ตอนที่แล้วบทที่ 31 ภัยแมลงร้ายบุกรุกไร่ปลูกพืชวิญญาณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 33 คัมภีร์กระบี่จิ๋นเชวี่ย ดาบเสิ่งหยุนเฟยเจี้ยน

บทที่ 32 ราชันตั๊กแตนตำข้าว


สิ่งที่มาก่อกวนไร่ปลูกพืชวิญญาณ ทำร้ายหลี่จื่อชี่และหลี่จั๋วคือราชันแมลงร่างคล้ายตั๊กแตนตัวหนึ่ง

ราชันแมลงตัวนี้มีขนาดประมาณครึ่งตัวคน แผ่นหลังลายแดงเขียวสลับกัน ท้องสีขาว ส่วนหัวมีหนวดแบบเส้นยาวหนึ่งคู่ ตาเป็นสีเขียวเข้ม ข้างๆตา ตรงหนวด ยังมีตาเดี่ยวอีกสามตา

ลักษณะภายนอกที่เห็นได้ชัด คือแขนคู่หน้ารูปเคียวแหลมยาว ส่วนล่างร่างเป็นตั๊กแตนทั่วไป

แมลงร้ายตัวนี้รูปร่างน่าสะพรึงกลัว จำง่ายมาก

ในฐานะปรมาจารย์ขั้นแก่นทองคำ ความรอบรู้ของลู่ผิงก็มากอยู่แล้ว

เพียงมองแวบเดียวก็รู้ที่มาของแมลงร้ายตัวนี้ มันเป็นเผ่าพันธุ์ตั๊กแตนตำข้าว

ตั๊กแตนตำข้าวโตเต็มวัย มีขนาดเทียบเท่านกกระจอก มีนิสัยคล้ายตั๊กแตน ชอบอยู่เป็นฝูง กินธัญพืชเป็นอาหาร เป็นแมลงศัตรูพืชตัวฉกาจ

ตั๊กแตนตำข้าวตรงหน้าตัวใหญ่ถึงกับครึ่งร่างคน ที่โตได้ขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะมันกลายพันธุ์แต่เป็นเพราะมันคือราชันแมลง

ในฝูงตั๊กแตนตำข้าวจะมีราชันตั๊กแตนตำข้าวตัวยักษ์คอยนำอยู่ตัวหนึ่ง

ลู่ผิงเหาะสำรวจรอบไร่ แล้วก็พบศพตั๊กแตนตำข้าวกระจัดกระจายในไร่หลายตัว บ้างถูกสังหารด้วยวิชายิงเข็มทอง บ้างถูกฟันด้วยกระบี่

ชัดเจนว่าตั๊กแตนตำข้าวพวกนี้ถูกหลี่จื่อชี่กำจัดไปแล้ว กลายเป็นปุ๋ยบำรุงให้ไร่ปลูกพืชวิญญาณ

แต่ส่วนราชันแมลงที่ยากจัดการที่สุด ทั้งสองช่วยกันสู้กับมันสุดชีวิต แต่ก็ไม่อาจเอาชนะได้

ดังนั้น ในไร่ปลูกพืชวิญญาณตอนนี้จึงเหลือเพียงราชันแมลงตัวนี้ที่ยังไม่ถูกกำจัด

ในตอนที่ลู่ผิงทำความเข้าใจสถานการณ์ที่ไร่แล้ว ระบบก็ขึ้นข้อความแจ้งเตือน

[ตั๊กแตนตำข้าว: ขั้นที่ 1 คุณภาพปานกลาง (ขั้นฝึกปราณชั้น 5)]

[แมลงร้ายที่เกิดขึ้นหลังจากไร่เลื่อนระดับ เพื่อปกป้องการเจริญเติบโตของข้าววิญญาณ กรุณากำจัดแมลงร้ายโดยเร็ว]

เป็นเช่นนี้นี่เอง

ข้าสงสัยว่าทำไมถึงโผล่มาทั้งฝูงตั๊กแตนตำข้าว ยังมีราชันแมลงตัวใหญ่อย่างนี้อีก ลู่ผิงเข้าใจแจ่มแจ้ง

แต่เดิมคิดว่าเพิ่มประสิทธิภาพไร่แล้ว ผลผลิตข้าววิญญาณจะเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง และระดับของไร่จะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งระดับย่อย

ความจริงก็เป็นเช่นนั้น

แต่เมื่อได้ผลการยกระดับขนาดนี้แล้ว ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนบ้าง นั่นก็คือทำให้เกิดแมลงร้ายที่ยากจัดการขึ้นมา

