวยโอกาสที่ลู่จือเวยกำลังเผลอ ใช้แขนรูปเคียวข้างหนึ่งเล็งไปที่ใบหน้าด้านข้างของนางแล้วฟาดลงมาทันที
อย่ามองว่าการโจมตีนี้ธรรมดาหยาบ ไม่มีลูกเล่นอะไร
แต่หากโดนเข้าไปทีหนึ่ง แค่ใบหน้าลู่จือเวยบุบเป็นเรื่องเล็ก เลวร้ายกว่านั้นอาจตายคาที่เลยก็ได้
"ผู้อาวุโส ระวังด้านขวา!"
เห็นราชันแมลงจู่โจมดุดัน ยังมาเล่นทีเผลอด้วย หลี่จื่อชี่ที่ยืนดูการต่อสู้อยู่ไม่ไกล รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาในทันใด อดร้องเตือนเสียงดังไม่ได้
ลู่ผิงเองก็ใจหายวาบไปถึงคอหอย นึกอยากลงมือฟาดราชันแมลงให้แหลกเป็นชิ้นๆ ตัดชีวิตมันไปให้จบๆ
แต่พอนึกได้ว่าตัวเองเป็นแค่ร่างจิตวิญญาณ คิดอะไรเพ้อเจ้อไปได้ ยืนดูเฉยๆดีกว่า
โชคดีที่ด้วยคำเตือนของหลี่จื่อชี่ ลู่จือเวยหลบการโจมตีทางด้านขวาได้ทัน ทำให้ราชันแมลงฟันอากาศ ไม่เป็นอันตราย
เส้นผมของนางไม่กี่เส้นถูกตัดขาด และลอยตกลงอย่างช้าๆ
"ตั้งสติหน่อย!"
เห็นลู่จือเวยเกือบโดนทำร้าย ลู่ผิงก็ติดต่อมาตอนนี้เอง เตือนนางว่าอย่าได้ประมาทศัตรู
"อย่าพลาดในจุดเล็กๆแบบนี้"