แมลงร้ายมีอยู่แล้วในไร่ หลบซ่อนในดิน ใบ ราก ต้นข้าววิญญาณ ยากจะตามหา ผู้ฝึกตนเองต้องค้นหาแมลงร้ายอย่างละเอียดจึงจะกำจัดได้

ลู่ผิงยกระดับไร่ ข้าววิญญาณได้รับการส่งเสริมตามไปด้วย ในกระบวนการนี้ก็ไม่อาจขจัดแมลงร้ายในไร่ออกไปได้

แต่เดิมเป็นแมลงวิญญาณตัวเล็กๆไม่น่ากลัว ศักยภาพต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไร้ความอันตรายต่อผู้ฝึกตน

แต่พอไร่ได้รับการยกระดับ ปราณต้นกำเนิดก็เข้มข้นขึ้น ทำให้สภาพแวดล้อมของแมลงร้ายในไร่ดีขึ้น มันกินปราณต้นกำเนิดเข้มข้นบริสุทธิ์ขึ้น จึงทำให้เกิดแมลงร้ายที่แข็งแกร่งขึ้น

หลังจากแมลงร้ายขั้นที่ 1 ตัวนี้เลื่อนขั้น หลี่จั๋วกับหลี่จื่อชี่ ผู้ดูแลไร่ ก็พบมันทันที และออกมือในทันที สู้กันอย่างดุเดือด กำจัดฝูงตั๊กแตนตำข้าวจนหมดสิ้น

โชคดีที่ออกมือทัน ไร่ปลูกพืชวิญญาณเสียหายไม่มาก มีเพียงครึ่งไร่ที่โดนกัดกินจนหมด ไม่ได้เสียหายหนัก

อันที่จริง ตอนที่ทั้งสองพบแมลงร้ายพวกนี้ ก็งงไปเหมือนกัน

ดูแลไร่ปลูกพืชวิญญาณมาหลายปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เจอแมลงร้ายใหญ่ขนาดนี้ในไร่ แถมยังดูไม่ง่ายที่จะรับมือเลย

ไหนจะมีพวกที่กำจัดง่ายเหมือนแมลงเล็กๆในตำนานอีกนะ

พอระแคะระคายสงสัย รอทั้งคู่ลงมือแล้วผลลัพธ์ก็ชัดเจน

ราชันตั๊กแตนตำข้าวขั้นที่ 1 ตัวนี้ มีพลังแข็งแกร่งกว่าพวกเขามาก จัดการไม่ง่ายเลย

มันไม่เพียงรูปร่างคล่องแคล่ว การโจมตีก็รวดเร็ว แม้กระทั่งแขนคู่หน้ารูปเคียวยังน่ากลัวสุดๆ

ความแข็งแกร่งของแขนคู่หน้ารูปเคียวนี้ เทียบเท่าอาวุธวิญญาณขั้นที่ 1 ชั้นปานกลางแล้ว คมมากจนตัดเหล็กเหมือนตัดโคลน หากพลาดท่าถูกโจมตี ศีรษะจะหลุดออกเลยทีเดียว

ทั้งสองพึ่งอาวุธวิญญาณขั้นที่ 1 ระดับล่างในมือ วนเวียนสู้อยู่หลายสิบรอบ หาจุดได้เปรียบไม่ได้เลย อีกไม่นานพลังก็ด้อยกว่า ต่างได้รับบาดเจ็บ

ก็นะ คนที่ถูกจัดให้ดูแลไร่ปลูกพืชวิญญาณ หากมองระดับพลังแล้ว ทั้งสองก็ไม่ใช่เป้าหมายที่นิกายให้ความสำคัญอยู่แล้ว ระดับพลังก็กลางๆ ธรรมดา

คนหนึ่งขั้นฝึกปราณชั้น 3 อีกหนึ่งขั้นฝึกปราณชั้น 4

โชคดีที่ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังเจ็บตัว ยังไม่ถึงขั้นตายด้วยคมเคียวของแมลงร้าย ระบบก็ขึ้นแจ้งเตือนลู่ผิงพอดี

ลู่ผิงก็ไม่กล้าชักช้า รีบติดต่อลู่จือเวยให้มาจัดการแมลงร้าย

สถานการณ์ก็เป็นเช่นนี้

หลี่จั๋วและหลี่จื่อชี่เห็นลู่จือเวยที่หายไปนานแล้ววิ่งมาที่ไร่ก็ไม่คิดจะสู้ต่ออีก แน่นอนว่าต้องร้องขอให้ลู่จือเวยช่วยชีวิตพวกเขาแล้ว

ให้พวกเขาดูแลไร่ก็เชี่ยวชาญอยู่ แต่เรื่องการต่อสู้ไม่มีประสบการณ์เลย

จากนั้นพอลู่จือเวยได้เห็นราชันแมลงทำลายไร่ แล้วคิดถึงคำสั่งของพ่อที่ให้นางรีบไปไร่ก่อนหน้านี้ นางก็เข้าใจความตั้งใจของพ่อทันที

พวกศิษย์น้องสู้ราชันตั๊กแตนตำข้าวไม่ได้ แต่นางผู้เป็นผู้อาวุโสแห่งนิกายนี้ทำได้

ดังนั้น ตอนที่ลู่ผิงมาถึง ลู่จือเวยก็กำลังต่อสู้ดุเดือดกับราชันแมลง และจากสถานการณ์การต่อสู้ ลู่จือเวยมีพลังเหนือกว่าอย่างชัดเจน

อย่างน้อยลู่จือเวยก็เป็นผู้ฝึกตนขั้นฝึกปราณชั้น 9 ถึงจะไม่ค่อยฝึกฝนและต่อสู้มาหลายปี พลังจะลดลงไปบ้าง

แต่การจะต่อสู้กับระดับชั้น 7-8 นั้นสามารถทำได้สบายนัก

พร้อมกับกระบี่หมอกราตรีขั้นที่ 2 การจัดการราชันแมลงขั้นฝึกปราณชั้น 5 ลู่จือเวยทำได้อย่างสบายมาก

ขณะต่อสู้และวนเวียนอยู่กับลู่จือเวย ราชันตั๊กแตนตำข้าวสะบัดปีกใสสองปีกอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงหึ่งๆติดต่อกัน ฟังแล้วแก้วหูก็สั่นตามไปด้วย รู้สึกไม่ดีเลย

มันเคลื่อนที่เร็วมาก ที่ใดที่ผ่านไป ลมที่เกิดจากปีกพัดทำให้ต้นข้าววิญญาณโค่นล้มระเนระนาด เกิดความระส่ำระสาย

ในบรรดาแมลงร้าย มันถือว่าตัวใหญ่ไม่น้อย ลอยวนอยู่บนไร่ปลูกพืชวิญญาณเหมือนขนาดเล็ก ทำให้ลมแรง สร้างความโกลาหลวุ่นวายไม่น้อย

เห็นราชันแมลงสั่นสะเทือนปีกคู่ แล้วพุ่งไปที่ด้านข้างของลู่จือเวยอย่างกะทันหัน ฉวยโอกาสที่ลู่จือเวยกำลังเผลอ ใช้แขนรูปเคียวข้างหนึ่งเล็งไปที่ใบหน้าด้านข้างของนางแล้วฟาดลงมาทันที

อย่ามองว่าการโจมตีนี้ธรรมดาหยาบ ไม่มีลูกเล่นอะไร

แต่หากโดนเข้าไปทีหนึ่ง แค่ใบหน้าลู่จือเวยบุบเป็นเรื่องเล็ก เลวร้ายกว่านั้นอาจตายคาที่เลยก็ได้

"ผู้อาวุโส ระวังด้านขวา!"

เห็นราชันแมลงจู่โจมดุดัน ยังมาเล่นทีเผลอด้วย หลี่จื่อชี่ที่ยืนดูการต่อสู้อยู่ไม่ไกล รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาในทันใด อดร้องเตือนเสียงดังไม่ได้

ลู่ผิงเองก็ใจหายวาบไปถึงคอหอย นึกอยากลงมือฟาดราชันแมลงให้แหลกเป็นชิ้นๆ ตัดชีวิตมันไปให้จบๆ

แต่พอนึกได้ว่าตัวเองเป็นแค่ร่างจิตวิญญาณ คิดอะไรเพ้อเจ้อไปได้ ยืนดูเฉยๆดีกว่า

โชคดีที่ด้วยคำเตือนของหลี่จื่อชี่ ลู่จือเวยหลบการโจมตีทางด้านขวาได้ทัน ทำให้ราชันแมลงฟันอากาศ ไม่เป็นอันตราย

เส้นผมของนางไม่กี่เส้นถูกตัดขาด และลอยตกลงอย่างช้าๆ

"ตั้งสติหน่อย!"

เห็นลู่จือเวยเกือบโดนทำร้าย ลู่ผิงก็ติดต่อมาตอนนี้เอง เตือนนางว่าอย่าได้ประมาทศัตรู

"อย่าพลาดในจุดเล็กๆแบบนี้"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด